Part of Speech English Grammar PDF

Summary

This document is a Thai language guide to English grammar, focusing on the parts of speech, including nouns, proper and common nouns, countable and uncountable nouns, and more.

Full Transcript

1 ภาษาอังกฤษพื้นฐานที่ควรรู้ Grammar Parts of Speech คาต่างๆ ในประโยคภาษาอังกฤษ 1. Noun (คํานาม)...

1 ภาษาอังกฤษพื้นฐานที่ควรรู้ Grammar Parts of Speech คาต่างๆ ในประโยคภาษาอังกฤษ 1. Noun (คํานาม) คือ คาที่แทนสิ่งต่างๆ เช่น คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ เช่น pen, dog, work, music, town, London, teacher, John 1. คํานามเฉพาะ (proper noun) ✓ ใช้เรียกสิ่งที่มีเพียงอันหนึง่ อันเดียว หรืออะไรที่เฉพาะเจาะจงไม่ว่าจะเป็ น ชื่อคน ชื่อสถานที่ ประเทศ ทวีป เมือง เป็ นต้น ✓ Ex. John, Asia, France, German, Los Angeles ✓ ซึ่งคานามชนิดนีจ้ ะต้องใช้ตวั อักษรพิมพ์ใหญ่ (capital letter)ขึน้ ต้นเสมอ 2. คํานามทัว่ ไป (common noun) ✓ ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานทัว่ ๆไปเลย ✓ Ex. man, dog, temple, pizza, pencil ✓ คานามชนิดนีไ้ ม่ได้เฉพาะเจาะจงไม่ตอ้ งเขียนขึน้ ต้นด้วยพิมพ์ใหญ่ นอกจากว่าคานัน้ ๆจะขึน้ ต้น ประโยค 3. คํานามนับได้ (countable noun) ✓ เป็ นนามที่สามารถระบุได้ว่ามีจานวนเท่าไหร่ มีทงั้ ร ูปเอพจน์และพห ูพจน์ ✓ ถ้าเป็ นเอกพจน์จะใช้ a หรือ an นาหน้า ✓ ถ้าเป็ น พหูพจน์ จะเติม s, es ต่อท้ายด้วย และหากต้องการระบุปริมาณของนามนับได้ จะใช้คาเหล่านี้ a, many, a lot of, lots of, few, a few ✓ Ex. I have a few friends. 4. คํานามนับไม่ได้ (uncountable noun) ✓ เป็ นคานามที่ไม่สามารถระบุจานวนได้ เช่น สิ่งของที่มีขนาดเล็กเกินไปอย่างแป้ง นา้ ตาล หรือ ของเหลว(นา้ ) หรือสิ่งของที่มีปริมาณมากๆ เช่น เงิน (money) และนามประเภทนีจ้ ะมีรปู เป็ น เอกพจน์เท่านัน้ ห้ามเติม s เช่น money เป็ น moneys. (ผิด) ✓ หากต้องการระบุปริมาณของนามนับไม่ได้ จะใช้คาเหล่านี้ a lot of, lots of much, some, little, a little ✓ Ex. I have much money. ✓ ภาชนะ + of + คานามนับไม่ได้ Ex. A glass of milk. (นม 1 แก้ว) , A bowl of rice. (ข้าว 1 ชาม) หมายเหตุ a lot of และ lots of สามารถใช้ได้ทงั้ กับคานามนับได้และนับไม่ได้ เช่น a lot of / lots of + นามนับได้ (พหูพจน์). He has a lots of apples. นามนับได้ a lot of / lots of + นามนับไม่ได้ I drink a lot of water. นามนับไม่ได้ 2 1. Noun (คํานาม) 5. อาการนาม (abstract noun) ✓ นามชนิดนีส้ ว่ นใหญ่จะเป็ นนามเกี่ยวกับอารมณ์ ความรูส้ ึก ความคิด หรือสถานะที่เป็ นอยู่ ของคน สัตว์ สิ่งของ ✓ Ex. love, beauty, dream, relaxation, childhood 6. วัตถ ุนาม (concrete noun) ✓ จะตรงข้ามกับอาการนาม ซึ่งก็คือเป็ นคานามที่สามารถรับรูไ้ ด้ผา่ นประสาทสัมผัสทัง้ 5 (การมองเห็น, การได้ยิน, การสัมผัส, การดมกลิ่น, การรับรส) ✓ Ex. smile, music, medicine, flower, skin 7. สมุหนาม (collective noun) ✓ นามที่บ่งบอกคุณลักษณะของคานามที่มาอยู่รวมกันเป็ นหมวดหมู่ ✓ Ex. a pack of wolves, a group of people 8. นามประสม (compound noun) ✓ เป็ นคานามที่มีคามากกว่าสองคามารวมกัน เป็ นได้ทงั้ noun + noun, adj + noun, verb + noun, noun + verb และอีกมากมาย เช่น Noun + Noun Noun + Verb Noun + Preposition Ex. tooth + paste = toothpaste Ex. hair + cut = haircut Ex. hanger + on = hanger on (ยาสีฟัน) (ทรงผม, การตัดผม) (ไม้แขวนเสื้อ) Verb + noun Preposition + Noun : โดย verb จะเป็นร ูป v. ing หรือ Gerund Ex. under + world = underworld Ex. washing + machine = washing machine (ยมโลก, พวกนักเลง) (เครื่องซักผ้า) Preposition + Verb Adjective + Noun Ex. out + put = output Ex. gentle + man = gentleman (ผลผลิต) (สุภาพบุรษุ ) Adjective + Verb Verb + Preposition Ex. slow + down = slowdown Ex. look + out = lookout (การถ่วงงาน) (การระมัดระวัง, การเฝ้ าดู) 3 กฎการเปลี่ยนคํานามเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์ 1. เติม s หลังคานามทัว่ ๆ ไป 2. เติม s หลังคานามที่ลงท้ายด้วย e เอกพจน์ พห ูพจน์ คําแปล เอกพจน์ พห ูพจน์ คําแปล book books หนังสือ house houses บ้าน cat cats แมว face faces ใบหน้า pen pens ปากกา nose noses จมูก 3. เติม es หลังคานามที่ลงท้ายด้วย s , ss , sh , ch , o , x , z เอกพจน์ พห ูพจน์ คําแปล bus buses รถประจาทาง glass glasses แก้ว box boxes กล่อง tomato tomatoes มะเขือเทศ 4.คานามเอกพจน์ที่ลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็ นพยัญชนะให้เปลี่ยน y เป็ น i แล้วเติม es เอกพจน์ พห ูพจน์ คําแปล city cities เมือง , นคร baby babies เด็กทารก country countries ประเทศ แต่ถา้ หน้า y เป็ นสระไม่ตอ้ งเปลี่ยน y เป็ น i ให้เติม s ได้เลย เอกพจน์ พห ูพจน์ คําแปล monkey monkeys ลิง day days วัน toy toys เครื่องเล่น 5. คานามที่ลงท้ายด้วย f หรือ fe ให้เปลี่ยน f หรือ fe เป็ น v แล้วเติม es เอกพจน์ พห ูพจน์ คําแปล knife knives มีด wife wives ภรรยา 6.คานามต่อไปนีม้ ีรปู เหมือนกันทัง้ เอกพจน์และพหูพจน์ ได้แก่ เอกพจน์ พห ูพจน์ คําแปล fish fish ปลา sheep sheep แกะ deer deer กวาง 4 2. Pronoun (คาสรรพนาม) คือคาที่ใช้แทนคานาม (Noun) และทาหน้าที่เช่นเดียว กับคานามในภาษาอังกฤษ 1. คาสรรพนามแทนตัวบุคคล (personal pronoun) ✓ มี 2 กรณี 1. กรณีเป็ นประธาน (subject) ได้แก่ I, you, he, she, it, we, they 2. กรณีเป็ นกรรม (object) ได้แก่ me, you, him, her, it, us, them ✓ Ex. We are students. (พวกเราเป็ นนักเรียน) She asks me to teach her homework. (หล่อนขอให้ฉนั สอนการบ้านให้) 2. คาสรรพนามแสดงความเป็ นเจ้าของ (possessive pronouns) ✓ คือ สรรพนามที่ใช้แทนคานามเมื่อแสดงความเป็ นเจ้าของ ได้แก่ mine, ours, yours, his, hers , its, theirs ✓ Ex. He is mine. (เขาเป็ นของฉัน) 3. คาสรรพนามตนเอง (reflexive pronouns) ✓ คือ สรรพนามที่สะท้อนให้เห็นการกระทาของประธาน เพื่อเน้นว่าประธานเป็ นผูก้ ระทา มักเรียกว่า self form of pronoun ได้แก่ myself. yourself, yourselves, himself, herself ✓ Ex. She goes to school by herself. (เธอไปโรงเรียนด้วยตัวเอง) 4. คาสรรพนามเจาะจง (definite pronouns หรือ demonstrative pronouns) ✓ คือ สรรพนามที่บ่งชี้ชดั เจนว่าใช้แทนสิ่งใด ได้แก่ this, that, these, those, one, ones, such, the same, the former, the latter ✓ Ex. I will never forget this. (ฉันจะไม่ลืมเรื่องนีเ้ ลย) 5. คาสรรพนามไม่เจาะจง (indefinite pronouns) ✓ คือ สรรพนามที่ใช้แทนนามได้ทวั ่ ไป มิได้ชี้เฉพาะเจาะจงว่าแทนคนนัน้ คนนี้ ได้แก่ everyone , everybody , everything , some , each, somebody ✓ Ex. Everybody loves somebody. (คนทุกคนย่อมมีความรักกับใครสักคน) 5 2. Pronoun (คําสรรพนาม) 6. คาสรรพนามคาถาม (interrogative pronouns) ✓ คือ สรรพนามที่ใช้เมื่อต้องการถามว่า ใครหรือ สิ่งใดเป็ นผูท้ า หรือผูถ้ กู ทา ได้แก่ who, whom, whose, which, that ✓ Ex. Which is your cat ? (แมวของเธอตัวไหน) ✓ Ex. Who want to see the dentist first? (ใครอยากจะเข้าไปหาหมอฟันเป็ นคนแรก) 7. คาสรรพนามที่ใช้แทนคานาม (relative pronouns) ✓ คือ คาสรรพนามที่ใช้แทนคานามในอนุประโยคที่ซา้ กับประโยคหลัก ได้แก่ who, whom, whose, which, that ✓ Ex. The student who won the contest is my son. (นักเรียนคนที่ชนะการประกวดเป็ นลูกชายของฉัน) This is the same bag that my mom has. (นีเ่ ป็ นกระเป๋ าใบเดียวกันกับที่แม่ฉนั มีเลย) 6 3. Verbs (คํากริยา) คือ คาที่บ่งบอกถึงการกระทา อาการ ความเป็ นอยู่ เช่น เดิน กิน นัง่ นอน ทางาน เป็ นต้น 1. สกรรมกริยา (transitive verb) ✓ คือ กริยาที่ตอ้ งมีกรรมมารับข้างท้าย ได้แก่ love, like, eat, hit, clean, buy, cut, do, have, make, meet เป็ นต้น ✓ Ex. I love you. (ฉันรักคุณ) You like a cat. (คุณชอบแมว) 2. อกรรมกริยา (intransitive verb) ✓ คือ กริยาที่ไม่ตอ้ งมากรรมมารับ ก็สามารถสื่อความหมายได้สมบูรณ์ ได้แก่ sit, stand, swim, walk, sleep, fly, run, sing, dance เป็ นต้น ✓ Ex. We walk. (พวกเราเดิน) They sleep. (พวกเขานอนหลับ) 3. กริยาอนุเคราะห์ (auxiliary verb หรือ modal verb หรือ helping verb) ✓ คือ กริยาที่ไม่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง แต่สามารถช่วยให้กริยารูปอื่น ๆ มีใจความ สมบูรณ์ชดั เจน 1. กริยาช่วยกลุม่ to be 2. กริยาช่วยกลุม่ to have ได้แก่ is, am, are, was, were, be, ได้แก่ has, have, had being, been ✓ Ex She has eaten a piece of cake. ✓ Ex. I am driving my friend’s car. I have written a letter almost an hour. 4. กริยาช่วยกลุม่ modal auxiliaries 3. กริยาช่วยกลุม่ to do ได้แก่ will, would, shall, should, can, could, ได้แก่ do, does, did may, might, must, ought to ✓ Ex. I do want to help you. ✓ Ex. Jane should go to school earlier. Jin can speak Japanese very well. 7 4.Adjective (คำค ุณศัพท์) คือ คำที่ใช้ขยำยคือขยำยคำนำมและสรรพนำม 1. คำคุณศัพท์บอกลักษณะ (descriptive adjective) ✓ เป็ นคำคุณศัพท์แสดงลักษณะ ขนำด สี หรือบอกคุณภำพของคำนำมที่ขยำย ว่ำมีลกั ษณะ อย่ำงไร เช่น bad เลว, ไม่ดี good ดี blue สีฟ้ำ poor จน brave กล้ำหำญ pretty น่ำรัก clever ฉลำด rich รำ่ รวย cowardly ขีข้ ลำด, ไม่กล้ำ shot สัน้ , เตีย้ fat อ้วน sorry เสียใจ, โศกเศร้ำ foolish โง่ thin ผอม ✓ Ex. The poor man lives in the old house. (คนจนอยู่ในบ้ำนเก่ำๆ) 2. คุณศัพท์บอกสัญชำติ (proper adjective) ✓ เป็ นคำที่ไปขยำยนำมเพื่อบอกสัญชำติ ซึ่งอันที่จริงมีรปู เปลี่ยนมำจำกคำนำมเฉพำะ (Proper noun) เช่น Proper Noun = England (ประเทศอังกฤษ) Proper Adjective = English (คนอังกฤษ) ✓ Ex. The English language is used by every nation. (ภำษำอังกฤษใช้ในทุกประเทศ) 3. คำคุณศัพท์บอกปริมำณ (quantitive adjective) ✓ เป็ นคำที่ไปขยำยนำม เพื่อบอกให้ทรำบปริมำณของสิ่งเหล่ำนัน้ ว่ำ มีมำกหรื อน้อย (แต่ไม่ ทรำบจำนวนที่แน่นอน) ได้แก่ much, many, little, some, any, enough, half, great, all, whole, sufficient ✓ Ex. He drank much milk at home yesterday. (เขำดื่มนมมำกที่บำ้ นเมื่อวำนนี)้ 8 4.Adjective (คําค ุณศัพท์) 4. คาคุณศัพท์บอกจานวนแน่นอน (numberal adjective) ✓ เป็ นคาที่ไปขยายนาม เมื่อแสดงจานวนที่แน่นอนของนามนัน้ แบ่งเป็ น 3 ชนิด คือ 4.1 คุณศัพท์ที่ใช้บอกจานวนนับ เช่น one, two, three, four เป็ นต้น 4.2 คาคุณศัพท์ที่ใช้บอกลาดับ เช่น first, second, third เป็ นต้น 4.3 คุณศัพท์บอกตัวคูณหรือพหูคณ ู ของนาม เช่น double(2 เท่า), triple(3 เท่า), fourfold (4 เท่า) เป็ นต้น ✓ Ex. Bill wants to buy seven pens. (บิลต้องการซื้อปากกาเจ็ดด้าม) Tom is the first boy to be rewarded in this school. (ทอมเป็ นเด็กคนแรกที่ได้รบั รางวัลในโรงเรียนนี้) Buddha, Dhamma, and Sangha are triple gems. (พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ คือแก้ว 3 ประการ) 5. คุณศัพท์ชเี้ ฉพาะ (demonstrative adjective) ✓ เป็ นคาที่ชี้เฉพาะให้กบั นามใดนามหนึง่ ได้แก่ (this, that ใช้กบั นามเอกพจน์), (these, those ใช้กบั นามพหูพจน์), such, same ✓ Ex. That man is my father. (ผูช้ ายคนนัน้ เป็ นพ่อของฉัน) These are my pens. (พวกนีค้ ือปากกาของฉัน) He said the same thing two or three times. (เขาพูดถึงสิ่งเดียวกันนี้2หรือ3ครัง้ แล้ว) 6. คุณศัพท์บอกคาถาม (interrogative adjective) ✓ ใช้ขยายคานามเพื่อให้เป็ นคาถามโดยจะวางไว้ ต้นประโยคและอยู่หน้าคานามเสมอ ได้แก่ what, which, whose ✓ Ex. What music is he listening in the room? (เขากาลังฟังเพลงอะไรอยู่ในห้อง) 9 4.Adjective (คาค ุณศัพท์) 7. คุณศัพท์แสดงความเป็ นเจ้าของ (possessive adjective) ✓ ได้แก่ my , your ,our , his , her , its , their ✓ Ex. This isis my picture. (นีเ่ ป็ นรูปของฉัน) Her pencils are on his desk. (ดินสอของเธออยู่บนโต๊ะของเขา) 8. คุณศัพท์แบ่งแยก (distributive adjective) ✓ เป็ นคาคุณศัพท์ที่ไปขยายนาม เพื่อแยกนามออกจากกันเป็ นอันหนึง่ หรือส่วนหนึง่ ได้แก่ (each แต่ละ), (every ทุกๆ), (either ไม่อนั ใดก็อนั หนึง่ ), (neither ไม่ทงั้ สอง) ✓ Ex. Every student has his bicycle. (นักเรียนทุกคนมีจกั รยานเป็ นของตัวเอง) 9. คุณศัพท์เน้นความ (emphasizing adjective) ✓ เป็ นคาคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนาม เพื่อเน้นความให้มีนาหนักขึน้ เช่น own ,very ✓ Ex. She can buy her own house. (เธอสามารถซื้อบ้านเป็ นของตัวเองได้) 10. คุณศัพท์บอกอุทาน (exclamatory adjective) ✓ ได้แก่ what ✓ Ex. What a nice man he is! (เขาเป็ นผูช้ ายที่ดี อะไรเช่นนี้) What a good idea it is! (มันเป็ นความคิดที่ดี อะไรเช่นนี้) 11. คุณศัพท์บอกความสัมพันธ์ (relative adjective) ✓ เป็ นคาคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามที่ตามหลัง และในขณะเดียวกันก็ยงั ทาาหน้าที่ คล้ายส้นธาน เชื่อมความในประโยคของตัวเอง กับประโยคข้างหน้าให้สมั พันธ์กนั อีกด้วย ได้แก่ (What อะไรก็ได้), (whichever อันไหนก็ได้) ✓ Ex Give me what money you have. (จงให้เงินเท่าที่คณ ุ มีอยู่แก่ฉนั ) I will take whichever book you do not want. (ฉันจะนาเอาหนังสือล่มที่คณ ุ ไม่ตอ้ งการ) 10 4.Adjective (คำค ุณศัพท์) หลักกำรเรียงคำค ุณศัพท์ (Order of Adjectives) ในประโยค จำไว้ให้แม่น คำค ุณศัพท์ตอ้ งเรียงตำมลำดับนี้เท่ำนัน้ … ลำดับที่ 1 : ความคิดเห็น (Opinion) เช่น beautiful (สวย), good (ดี), bad (เลว) ลำดับที่ 2 : ขนาด (Size) เช่น short (สัน้ ), small (เล็ก), tall (สูง), long (ยาว) ลำดับที่ 3 : รูปทรง (Shape) เช่น circle (วงกลม), Square (สี่เหลี่ยม) ลำดับที่ 4 : อายุ (Age) เช่น old (แก่), young (หนุม่ สาว) ลำดับที่ 5 : สี (Color) เช่น black (สีดา), white (สีขาว), red (สีแดง) ลำดับที่ 6 : ที่มา เชื้อชาติ (Origin) เช่น Thai (ไทย), Chinese (จีน) ลำดับที่ 7 : ชนิดวัตถุ (Material) เช่น metal (โลหะ), wood (ไม้), plastic (พลาสติก) ลำดับที่ 8 : จุดประสงค์ (Purpose) เช่น cooking (ทาอาหาร), sleeping (นอน) ตัวอย่าง A: What does she look like? B : She is a beautiful tall young Chinese woman. ลำดับที่ 1 ลำดับที่ 2 ลำดับที่ 4 ลำดับที่ 6 11 4.Adjective (คำค ุณศัพท์) ตำแหน่งของ Adjective ในประโยค 1. อยูห่ น้ำคำนำม The white cat is sleeping. 2. ตำมหลัง Verb to be (แมวตัวสีขำว กำลังนอนหลับอยู่) He is tall. (เขำสูง) A tall man is playing basketball. She is beautiful. (เธอสวย) (ผูช้ ำยสูงคนหนึง่ กำลังเล่นบำสเก็ตบอล) 3. อยูห่ ลัง Linking verb Linking Verb คือ กริยำเชื่อม ทำหน้ำที่เชื่อมประธำนกับค ุณศัพท์ เพื่อบอกสภำวะ ไม่ใช่บอก กำรกระทำ ได้แก่ Appear, Became, Come, Feel, Get, Go, Grow, Look, Remain, Seem, Smell, Sound, Stay, Taste, Turn How to get rich. (ทำอย่ำงไรถึงจะรวย) This food smells delicious. (อำหำรนีม้ ีกลิ่นน่ำอร่อย) 4. วำง ไว้ดำ้ นหลัง as 5. วำงไว้หลังคำนำมหรือคำสรรพนำมที่เป็น กรรมของประโยค เพื่อให้ประโยคสมบูรณ์ I am as tall as you. (ฉันสูงเท่ำคุณ) Sweets make you fat. (ของหวำนทำให้คณุ อ้วน) You drive me mad. (คุณทำให้ฉนั โมโห) 6. ไว้ดำ้ นหลัง something/somone/anything/anyone/everything/ everyone/nothing/ nobody/those I want to eat something sweet. (ฉันอยำกกินอะไรหวำนๆ) There is nothing impossible. (ไม่มีอะไรที่เป็ นไปไม่ได้) 12 5. Adverb (คําวิเศษณ์) คือ คาที่ใช้ขยาย คากริยา (Verb) ขยายคาคุณศัพท์ (Adjective) และยังขยายคาวิเศษ (Adverb) ด้วยกันเองอีกด้วย 1. Adverbs of Degree ✓ เป็ นกริยาวิเศษณ์ที่สว่ นใหญ่ไปขยาย adjective หรือ adverb ด้วยกันเอง เพื่อบอกระดับ หรือปริมาณความมากน้อย คาที่พบบ่อยๆ ได้แก่ absolutely certainly definitely probably entirely obviously very almost nearly quite just too enough hardly completely very extremely exactly scarcely so much quite perhaps probably rather fairly only slightly slowly carefully etc. ✓ Ex. My grandfather walks slowly. (slowly เป็ นคากริยาวิเศษณ์ ขยายคากริยา walk) Jane is very beautiful. (very เป็ นคากริยาวิเศษณ์ ขยายคาคุณศัพท์ beautiful) Pam drives quite carefully. (quite เป็ นคากริยาวิเศษณ์ ขยายคาวิเศษณ์ carefully) 2. Adverbs of Manner ✓ เป็ น adverb ที่บอกว่าการกระทานัน้ ได้กระทาในลักษณะอาการอย่างไร ( How ) ส่วนมากจะเป็ น adverb ที่ลงท้ายคาด้วย -ly เช่น actively any how aggressively loudly carefully well quickly distinctly quietly promptly equally slowly etc. ✓ ถ้าประโยคไม่มีกรรมให้วางหลังกริยา Ex. They walk slowly. (เขาเดินอย่างช้าๆ) ✓ ถ้าประโยคนัน้ มีกรรม ให้วางหลังกรรม Ex. I can speak Japanese well. (ฉันพูดภาษาญี่ปุ่นได้อย่างดี) 13 5. Adverb (คําวิเศษณ์) 3. Adverbs of Time ✓ กริยาวิเศษณ์ที่ใช้ขยายกริยาเพื่อแสดงเวลา แบ่งออกเป็ น 3 ประเภท คือ 1. ประเภทที่เป็ นคาเดียว ไม่มีคาอื่นมาร่วมด้วย ได้แก่ today, yesterday, tomorrow, late, lately, recently, early, before, tonight, now, then, soon, still, yet, already, just, afterwards, etc. 2. ประเภทที่มีคาอื่นมาประกอบด้วย (Adverbial Phrases of Time) ได้แก่ this morning, in the afternoon, last week, last month, next year, on Sunday, next Monday, before three o'clock, two weeks ago, the day after tomorrow, during summer, in B.E. 2520, in January, on 5th February, etc. 3. ประเภทที่เป็ นประโยคเพื่อมาขยายกริยาแสดงเวลา ซึ่งจะขึน้ ต้นประโยคของมันเองด้วยคา เหล่านี้ when, since, until, after, before, as soon as, etc. การวางตําแหน่งของ Adverb of Time ❑ โดยปกติทวั ่ ไปจะวางไว้สดุ ประโยคเสมอ เช่น Ex. Mr. Jeon will leave for London tomorrow. (คุณจอนจะออกเดินทางกลับไปยังกรุงลอนดอนวันพรุ่งนี้) ❑ ถ้าต้องการจะเน้นเวลา ให้วางไว้ตน้ ประโยค เช่น Ex. Last week we went to Chiengmai by train. (สัปดาห์ที่ผา่ นมาเราไปเที่ยวเชียงใหม่โดยทางรถไฟ) ❑ ถ้ามี Adverbs of Time หลายคาหรือหลายประเภทมาอยู่ในประโยคเดียวกัน ให้วางจาก หน่วยเล็กไปหาหน่วยใหญ่เสมอ Ex. I go to bed at seven o'clock in the evening on Sunday. (ผมจะไปนอนเวลา 1 ทุ่มตอนเย็นวันอาทิตย์) 14 5. Adverb (คําวิเศษณ์) 4. Adverb of Place ✓ เป็ นกริยาวิเศษณ์บอกสถานที่ การใช้ Adverb of Place จะใช้สาหรับขยายกริยา เพื่อบอกว่าการ กระทานัน้ เกิดขึน้ ที่ไหน upstairs downstairs outside inside outdoors indoors here there somewhere nowhere everywhere etc. ✓ Ex. You 'll find these flowers everywhere. (คุณจะพบว่ามีดอกไม้เหล่านีอ้ ยู่ทกุ หนแห่ง) 5. Conjunctive Adverbs ✓ เป็ นกริยาวิเศษณ์ที่ทาหน้าที่เป็ นคาเชื่อมอนุประโยค (independent clause ) ในประโยคโดยมี ข้อความของอนุประโยคหน้าและอนุประโยคหลังเชื่อมโยงกัน เช่นคาต่อไปนี้ aaccordingly also anyway besides certainly consequently further however hence furthermore etc. ✓ การใช้ Conjunctive Adverbs ในการเชื่อมอนุประโยคจะต้องใช้ semi colon ในการเชื่อมประโยค และคา Conjunctive Adverbs ต้องมี comma ตาม ยกเว้น so และ otherwise ไม่ตอ้ งมี comma ✓ Ex. Bill went to school; however, he didn't attend classes. (บิลไปโรงเรียนแต่ไม่ได้เข้าเรียน) 6. Interrogative Adverbs ✓ เป็ นกริยาวิเศษณ์นาในประโยคคาถาม ได้แก่คาดังต่อไปนี้ why, where, how, when ✓ Ex. Why are you so late? (ทาไมคุณสายจัง) Where is my passport? (หนังสือเดินทางฉันอยู่ไหน) How much is that coat? (เสื้อโค้ตตัวนัน้ ราคาเท่าไร) When does the train arrive? (รถไฟมาถึงเมื่อไร) 15 5. Adverb (คําวิเศษณ์) 7. Relative Adverbs ✓ เป็ นคากริยาวิเศษณ์ใช้เพื่ออธิบายขยายความคาที่อยู่ขา้ งหน้าให้ชดั เจนขึน้ ว่าเกิดขึน้ ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ได้แก่ when, where, why แทนคา preposition + which ✓ Ex. I remember the day when we first met. (ฉันจาวันที่เราพบกันครัง้ แรกได้) ( when = preposition on + which ) 8. Viewpoint and Commenting Adverbs ✓ เป็ นคากริยาวิเศษณ์แสดงความเห็นของผูพ้ ดู คาที่ใช้มาก ได้แก่ honestly seriously confidentially personally surprisingly ideally economically officially obviously clearly ✓ Ex. Honestly, I think he is a liar. (จริงๆนะ ฉันว่าเขาเป็ นคนโกหก) 9. Adverbs phrases and clauses of purpose ✓ คือประโยคที่ทาหน้าที่ขยายกริยาเพื่อแสดง ความมุง่ หมายหรือแสดงวัตถุประสงค์ ได้แก่ So that That So In order that For the purpose that Lest In case (that) For fear that ✓ Ex. We eat that we may live. (เรากินเพื่อว่าเราจะมีชีวิตอยู่ตอ่ ไป) I study hard so that I may pass my examination. (ฉันเรียนอย่างหนักเพื่อที่ว่าฉันจะได้สอบผ่าน) 10. Adverbs of Certainty ✓ เป็ นคากริยาวิเศษณ์ แสดงความรูส้ ึกแน่ใจของผูพ้ ดู คาที่ใช้มาก ได้แก่ Certainly , definitely , probably, undoubtedly, surely, absolutely ✓ Ex. I absolutely agree with her. (ฉันเห็นด้วยกับเธออย่างมาก) 16 6. Preposition (คําบ ุพบท) คือ คาที่ใช้เชือ่ ม หรือแสดงความสาพันธ์ระหว่าง คาต่อคา เช่น นามต่อนาม, กริยากับนาม, กริยากับ สรรพนาม สรรพนามกับนาม, หรือนามกับสรรพนาม ตัวอย่างคาบุพบท เช่น in, on, at, under, to, from, of, off, since, for, near, around, inside, outside, beneath, towards, into, till, until, from…to, with, without, by, up, down, after, before, beside, besides, against, through, across, along, above, over, behind, below, underneath, during, between, among, from…until, within, forwards. 1. คาบุพบทบอกสถานที่ (prepositions of place) ✓ เช่น at, on, in, etc 2. คาบุพบทบอกตาแหน่ง (prepositions of position) ✓ เช่น above, beneath, behind, in front of, etc. 3. ใคาบุพบทบอกการเคลื่อนไหว (prepositions of motion) ✓ เช่น through, into, towards, out of, away from, etc 4. คาบุพบทบอกทิศทาง (prepositions of direction) ✓ เช่น up, down, across, along, etc 5. คาบุพบทบอกเวลา (prepositions of time) ✓ เช่น on, in, at, by, after, before, etc. 6. คาบุพบทบอกลักษณะอาการ (prepositions of manner) ✓ เช่น in, with, without, etc. 7. คาบุพบทบอกความสัมพันธ์ (prepositions of relationship) ✓ เช่น about, of, with, in, from, etc. 17 6. Preposition (คําบ ุพบท) การใช้ in, on, at บทบอกเวลา ❑ In >>> ใช้บอกเวลาที่เป็ นชื่อเดือน, ปี , ฤดูกาล, และส่วนของวัน >>> เช่น I like to swim in the morning. (ผมชอบว่ายนา้ ในเวลาเช้า) ❑ On >>> ใช้เพื่อบอกเวลาที่เป็ นวันของสัปดาห์ และวันที่ วันสาคัญทางราชการต่างๆ >>> เช่น on Sunday, On New Year’s Day , On King’s Birthday. etc. ❑ At >>> ใช้เพื่อบอกเวลาเกี่ยวกับชัว่ โมง , noon, night, midnight, midday, Christmas, Easter เพื่อบอกเวลาเฉพาะเจาะจง >>> เช่น They want home at three o’clock. (พวกเขากลับบ้านเวลา 15.00 น.) การใช้ in, on, at บอกสถานที่ ❑ In >>> ใช้กล่าวถึงบางอย่างที่วางอยู่ขา้ งใน หรืออยู่ภายใต้ขอบเขตชัดเจน >>> The girls are playing in the garden. (เด็กๆกาลังเล่นกันในสวน) ❑ On >>> ใช้กล่าวถึงบางอย่างที่วางอยู่บนพื้นผิว >>> The sculpture hangs on the wall. (รูปสลักแขวนอยู่บนผนัง) ❑ At >>> ใช้กล่าวถึงบางอย่างที่ระบุจดุ ที่อยู่ไว้อย่างชัดเจน >>> We will meet at the airport. เราจะพบกันที่สนามบิน 18 7. Conjunction (คําสันธาน) คือ คาเชือ่ มประโยค 1. Coordinating Conjunctions ✓ คือ คาสันธานที่ใช้เชื่อมคาหรือประโยคสองอันเข้าด้วยกัน ซึ่งกลุม่ คาสันธานเหล่านี้ ได้แก่ for (เพราะ) and (และ) nor (ไม่ทงั้ …) but (แต่) หรือจาง่ายๆ ว่า or (หรือ) yet (แต่,ยัง) so (เพื่อที่) FANBOYS ✓ Ex. I love reading fantasy novels for they take me to a different world. (ฉันชอบอ่านนิยายแฟนตาซีเพราะเหมือนว่าได้ไปอยู่อีกโลกหนึง่ ) I don’t like talking with your mom nor your dad. (ฉันไม่ชอบการพูดคุยกับแม่ของคุณไม่แม้กระทัง่ พ่อของคุณ) 2. Correlative Conjunctions ✓ คือ คาสันธานที่อยู่กนั เป็ นคูแ่ ละใช้คก่ ู นั เสมอ ได้แก่ either…or (ไม่…ก็…) neither…or (ไม่ทงั้ …และ…) not only…but also (ไม่เพียงแต่…แต่ยงั …) ✓ Ex. Margaret likes neither London nor Paris. She prefers Asian countries. (มาร์กาเร็ตไม่ชอบทัง้ ลอนดอนและปารีส เธอชอบประเทศแถบเอเชียมากกว่า) 3. Subordinating Conjunctions ✓ คือคาสันธานที่ใช้เชื่อมประโยคใจความรองเข้ากับประโยคใจความหลัก ได้แก่ because (เพราะ) since (ตัง้ แต่,เพราะ) as (เพราะ,เนือ่ งจาก) as though (ราวกับว่า) although (แม้ว่า) though (แม้ว่า) while (ขณะที่) whereas (ในขณะที่) ✓ Ex. They are angry because the football match has been cancelled. (พวกเขาโกรธเพราะว่าการแข่งขันฟุตบอลถูกยกเลิก) 19 8. Interjection (คําอ ุทาน) คือ คาหรือประโยคที่แสดงออกมาทางอารมณ์อย่าง ฉับพลัน เพื่อแสดงความรูส้ ึกที่เกิดขึน้ ในขณะนัน้ เช่น ดีใจ ตืน่ เต้น หรือแม้แต่ ประหลาดใจ เป็ นต้น เมื่อจบคาอุทานแล้วต้องใส่เครื่องหมายอัศเจรีย์ หรือเครื่องหมายตกใจ (Exclamation mark) คือ ‘! ’ ทุกครัง้ ha! Ahem! All right! Gadzooks! Gee Whiz! Good! Gosh! Yippee! Hey! Hooray! Indeed! My Goodness! Nuts! Oh no! Oops! Ouch! Whoopee! Wow! Yikes! Yoo-hoo! Yuck! Tut! tut! Pooh! Ugh! ✓ Ex. Ha! I’m happy. (ฮ้า ช่างสบายอะไรอย่างนี้) Oh! What a fright. (โอ้อะไรจะน่าตืน่ เต้นขนาดนัน้ ) 20 หลักการใช้ Article A, An, The A จะใช้นาหน้าคานามนับได้ที่เป็ นเอกพจน์ และขึน้ ต้นด้วยพยัญชนะ A monkey = ลิงตัวหนึง่ เนือ่ งจากลิงเป็ นนามนับได้เอกพจน์ และ m เป็ นพยัญชนะ เราจึงใช้ a วางด้านหน้า An จะใช้นาหน้าคานามที่เป็ นเอกพจน์และขึน้ ต้นด้วยสระ อันประกอบด้วย a, e, i, o และ u An umbrella = ร่มคันหนึง่ เนือ่ งจากร่มเป็ นนามนับได้เอกพจน์ และ u เป็ นสระ จึงใช้ an The ✓ ใช้เมื่อนามนีเ้ ป็ นสิ่งที่มีเพียงหนึง่ เดียว Speed of the Earth’s orbit around the sun is quite high. ✓ ใช้เมื่อกล่าวถึงนามนัน้ ซา้ อีกรอบ Yesterday I bought a lot of pens. The pens are very good. ✓ ใช้นาหน้าชือ่ เฉพาะ There is a picturesque view around The Eiffel Tower. 21 Tense Tense คือ รูปของคากริยาที่บอกเวลาของการกระทาในภาษาอังกฤษ การกระทาที่เกิดขึน้ ในเวลาที่ แตกต่างกันจะใช้รปู ของคากริยาที่แตกต่างกัน แบ่งออกเป็ น 3 กลุม่ ใหญ่ ประกอบด้วย 1. Present Tense (ปั จจุบันกาล) กล่าวถึงเรื่องราวในปั จจุบนั 2. Past Tense (อดีตกาล) กล่าวถึงเรื่องราวในอดีต 3. Future Tense (อนาคตกาล) กล่าวถึงเรื่องราวในอนาคต 1. Present Simple Tense S + V.1 (s/es) หลักการใช้ ใช้กบั เหตุการณ์ที่เกิดในปั จจุบนั , ทาเป็ นประจา, เป็ นจริงทางวิทยาศาสตร์ คาที่พบ always, usually, often, never, today, nowadays, every + day/month/year, normally, habitually, naturally ตัวอย่าง The sun sets in the west and rises in the east. (พระอาทิตย์ตกทางทิศตะวันตกและขึน้ ทางทิศตะวันออก) I am an English teacher. (ฉันเป็ นครูสอนภาษาอังกฤษ) หมายเหตุ *.. ประโยคบอกเล่า : S + V.1 (s/es) ถ้าประธานเป็ นเอกพจน์ (He, She, It, Jane) กริยาจะต้องเติม s, es หรือ ies ประโยคปฏิเสธ : S + do/does + not + V.1 Does ใช้กบั ประธานเอกพจน์ (She has, It’s, Jim) ประโยคคาถาม : Do + S+ V.1 Do ใช้กบั ประธานพหูพจน์ (I, You, We, They) Does + S + V.1 2. Present Continuous Tense S+ is, am, are + Ving หลักการใช้ 1. ใช้กล่าวเหตุการณ์ที่กาลังเกิดขึน้ ขณะที่พดู อยู่ 2. ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่กาลังจะเกิดขึน้ ในอนาคต (แน่ๆ) และมักจะมีคาที่บ่งบอก อนาคตกากับอยู่ดว้ ย คาที่พบ now, right now, at this moment, at the moment, at present, in a minute ตัวอย่าง I’m eating rice now. ฉันกาลังกินข้าวอยู่ตอนนี้ I’m going to London next week. ฉันกาลังจะไปลอนดอนสัปดาห์หน้า หมายเหตุ *.. ประโยคบอกเล่า : S+ is, am, are + Ving ประโยคปฏิเสธ : S+ is, am, are +not + Ving ประโยคคาถาม : Is, Am, Are + S + Ving 22 3. Present Perfect S + has/have + V.3 หลักการใช้ 1. ใช้แสดงเหตุการณ์ หรือการกระทาที่เกิดขึน้ ในอดีต และดาเนินเรื่อยมาจนถึง ขณะที่พดู และมีท่าทีว่าจะดาเนินต่อไปอีกในอนาคต 2. ใช้กบั เหตุการณ์ที่เคยหรือไม่เคยทาในอดีต ซึ่งมิได้บ่งบอกเวลาที่แน่นอนเอาไว้ 3. ใช้แสดงเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึน้ ในอดีต ซึ่งเพิ่งสิ้นสุดก่อนเวลาที่ พดู เล็กน้อย หรือ เหตุการณ์ที่ทาแล้วเสร็จอย่างเรียบร้อยแล้ว คาที่พบ since , for , just, recently, lately , ever, never, once, twice, many/several times, a lot of times, …times, again and again, over and over ตัวอย่าง I have had a fever for almost a week. ฉันเป็ นไข้มาประมาณอาทิตย์หนึง่ ได้แล้ว( ปั จจุบนั ฉันก็ยงั คงเป็ นไข้อยู่เช่นเดิม ) I have just finished my home work. (ฉันเพิ่งทาการบ้านของฉันเสร็จ) หมายเหตุ *.. ประโยคบอกเล่า : S + has/have + V.3 Has ใช้กบั ประธานเอกพจน์ (She has, It’s, Jim) Have ใช้กบั ประธานพหูพจน์ ((I, You, We, They) ประโยคปฏิเสธ : S + has/have + not + V.3 ประโยคคาถาม : Has/Have + S + V.3 4. Present Perfect Continuous Tense S + have/has been + V.ing หลักการใช้ ใช้กบั การกระทาหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึน้ ในอดีต ต่อเนือ่ งมาจนถึงปั จจุบนั และจะ ดาเนินต่อไปอีกในอนาคต คาที่พบ since , for ตัวอย่าง She has been sitting here for an hour. (เธอนัง่ อยู่ตรงนีม้ าเป็ นเวลาชัว่ โมงหนึง่ แล้ว) Tense ใช้เหมือน Present Perfect Tense ต่างกันแต่เพียงว่า Present Perfect Continuous Tense เน้น ความต่อเนือ่ งไปถึงอนาคต ) หมายเหตุ *.. ประโยคบอกเล่า : S + have/has been + V.ing Has ใช้กบั ประธานเอกพจน์ (She has, It’s, Jim) ประโยคปฏิเสธ : S + has/have + not + V.ing Have ใช้กบั ประธานพหูพจน์ ((I, You, We, They) ประโยคคาถาม : Has/Have + S + been + V.ing 23 5. Past Simple Tense S + V.2 หลักการใช้ 1. ใช้กบั เหตุการณ์หรือการกระทาที่ เกิดขึน้ ในอดีตและสิ้นสุดลงแล้ว 2. ใช้แสดงถึงการกระทาที่เป็ นนิสยั หรือเกิดขึน้ เป็ นประจาในอดีต ซึ่ งสิ้นสุดลงแล้ว คาที่พบ yesterday, last…, … ago, once, this morning, when I was ตัวอย่าง I lived in Chaing mai 3 years ago. ( ฉันอยู่ที่เชียงใหม่เมื่อ 3 ปี ที่แล้ว เดี๋ยวนีไ้ ม่ได้อยู่แล้ว ) หมายเหตุ *.. ประโยคบอกเล่า : S + V.2 ประโยคปฏิเสธ : S + did not (didn’t) + V.1 ประโยคคาถาม : Did+ S + V.1 6. Past Continuous Tense S + was/were + V.ing หลักการใช้ 1. ใช้เพื่อกล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทาที่ เกิดขึน้ ในอดีต ในช่วงเวลาที่บ่งไว้ อย่างชัดเจน 2. ใช้เพื่อกล่าวถึงเหตุการณ์สองเหตุการณ์ที่ เกิดขึน้ ซ้อนกันในอดีต โดย… - เหตุการณ์แรกที่เกิดขึน้ และดาเนินอยู่ จะใช้ Past Continuous Tense - เหตุการณ์สนั้ ๆนัน้ ได้เข้ามาแทรก จะใช้ Past Simple Tense คาที่พบ มักใช้คาว่า when, while, as ใน Past Continuous Tense เพื่อ เชื่อมเหตุการณ์ ต่างๆเข้าด้วยกัน ตัวอย่าง I was taking a shower at eight o’clock last night. (ฉันกาลังอาบนา้ อยู่เมื่อวานตอนสองทุ่ม) I was taking a bath when the telephone rang. ( ฉันกาลังอาบน้าํ อยู่เมื่อโทรศัพท์มนั ดัง หมายเหตุ *.. ประโยคบอกเล่า : S + was/were + V.ing ประโยคปฏิเสธ : S + was/were + not + V.ing Was ใช้กบั ประธานเอกพจน์ (She has, It’s, Jim) Were ใช้กบั ประธานพหูพจน์ ((I, You, We, They) ประโยคคาถาม : Was/Were+ S + V.ing 24 7. Past Perfect Tense S + had + V.3 หลักการใช้ ใช้กบั เหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ ที่เกิดขึน้ และสิ้นสุดลงแล้วในอดีตทั้ง2 เหตุการณ์ ซึ่งเหตุการณ์หนึง่ ได้สิ้นสุดลงก่อนหน้าอีกเหตุการณ์ โดย… - เหตุการณ์ที่เกิดขึน้ และสิ้นสุดลงก่อนจะใช้ Past Perfect Tense - เหตุการณ์ที่เกิดขึน้ และสิ้นสุดลงทีหลังจะใช้ Past Simple Tense คาที่พบ before, after, already, just, yet, until, till, as soon as, when, by the time, by… ตัวอย่าง After I had finished my homework, I went to the Internet Café. (หลังจากที่ฉนั ทาการบ้านเสร็จ ฉันก็ไปยังร้านอินเตอร์เน็ต) หมายเหตุ *.. ประโยคบอกเล่า : S + had + V.3 ประโยคปฏิเสธ : S + had + not + V.3 ประโยคคาถาม : Had+ S + V.3 8. Past Perfect Continuous Tense S + had been + V.ing หลักการใช้ ใช้กบั เหตุการณ์หรือการกระทา 2 อย่างที่เกิดขึน้ ไม่พร้อมกันในอดีตและสิ้นสุด ลงไปแล้วทัง้ 2 เหตุการณ์ โดย… - เหตุการณ์ใดเกิดก่อนใช้ Past Perfect Continuous Tense - เหตุการณ์ใดเกิดหลังใช้ Past Simple Tense ตัวอย่าง He had been sleeping for 30 minutes before we woke him up. ( เขาได้นอนหลับมา 30 นาทีกอ่ นที่เราจะปลุกเขา ) หมายเหตุ *.. ประโยคบอกเล่า : S + had been + V.ing ประโยคปฏิเสธ : S + had + not + been + V.ing ประโยคคาถาม : Had+ S + been + V.ing 25 9. Future Simple Tense S + will/shall +V.1 หรือ S + V.to be +going to +V.1 หลักการใช้ 1. ใช้พดู ถึงเหตุการณ์หรือการกระทาที่ จะเกิดขึน้ ในอนาคต โดยมักใช้กับ Adverb of Time เช่น tomorrow, next…, soon, shortly, later 2. ใช้กบั ประโยคที่ ตัดสินใจในขณะที่พดู โดยไม่ได้วางแผนมาก่อน 3. เราอาจใช้ “to be going to” แทน will / shall ใน Future Simple Tense เมื่อ… กล่าวถึง แผนการ หรือ ความตัง้ ใจ 4. กล่าวถึง เหตุการณ์ที่เชื่อจะเกิดขึน้ อย่างแน่นอน 5. กล่าวถึง การคาดคะเน ตัวอย่าง I will go to the hospital tomorrow. (ฉันจะไปโรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้) He is going to have a new pet next month. (เขากาลังจะได้สตั ว์เลี้ยงตัวใหม่ในเดือนหน้า) หมายเหตุ *.. ประโยคบอกเล่า : S + will/shall +V.1 ประโยคปฏิเสธ : S + will/shall +not + V.1 ประโยคคาถาม : Will/Shall + S + V.1 10. Future Continuous Tense S + will/shall be + V. ing หลักการใช้ 1. ใช้กบั เหตุการณ์ที่ กาลังจะเกิดขึน้ ตามวันหรือเวลาที่กาหนดไว้ในอนาคตอย่าง ชัดเจน โดยจะสื่อความหมายออกมาว่า เมื่อถึงวันและเวลาที่กาหนดไว้แล้ว เราก็จะเห็นเหตุการณ์นนั้ ดาเนินอยู่ เช่น He will be finishing his work at 7 o’clock. (เขาจะทางานของเขาเสร็จตอนเจ็ดโมงเช้า) 2. ใช้กบั เหตุการณ์หรือการกระทาที่ คาดว่าจะเกิดขึน้ ในอนาคตอย่าง แน่นอน เช่น You will be laughing when you see her with that dress. (คุณจะต้องขาแน่ๆ ถ้าคุณเห็นเธออยู่ในชุดนัน้ ) หมายเหตุ *.. ประโยคบอกเล่า : S + will/shall be + V. ing ประโยคปฏิเสธ : S + will/shall + hot + be + V. ing ประโยคคาถาม : Will/Shall + S + be + V. ing 26 11. Future Perfect Tense S + will/shall + have + V. 3 หลักการใช้ ใช้กบั เหตุการณ์หรือการกระทาที่ คาดว่าจะสิ้นสุดในช่วงเวลาที่กาหนดไว้ในอนาคต โดยมักใช้กบั by + (by next week, by next month by the end of this year, by 2012, by 6 o’clock, etc.) ตัวอย่าง I will have completed my work by tomorrow. (ฉันจะทางานของฉันเสร็จสมบูรณ์ในวันพรุ่งนี้) หมายเหตุ *.. ประโยคบอกเล่า : S + will/ shall + have + V.3 ประโยคปฏิเสธ : S + will/ shall + not + have + V.3 ประโยคคาถาม : Will + S+ have + V.3 ? 12. Future Perfect Continuous Tense S + will + have been + V. ing หลักการใช้ 1. มีวิธีการใช้เหมือนกับ Future Perfect Tense ต่างกันเพียงตรงที่ Future Perfect Continuous Tense นัน้ เน้นการกระทาหรือเหตุการณ์ที่ดาเนินอยู่ ณ เวลาใด เวลาหนึง่ และยังคงจะดาเนินต่อไปอีกในอนาคต โดยมักใช้กบั for + เพื่อแสดง ระยะเวลาของเหตุการณ์ หรือ การกระทานัน้ ๆ เช่น By 2012, we will have been living in Bangkok for 7 years. (ในปี 2012 ก็จะครบรอบที่เราออยู่ในกรุงเทพเป็ นเวลา 7 ปี แล้ว) 2. ใช้กบั เหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่ ต้องการเน้นความต่อเนือ่ งของการ กระทาใดการกระทาหนึง่ ในอนาคต โดยมีขอ้ สังเกตว่า ในประโยคจะระบุอย่าง ชัดเจนว่าเหตุการณ์แรกเกิดขึน้ มานานเพิ่งใดแล้ว จากนัน้ จึงเกิดเหตุการณ์ที่ 2 ตามมา โดย… เหตุการณ์ที่เกิดขึน้ ก่อน จะใช้ Future Perfect Continuous Tense เหตุการณ์ที่เกิดขึน้ หลัง จะใช้ Present Simple Tense My friend will have been reading for three hours by the time I get library. (เพื่อนของฉันคงอ่านหนังสือเป็ นเวลา 3 ชัว่ โมงแล้ว ตอนที่ฉนั มาถึงห้องสมุด) หมายเหตุ *.. ประโยคบอกเล่า : S + will + have been + V. ing ประโยคปฏิเสธ : S + will + not+ have been + V. ing ประโยคคาถาม : Will + S+ have been + V. ing ? 27 Active Voice & Passive Voice Active Voice Passive Voice หมายถึง ประโยคที่ประธานเป็นผูก้ ระทา หมายถึง ประโยคที่ประธานเป็นผูถ้ ูกกระทา เช่น Thai people eat rice. เช่น Rice is eaten by Thai people. คนไทยกินข้าว (ประธานคือ คนไทย) ข้าวถูกกินโดยคนไทย (ประธานคือ ข้าว) โครงสร้าง Active Voice และ Passive Voice ใน 12 Tenses Present Tense Tense Active Voice Passive Voice Present Simple S+V1 S + is/am/are + V 3 Present Continuous S + is/am/are + V (ing) S + is/am/are + being + V 3 Present Perfect S + has/have + V 3 S + has/have + been + V 3 Present Perfect Continuous S + has/have + been + V (ing) S + has/have + been + being + V 3 Past Tense Tense Active Voice Passive Voice Past Simple S+V2 S + was/were + V 3 Past Continuous S + was/were + V (ing) S + was/were + being + V 3 Past Perfect S + had + V 3 S + had + been + V 3 Past Perfect Continuous S + had been + V (ing) S + had + been + being + V 3 Future Tense Tense Active Voice Passive Voice Future Simple S + will/shall + V 1 S + will/shall + be + V 3 Future Continuous S + will/shall + be + V (ing) S + will/shall + be + being + V 3 Future Perfect S + will/shall + have + V 3 S + will/shall + have + been + V 3 Future Perfect Continuous S + will/shall + have + been + V (ing) S + will/shall + have + been+ being + V3 28 vocabulary Synonym หมายถึง คาศัพท์คาหนึง่ ที่มีความหมายเหมือนกับคาอีกคาหนึง่ แต่เขียน สะกดคาไม่เหมือนกัน aim - goal - purpose จุดมุง่ หมาย เป้าหมาย hard - difficult - tough ยาก amusing - funny ความหมาย ตลก need - want - require ต้องการ change - alter เปลี่ยน new - fresh - recent ใหม่ danger - hazard อันตราย occur - happen - take place เกิดขึน้ end - finish - complete จบ, เสร็จสิ้น old - aged - ancient แก่, เก่า exhausted – tired เหนือ่ ย right - proper - correct ความหมาย ถูกต้อง long - extended นาน ยาว start - begin - commence เริ่มต้น intelligence – cleverness ความฉลาด make - build - create - construct ความหมาย สร้าง ทาขึน้ มา Antonym หมายถึง คาศัพท์คาหนึง่ ที่มีความหมายตรงกันข้ามกับคาอีกคาหนึง่ afraid กลัว brave กล้า always สมา่ เสมอ never ไม่เคย before ก่อน after หลัง before ก่อน after หลัง enemy ศัตรู friend เพื่อน,มิตร fat อ้วน slim ผอม partial เป็ นบางส่วน total ทัง้ หมด peace สันติภาพ war สงคราม quick เร็ว slow ช้า quiet เงียบ loud, noisy ดัง short สัน้ ,เตีย้ long, tall ยาว,สูง silly โง่ intelligent ฉลาด simple เรียบง่าย complicated ซับซ้อน useless ไร้ประโยชน์ useful มีประโยชน์ wedding งานแต่งงาน divorce การหย่าร้าง to win ชนะ to lose แพ้ 29 Gerund Gerund คือ คำกริยำเติม ing (V-ing) ที่ทำหน้ำที่เป็ นคำนำม เรียกกันว่ำ กริยำนำม แปลว่ำ กำร เช่น Working แปลว่ำ กำรทำงำน, Reading แปลว่ำ กำรอ่ำนหนังสือ เป็ นต้น กริยำบำงกลุม่ ที่ตอ้ งตำมด้วย Gerund Admit Defer Dread Forgive Miss Prefer Allow Deny Dislike Fancy Practice Stop Appreciate Detest Enjoy Imagine Risk Suggest Avoid Keep Escape Cancel Resent Worth Consider Delay Finnish Mind Postpone Feel like ❑ หลักการใช้ Gerund 1. ใช้ gerund เป็นประธาน ใช้ gerund เป็ นประธำนของประโยค Fishing is fun. โดยตำแหน่งของ gerund จะอยู่หน้ำ verb (กำรตกปลำสนุกจัง) 2. ใช้ gerund เป็นกรรม ใช้ gerund เป็ นกรรมของประโยค He enjoys reading. (เขำสนุกกับกำรอ่ำนหนังสือ) โดยตำแหน่งของ gerund จะอยู่หลัง verb 3. ใช้ gerund เป็นส่วนเติมเต็ม My favorite activity is drawing. ส่วนเติมเต็มของประธำน มักจะตำมหลัง (กิจกรรมโปรดของฉันคือกำรวำดรูป) linking verb เช่น is, am, are, was, were, My uncle found a cat sleeping under feel, seem the tree. ส่วนเติมเต็มของกรรม มักจะตำมหลังกรรม (ลุงของฉันเจอแมวนอนหลับอยู่ใต้ตน้ ไม้) 4. ใช้ gerund หลัง preposition Preposition (คำบุพบท) เช่น คำว่ำ in, on, at, to, Anne is very good at singing. before, after (แอนเก่งมำกกับกำรร้องเพลง) 30 Infinitive Infinitive คือ คำกริยำ (Verb1) ที่อยู่ในรูปปกติ ไม่ผนั ไปตำมประธำน (Subject) หรือกำล (Tenses) ไม่มีกำรเติม s, es, ies, ing หรือ ed รวมทัง้ ไม่เปลี่ยนรูปเป็ น V2 หรือ V3 (Irregular) Infinitive มีอยู่ 2 แบบ ดังต่อไปนี้ 1. Infinitive with to คือ คำกริยำช่อง 1 ที่มี to นำหน้ำ เช่น to talk, to think, to sleep มีหลักกำรใช้ดงั นี้ 1. มักใช้ตำมหลังคำกริยำเหล่ำนี้ ในโครงสร้ำง Subject + Verb + Infinitive with to afford agree appear arrange ask attempt begin can’t bear can’t stand care cease choose claim continue decide demand deserve determine dread expect fail forget happen hate hesitate hope hurry intend learn like love manage need neglect offer plan prefer prepare pretend promise propose prove rail refuse regret remember seem start swear tend threaten try vow wait want wish Ex. I forgot to close the window. Ex. She planned to leave tomorrow. 2. ใช้ be to + Infinitive with to หรือ have to + Infinitive with to เมื่อต้องกำรออกคำสัง่ คำขอร้อง Ex. You have to be in my office by ten thirty. 3. คำว่ำ ought (ควรจะ), get used (เคยชิน) และ used (เคย) ต้องตำมด้วย Infinitive with to Ex. You ought to do your homework by yourself. 4. รูป negative infinitive สร้ำงขึน้ โดยกำรเติม not ข้ำงหน้ำ to ซึ่งเป็ น not to + V1 Ex.Try not to be late. 2. Infinitive without to คือคำกริยำช่อง 1 ที่ไม่มี to นำหน้ำ มีหลักกำรใช้ดงั นี้ 1. ใช้ตำมหลัง Modal Auxiliary Verbs เช่น will, shall, should, can, may, must และ verb to do Ex. She should talk to him first. 2. ใช้ตำมหลังกริยำบำงคำ เช่น like, let, make, see, know, watch, hear, feel, help etc. Ex. I watched them bake the bread. 3. ใช้ตำมหลังคำเหล่ำนี้ rather than, had better, would rather, would sooner Ex. You had better consult the doctor. 4. ใช้ตำมหลังคำเหล่ำนี้ and, or, except, but, than, as Ex. My had nothing to do except play cards. 5. ใช้ตำมหลังคำเหล่ำนี้ Why หรือ Why not Ex. Why not come out for a walk with me? Ex. Why call when you send them an email? 31 Phrasal Verbs Phrasal Verbs คือ กริยำวลี เป็ นกำรนำกริยำมำรวมกับ adverb หรือ preposition หรือทัง้ สองคำ แล้วทำให้ควำมหมำยของคำกริยำเปลีย่ นไปจำกเดิม 1. Separable verbs คือ กริยำวลีที่สำมำรถ 2. Inseparable Verbs คือ กริยำวลีที่ถำ้ มี แยก verb กับ preposition ได้ มักเป็ น กรรมมำรับจะไม่สำมำรถแยก verb กับ กริยำวลีที่ตอ้ งกำรกรรม เช่น preposition จำกกันได้ โดยกรรมจะวำงไว้หลัง - try on = ลองสวม กริยำวลีเสมอ เช่น - turn on = เปิ ด (ไฟ) - Run into = พบโดยบังเอิญ - call off = ยกเลิก - Cope with = จัดกำรกับ - Take off = ถอดออก, ปลดออก - Get on/off = ขึน้ /ลง Ex. I’m going to take off my shoes. Ex. We get on the bus here. หรือ I’m going to take my shoes off. ก็ได้ * หมำยเหตุ Inseparable Verbs บำงตัวก็ไม่ตอ้ งมีกรรม เช่น - Carry on = ทำต่อไป คาศัพท์ - Come in = เข้ำมำถึง Ask out Figure out Pick up Tear down Bring about, - Grow up = เติบโต Fill out Pick out Tear up bring on - Wake up = ตืน่ นอน Bring up Fill in Point out Think over Call back Give back Put away Throw away คาศัพท์ Call in Give up Put back Throw out Call on Get off Look out for Call off Hand in Put off Try on Catch up Get on Pass away Call up Hang up Put on Turn down Check in, Cheer up Have on Put out Turn in Get out of Put up with check into Clean up Keep out Show off Turn off Check out Get over Run into Cross out Kick out Shut off Turn on Cut out Look over Take off Turn out Check out of Get through Run across Do over Look up Take out Turn up Come across Get up Run out of Drop off Make up Take over Drop by Go over Show up Drop in Grow up Take after Drop out Keep up with Take up Get along with Look after Throw up Get in Look into บำงคำเป็ นได้ทงั้ Separable และ Inseparable Phrasal Verbs Get back from : Pass out : 1. เป็ น Separable หมำยถึง ได้รบั (บำงสิ่ง)คืนจำก 1) เป็ น Separable หมำยถึง แจกจ่ำย 2. เป็ น Inseparable หมำยถึง กลับจำกบำงแห่ง 2) เป็ น Inseparable หมำยถึง หมดสติ

Use Quizgecko on...
Browser
Browser