พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 PDF

Summary

เอกสารนี้เป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ตีพิมพ์เมื่อ 21 กรกฎาคม 2561 ในราชกิจจานุเบกษา. เนื้อหาครอบคลุมแนวทางการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในประเทศไทย, นิยามศัพท์, และบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการ ป.ป.ช..

Full Transcript

หน้า ๑ เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๒ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑...

หน้า ๑ เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๒ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นปีที่ ๓ ในรัชกาลปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพ ระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พระราชบั ญ ญั ติ ป ระกอบรั ฐ ธรรมนู ญ นี้ มี บ ทบั ญ ญั ติ บ างประการเกี่ ย วกั บ การจํ า กั ด สิ ท ธิ แ ละ เสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๖ ประกอบกับมาตรา ๒๘ มาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ มาตรา ๓๗ และมาตรา ๔๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอํานาจตามบทบัญญัติ แห่งกฎหมาย เหตุ ผลและความจํ าเป็ นในการจํ ากั ดสิ ทธิ และเสรี ภาพของบุ คคลตามพระราชบั ญ ญั ติ ประกอบ รั ฐธรรมนู ญ นี้ เพื่ อ ให้ การปฏิ บั ติ ห น้ าที่ ข องคณะกรรมการป้ อ งกั น และปราบปรามการทุ จ ริ ต แห่ งชาติ สามารถดําเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพอันจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ซึ่งการตราพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญนี้สอดคล้องกับเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญขึ้นไว้โดยคําแนะนํา และยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติทําหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้ หน้า ๒ เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๒ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ มาตรา ๑ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑” มาตรา ๒ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป มาตรา ๓ ให้ยกเลิก (๑) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ (๒) ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๓๑ เรื่อง การดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๙ (๓) พระราชบัญ ญั ติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญ ญั ติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ พ.ศ. ๒๕๕๐ (๔) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ (๕) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๘ (๖) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ (๗) ประกาศคณะรัก ษาความสงบแห่ งชาติ ฉบั บ ที่ ๒๔/๒๕๕๗ เรื่อ ง ให้ พ ระราชบั ญ ญั ติ ประกอบรัฐธรรมนู ญ มี ผลบั งคั บ ใช้ต่ อไป ลงวัน ที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เฉพาะในส่ว นที่ เกี่ย วกั บ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (๘) ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๗๒/๒๕๕๗ เรื่อง การดําเนินการตามกฎหมาย ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ลงวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๗ มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ “เจ้าพนักงานของรัฐ” หมายความว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ และคณะกรรมการ ป.ป.ช. “เจ้ าหน้ าที่ ข องรัฐ ” หมายความว่ า ข้ าราชการหรือ พนั ก งานส่ ว นท้ อ งถิ่ น ซึ่ งมี ตํ าแหน่ งหรื อ เงินเดือนประจํา ผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐหรือในรัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น หน้า ๓ เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๒ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าพนักงานตามกฎหมาย ว่าด้วยลักษณะปกครองท้องที่ หรือเจ้าพนักงานอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ และให้หมายความรวมถึงกรรมการ อนุกรรมการ ลูกจ้างของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ และบุคคลหรือคณะบุคคล บรรดาซึ่งมีกฎหมายกําหนดให้ใช้อํานาจหรือได้รับมอบให้ใช้อํานาจทางปกครองที่จัดตั้งขึ้นในระบบราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือกิจการอื่นของรัฐด้วย แต่ไม่รวมถึงผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ และคณะกรรมการ ป.ป.ช. “เจ้าหน้ าที่ ข องรัฐต่ างประเทศ” หมายความว่า ผู้ซึ่ งดํ ารงตํ าแหน่ งด้ านนิ ติ บั ญ ญั ติ บริห าร ปกครอง หรือตุลาการ ของรัฐต่างประเทศ และบุคคลใด ๆ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ให้แก่รัฐต่างประเทศ รวมทั้ง การปฏิบั ติห น้าที่ สําหรับ หน่วยงานของรัฐหรือ หน่วยงานรัฐวิส าหกิจ ไม่ว่าโดยการแต่งตั้งหรือ เลือกตั้ง มีตําแหน่งประจําหรือชั่วคราว และได้รับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนอื่นหรือไม่ก็ตาม “เจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ” หมายความว่า ผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในองค์การระหว่างประเทศ หรือผู้ได้รับมอบหมายจากองค์การระหว่างประเทศให้ปฏิบัติหน้าที่ในนามขององค์การระหว่างประเทศนั้น “ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง” หมายความว่า (๑) นายกรัฐมนตรี (๒) รัฐมนตรี (๓) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (๔) สมาชิกวุฒิสภา (๕) ข้าราชการการเมืองอื่นนอกจาก (๑) และ (๒) ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมือง (๖) ข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมืองตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภา “ผู้ ดํ า รงตํ า แหน่ ง ในองค์ ก รอิ ส ระ” หมายความว่ า ผู้ ดํ า รงตํ า แหน่ ง ในองค์ ก รอิ ส ระตามที่ รัฐธรรมนูญบัญญัติยกเว้นคณะกรรมการ ป.ป.ช. และให้หมายความรวมถึงผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินด้วย ยกเว้นกรณีตามมาตรา ๑๑ (๑) “ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น” หมายความว่า ผู้ทําหน้าที่ช่วยเหลือผู้บริหารท้องถิ่น และให้หมายความ รวมถึ งผู้ทํ าหน้ าที่ ช่ วยเหลื อสภาท้ องถิ่ นหรือสมาชิ กสภาท้ องถิ่ นขององค์ กรปกครองส่ วนท้ องถิ่ นด้ วย ทั้ งนี้ ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด “ผู้ดํารงตําแหน่งระดับสูง” หมายความว่า ผู้ดํารงตําแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง ทบวง กรมหรือส่วนราชการที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลซึ่งมิใช่ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองสําหรับข้าราชการพลเรือน หน้า ๔ เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๒ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพสําหรับข้าราชการทหาร และ ผู้ บั ญ ชาการตํ า รวจแห่ ง ชาติ และให้ ห มายความรวมถึ ง ผู้ ว่ า ราชการจั ง หวั ด ปลั ด กรุ ง เทพมหานคร กรรมการและผู้ บ ริ ห ารสู ง สุ ด ของรั ฐ วิ ส าหกิ จ หั ว หน้ า หน่ ว ยงานขององค์ ก รอิ ส ระตามรั ฐ ธรรมนู ญ แต่ไม่รวมถึงผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กรรมการและผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานอื่นของรัฐ ผู้ดํารงตําแหน่งอื่น ตามที่กฎหมายกําหนด หรือผู้ซึ่งดํารงตําแหน่งเทียบเท่าตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด “ผู้ ถู ก กล่ า วหา” หมายความว่ า ผู้ ซึ่ ง คณะกรรมการ ป.ป.ช. มี ม ติ ให้ ดํ า เนิ น การไต่ ส วน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ไม่ว่าจะในฐานะเป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนในการกระทํา ความผิดดังกล่าว “คณะกรรมการ ป.ป.ช.” หมายความว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ “ประธานกรรมการ” หมายความว่า ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ “กรรมการ” หมายความว่า กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และให้หมายความ รวมถึงประธานกรรมการด้วย “เลขาธิการ” หมายความว่า เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ “สํานักงาน” หมายความว่า สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ “พนั ก งานเจ้ าหน้ าที่ ” หมายความว่า เลขาธิ การ และข้ าราชการในสั งกั ด สํ านั ก งาน และ ให้ หมายความรวมถึงข้าราชการหรือพนักงานซึ่งมาช่วยราชการในสํานักงานซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ “หัวหน้าพนักงานไต่สวน” หมายความว่า ผู้ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่งตั้งจากพนักงานไต่สวน “ไต่ ส วน” หมายความว่ า การแสวงหา รวบรวม และการดํ า เนิ น การอื่ น ใด เพื่ อ ให้ ได้ ม า ซึ่งข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน “ทุจริตต่อหน้าที่” หมายความว่า ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตําแหน่งหรือหน้าที่ หรื อ ปฏิ บั ติ ห รื อ ละเว้ น การปฏิ บั ติ อ ย่ า งใดในพฤติ ก ารณ์ ที่ อ าจทํ า ให้ ผู้ อื่ น เชื่ อ ว่ า มี ตํ า แหน่ ง หรื อ หน้ า ที่ ทั้งที่ตนมิได้มีตําแหน่งหรือหน้าที่นั้น หรือใช้อํานาจในตําแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งนี้ เพื่อแสวงหาประโยชน์ ที่มิควรได้โดยชอบสําหรับตนเองหรือผู้อื่น หรือกระทําการอันเป็นความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการหรือ ความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมตามประมวลกฎหมายอาญาหรือตามกฎหมายอื่น “ร่ํารวยผิดปกติ” หมายความว่า การมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือการมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจาก หน้า ๕ เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๒ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ การปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อํานาจในตําแหน่งหน้าที่ รวมทั้งกรณีมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติสืบเนื่องจาก การเปรียบเทียบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วย “พนักงานสอบสวน” หมายความว่า พนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และให้หมายความรวมถึงพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษด้วย มาตรา ๕ ในกรณีที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้มิได้กําหนดไว้เป็นประการอื่น การใดที่กําหนดให้แจ้ง ยื่น หรือส่งหนังสือหรือเอกสารให้บุคคลใดเป็นการเฉพาะ ถ้าได้แจ้ง ยื่น หรือ ส่งหนังสือหรือเอกสารให้บุคคลนั้น ณ ภูมิลําเนาหรือที่อยู่ที่ปรากฏตามหลักฐานทางทะเบียนตามกฎหมาย ว่าด้วยการทะเบียนราษฎร ให้ถือว่าได้แจ้ง ยื่น หรือส่งโดยชอบด้วยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้แล้ว และในกรณี ที่พระราชบัญ ญั ติประกอบรัฐธรรมนูญ นี้กําหนดให้ประกาศหรือเผยแพร่ให้ประชาชนทราบ เป็นการทั่วไป ให้ถือว่าการประกาศหรือเผยแพร่ในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศหรือระบบหรือวิธีการอื่นใด ที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้โดยสะดวก เป็นการดําเนินการโดยชอบด้วยพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญนี้แล้ว ในกรณีที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้กําหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือเลขาธิการ มีอํานาจกําหนดหรือมีคําสั่งเรื่องใด ถ้ามิได้กําหนดวิธีการไว้เป็นการเฉพาะ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือเลขาธิการกําหนดโดยทําเป็นประกาศ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือคําสั่ง แล้วแต่กรณี และถ้าประกาศ ระเบี ย บ ข้ อ บั ง คั บ หรื อ คํ า สั่ ง นั้ น ใช้ บั ง คั บ แก่ บุ ค คลทั่ ว ไป ให้ ป ระกาศในราชกิ จ จานุ เบกษาและ ให้ดําเนินการประกาศตามวรรคหนึ่งด้วย ทั้งนี้ ถ้าประกาศ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือคําสั่งใดมีการกําหนด ขั้นตอนการดําเนินงานไว้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือเลขาธิการต้องกําหนดระยะเวลาการดําเนินงาน ในแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจนด้วย มาตรา ๖ ในการปฏิบัติหน้าที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องให้ความร่วมมือและความช่วยเหลือ องค์กรอิสระทุกองค์กร ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่ามีผู้กระทําการอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันอยู่ในหน้าที่และอํานาจขององค์กรอิสระอื่น ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหนังสือแจ้งองค์กรอิสระ ที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการตามหน้าที่และอํานาจต่อไปโดยไม่ชักช้า ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า การดําเนินการเรื่องใดที่อยู่ในหน้าที่และอํานาจของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจเข้าลักษณะเป็นการกระทําความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอํานาจขององค์กรอิสระอื่นด้วย ให้ ค ณะกรรมการ ป.ป.ช. ปรึ ก ษาหารื อ ร่ ว มกั บ องค์ ก รอิ ส ระอื่ น ที่ เกี่ ย วข้ อ งเพื่ อ กํ า หนดแนวทางใน การดําเนินงานร่วมกันเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่ซ้ําซ้อนกัน หน้า ๖ เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๒ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เพื่อประโยชน์ในการดําเนินการตามวรรคสอง ให้ประธานกรรมการมีอํานาจเชิญประธานองค์กรอิสระอื่น มาร่วมประชุมเพื่อหารือและกําหนดแนวทางร่วมกันได้ และให้องค์กรอิสระทุกองค์กรปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว มาตรา ๗ ในการดําเนินคดีอาญาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ ถ้าผู้ถูกกล่าวหา หรือจําเลยหลบหนีไปในระหว่างถูกดําเนินคดีหรือระหว่างการพิจารณาของศาล มิให้นับระยะเวลาที่ผู้ถูกกล่าวหา หรือ จํ าเลยหลบหนี รวมเป็ น ส่ วนหนึ่ งของอายุ ค วาม และเมื่ อ ได้ มี คํ าพิ พ ากษาถึ งที่ สุ ด ให้ ล งโทษจํ าเลย ถ้าจําเลยหลบหนีไปในระหว่างต้องคําพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ มิให้นําบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๘ มาใช้บังคับ มาตรา ๘ ให้ ป ระธานกรรมการป้ อ งกั น และปราบปรามการทุ จ ริ ต แห่ ง ชาติ รั ก ษาการ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ หมวด ๑ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ส่วนที่ ๑ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มาตรา ๙ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประกอบด้วยกรรมการ จํ า นวนเก้ า คน ซึ่ ง พระมหากษั ต ริ ย์ ท รงแต่ ง ตั้ ง ตามคํ า แนะนํ า ของวุ ฒิ ส ภาจากผู้ ซึ่ ง ได้ รั บ การสรรหา โดยคณะกรรมการสรรหา ผู้ซึ่งได้รับการสรรหาต้องเป็นผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านกฎหมาย บัญชี เศรษฐศาสตร์ การบริหารราชการแผ่ นดิ น หรือการอื่ นใดอั นเป็ นประโยชน์ ต่ อการป้ องกั นและปราบปราม การทุจริต และต้องมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ด้วย (๑) รับราชการหรือเคยรับราชการในตําแหน่งไม่ต่ํากว่าอธิบดีผู้พิพากษา อธิบดีศาลปกครองชั้นต้น ตุลาการพระธรรมนูญหัวหน้าศาลทหารกลาง หรืออธิบดีอัยการมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี (๒) รับราชการหรือเคยรับราชการในตําแหน่งไม่ต่ํากว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่า มาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี (๓) เป็นหรือเคยเป็นผู้ดํารงตําแหน่งผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ ที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี หน้า ๗ เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๒ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ (๔) ดํารงตําแหน่งหรือเคยดํารงตําแหน่งศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยมาแล้ว ไม่น้อยกว่าห้าปี และยังมีผลงานทางวิชาการเป็นที่ประจักษ์ (๕) เป็นหรือเคยเป็นผู้ประกอบวิชาชีพที่มีกฎหมายรับรองการประกอบวิชาชีพโดยประกอบวิชาชีพ อย่างสม่ําเสมอและต่อเนื่องมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่ายี่สิบปีนับถึงวันที่ได้รับการเสนอชื่อและได้รับการรับรอง การประกอบวิชาชีพจากองค์กรวิชาชีพนั้น (๖) เป็ น ผู้ มี ค วามรู้ ค วามชํ า นาญและประสบการณ์ ท างด้ า นการบริ ห าร การเงิ น การคลั ง การบัญชี หรือการบริหารกิจการวิสาหกิจในระดับไม่ต่ํากว่าผู้บริหารระดับสูงของบริษัทมหาชนจํากัดมาแล้ว ไม่น้อยกว่าสิบปี (๗) เคยเป็นผู้ดํารงตําแหน่งตาม (๑) (๒) (๓) (๔) หรือ (๖) รวมกันไม่น้อยกว่าสิบปี การนับระยะเวลาตามวรรคสอง ให้นับถึงวันที่ได้รับการเสนอชื่อหรือวันสมัครเข้ารับการสรรหา แล้วแต่กรณี มาตรา ๑๐ นอกจากคุณสมบัติตามมาตรา ๙ แล้ว กรรมการต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ด้วย (๑) มีสัญชาติไทยโดยการเกิด (๒) มีอายุไม่ต่ํากว่าสี่สิบห้าปี แต่ไม่เกินเจ็ดสิบปี (๓) สําเร็จการศึกษาไม่ต่ํากว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า (๔) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ (๕) มีสุขภาพที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาตรา ๑๑ กรรมการต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ (๑) เป็นหรือเคยเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระใด (๒) ติดยาเสพติดให้โทษ (๓) เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต (๔) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ (๕) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช (๖) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่ (๗) วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ (๘) อยู่ ร ะหว่ า งถู ก ระงั บ การใช้ สิ ท ธิ ส มั ค รรั บ เลื อ กตั้ ง เป็ น การชั่ ว คราวหรื อ ถู ก เพิ ก ถอนสิ ท ธิ สมัครรับเลือกตั้ง หน้า ๘ เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๒ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ (๙) ต้องคําพิพากษาให้จําคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล (๑๐) เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือ ถือว่ากระทําการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ (๑๑) เคยต้ อ งคํ า พิ พ ากษาหรื อ คํ า สั่ ง ของศาลอั น ถึ ง ที่ สุ ด ให้ ท รั พ ย์ สิ น ตกเป็ น ของแผ่ น ดิ น เพราะร่ํ า รวยผิ ด ปกติ หรื อ เคยต้ อ งคํ า พิ พ ากษาอั น ถึ ง ที่ สุ ด ให้ ล งโทษจํ า คุ ก เพราะกระทํ า ความผิ ด ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (๑๒) เคยต้องคําพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการหรือต่อตําแหน่ง หน้ าที่ ในการยุติธรรม หรือ กระทํ าความผิด ตามกฎหมายว่าด้วยความผิด ของพนั กงานในองค์ก ารหรือ หน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทําโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิด ตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดในความผิดฐาน เป็ น ผู้ ผ ลิ ต นํ า เข้ า ส่ ง ออก หรื อ ผู้ ค้ า กฎหมายว่ า ด้ ว ยการพนั น ในความผิ ด ฐานเป็ น เจ้ า มื อ หรื อ เจ้าสํานัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน (๑๓) เคยต้องคําพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทําการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง (๑๔) อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง (๑๕) เคยพ้ น จากตํ า แหน่ งเพราะศาลรั ฐ ธรรมนู ญ วิ นิ จ ฉั ย ว่ า มี ก ารเสนอ การแปรญั ต ติ หรื อ การกระทํ าด้ ว ยประการใด ๆ ที่ มี ผ ลให้ ส มาชิ ก สภาผู้ แ ทนราษฎร สมาชิ ก วุฒิ ส ภา หรือ กรรมาธิก าร มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย (๑๖) เคยพ้ น จากตํ า แหน่ ง เพราะศาลฎี ก าหรื อ ศาลฎี ก าแผนกคดี อ าญาของผู้ ดํ า รงตํ า แหน่ ง ทางการเมื อ งมี คํ า พิ พ ากษาว่ า ฝ่ า ฝื น หรื อ ไม่ ป ฏิ บั ติ ต ามมาตรฐานทางจริ ย ธรรมอย่ า งร้ า ยแรงหรื อ เป็นผู้มีพฤติการณ์ ร่ํารวยผิดปกติ หรือกระทําความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือ ใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย (๑๗) เคยได้ รั บ โทษจํ า คุ ก โดยคํ า พิ พ ากษาถึ ง ที่ สุ ด ให้ จํ า คุ ก เว้ น แต่ ใ นความผิ ด อั น ได้ ก ระทํ า โดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๑๘) เป็ น หรือ เคยเป็ น สมาชิ ก สภาผู้ แ ทนราษฎร สมาชิ ก วุ ฒิ ส ภา ข้ าราชการการเมื อ ง หรื อ สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นในระยะสิบปีก่อนเข้ารับการสรรหา หน้า ๙ เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๒ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ (๑๙) เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกหรือผู้ดํารงตําแหน่งอื่นของพรรคการเมืองในระยะสิบปีก่อนเข้ารับ การสรรหา (๒๐) เป็นข้าราชการซึ่งมีตําแหน่งหรือเงินเดือนประจํา (๒๑) เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือ กรรมการหรือที่ปรึกษาของหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ (๒๒) เป็นผู้ดํารงตําแหน่งใดในห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์กรที่ดําเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกําไร หรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใด (๒๓) เป็นผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ (๒๔) มีพฤติการณ์อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง มาตรา ๑๒ เมื่อมีกรณีที่จะต้องสรรหาผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการตามมาตรา ๙ ให้เป็นหน้าที่และอํานาจของคณะกรรมการสรรหา ซึ่งประกอบด้วย (๑) ประธานศาลฎีกา เป็นประธานกรรมการ (๒) ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นําฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นกรรมการ (๓) ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นกรรมการ (๔) บุคคลซึ่งศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระที่มิใช่คณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่งตั้งจากผู้มีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ให้เลขาธิการวุฒิสภาเป็นเลขานุการของคณะกรรมการสรรหา และให้สํานักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่เป็นหน่วยธุรการของคณะกรรมการสรรหา ในการดําเนินการแต่งตั้งบุคคลตาม (๔) ให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระที่มิใช่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดําเนินการเสนอชื่อบุคคลซึ่งองค์กรนั้นแต่งตั้งเป็นกรรมการสรรหาภายในยี่สิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง จากเลขาธิการวุฒิสภา โดยให้คัดเลือกจากบุคคลซึ่งมีความเป็นกลาง ซื่อสัตย์สุจริต และมีความเข้าใจ ในภารกิจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และผู้จะได้รับการคัดเลือกเป็นกรรมการสรรหาต้องได้รับคะแนนเสียง เกินกึ่งหนึ่งของจํานวนทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหรือกรรมการองค์กรอิสระ แล้วแต่กรณี ในกรณีที่ไม่มีบุคคลใดได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ให้ลงคะแนนใหม่อีกครั้งหนึ่ง ในการลงคะแนนครั้งนี้ ถ้ามีผู้เข้ารับการคัดเลือกเกินสองคน ให้นําเฉพาะคนที่ได้คะแนนสูงสุดสองลําดับแรกมาลงคะแนนใหม่ ในกรณีที่มีผู้ได้คะแนนสูงสุดเท่ากันจนเป็นเหตุให้มีผู้ได้คะแนนสูงสุดสองลําดับแรกเกินสองคน ให้ผู้เข้ารับ การคัดเลือกซึ่งได้คะแนนเท่ากันนั้นจับสลากเพื่อให้เหลือผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดสองลําดับแรกเพียงสองคน หน้า ๑๐ เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๒ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ในการลงคะแนนครั้งหลั งนี้ ถ้ ายังไม่ มี ผู้ ใดได้ รับ คะแนนเสี ย งเกิ น กึ่ งหนึ่ งของจํ านวนทั้ งหมดเท่ าที่ มี อ ยู่ ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือกรรมการองค์กรอิสระ แล้วแต่กรณี ให้ ดําเนินการเพื่ อ คั ดเลือกใหม่ โดยจะคัดเลือกผู้เข้ารับการคัดเลือกที่มีชื่ออยู่ในการคัดเลือกครั้งแรกมิได้ ให้เลขาธิการวุฒิสภาประกาศรายชื่อกรรมการสรรหาตาม (๔) ให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไป ในกรณีที่ไม่มีผู้ดํารงตําแหน่งกรรมการสรรหาตาม (๒) หรือกรรมการสรรหาตาม (๔) มีไม่ครบ ไม่ว่าด้วยเหตุใด หรือพ้นกําหนดเวลาการคัดเลือกตามวรรคสามแล้วมิได้มีการเสนอชื่อ ให้คณะกรรมการ สรรหาเท่าที่มีอยู่ปฏิบัติหน้าที่และใช้อํานาจไปพลางก่อนได้ โดยในระหว่างนั้นให้ถือว่าคณะกรรมการสรรหา ประกอบด้วยกรรมการสรรหาเท่าที่มีอยู่ ให้กรรมการสรรหาตาม (๔) อยู่ในวาระการดํารงตําแหน่งจนถึงวันก่อนวันที่มีกรณีที่ต้องสรรหา กรรมการใหม่ แต่ไม่รวมถึงการสรรหาใหม่หรือสรรหาเพิ่ มเติมตามมาตรา ๑๓ วรรคสี่ มาตรา ๑๔ วรรคสองและวรรคสาม และมาตรา ๑๕ และให้กรรมการสรรหาดังกล่าวพ้ นจากตําแหน่งก่อนวาระ เมื่อตาย ลาออก ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการสรรหาตาม (๔) แล้ว จะเป็นกรรมการสรรหาในคณะกรรมการ สรรหาสําหรับศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระอื่นในขณะเดียวกันมิได้ ให้ประธานกรรมการสรรหา และกรรมการสรรหาเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓ ในการสรรหากรรมการ ให้ ค ณะกรรมการสรรหาปรึ ก ษาหารื อ เพื่ อ คั ด สรร ให้ ได้ บุ ค คลซึ่ งมี ค วามรับ ผิ ด ชอบสู ง มี ค วามกล้ าหาญในการปฏิ บั ติ ห น้ าที่ มี พ ฤติ ก รรมทางจริย ธรรม เป็ น ตั ว อย่ า งที่ ดี ข องสั ง คม รวมตลอดทั้ ง มี ทั ศ นคติ ที่ เหมาะสมในการปฏิ บั ติ ห น้ า ที่ ให้ เกิ ด ผลสํ า เร็ จ โดยนอกจากการประกาศรั บ สมั ค รแล้ ว ให้ ค ณะกรรมการสรรหาดํ า เนิ น การสรรหาจากบุ ค คล ซึ่ ง มี ค วามเหมาะสมทั่ ว ไปได้ ด้ ว ย แต่ ต้ อ งได้ รั บ ความยิ น ยอมของบุ ค คลนั้ น ทั้ ง นี้ โดยคํ า นึ ง ถึ ง ความหลากหลายของประสบการณ์ที่แตกต่างกันในแต่ละด้านประกอบด้วย และเพื่อประโยชน์แห่งการนี้ ให้คณะกรรมการสรรหาใช้วิธีการสัมภาษณ์หรือให้แสดงความคิดเห็นในเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่และอํานาจ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือวิธีการอื่นใดที่เหมาะสม เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย ในการสรรหา ให้ใช้วิธีลงคะแนนโดยเปิดเผย และให้กรรมการสรรหาแต่ละคนบันทึกเหตุผล ในการเลือกไว้ด้วย ผู้ ซึ่ ง จะได้ รั บ การสรรหาต้ อ งได้ รั บ คะแนนเสี ย งถึ ง สองในสามของจํ า นวนทั้ ง หมดเท่ า ที่ มี อ ยู่ ของคณะกรรมการสรรหา หน้า ๑๑ เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๒ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ถ้าไม่ มี บุ ค คลใดได้ รับ คะแนนเสี ย งตามวรรคสาม หรือ มี แต่ ยังไม่ ค รบจํานวนที่ จ ะต้ อ งสรรหา ให้ มี การลงคะแนนใหม่ สํ าหรั บผู้ ได้ คะแนนไม่ ถึ งสองในสาม ถ้ ายั งได้ ไม่ ครบตามจํ านวนให้ มี การลงคะแนน อีกครั้งหนึ่ง ในกรณีที่การลงคะแนนครั้งหลังนี้ยังได้บุคคลไม่ครบตามจํานวนที่จะต้องสรรหา ให้ดําเนินการ สรรหาใหม่สําหรับจํานวนที่ยังขาดอยู่ ภายในสามวัน นั บ แต่ วัน ปิ ด รับ สมั ครให้ เลขาธิการวุฒิ ส ภาประกาศรายชื่ อ ผู้ เข้ ารับ การสรรหา ให้ ป ระชาชนทราบเป็ น การทั่ วไป ประกาศดั งกล่ าวให้ ระบุ รายละเอี ย ดเกี่ ย วกั บ คุ ณ สมบั ติ แ ละประวัติ การทํางานตามที่คณะกรรมการสรรหากําหนดด้วย มาตรา ๑๔ ผู้ได้รับการสรรหาเพื่อแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งกรรมการต้องได้รับความเห็นชอบ จากวุฒิสภาด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา ในกรณีที่วุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหารายใด ให้ดําเนินการสรรหาบุคคลใหม่ แทนผู้นั้น แล้วเสนอต่อวุฒิสภาเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป โดยผู้ซึ่งไม่ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภา ในครั้งนี้จะเข้ารับการสรรหาในครั้งใหม่นี้ไม่ได้ เมื่อมีผู้ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาแล้ว หากเป็นกรณีที่ประธานกรรมการพ้นจากตําแหน่งด้วย ให้ผู้ได้รับความเห็นชอบประชุมร่วมกับกรรมการซึ่งยังดํารงตําแหน่งอยู่ ถ้ามี เพื่อเลือกกันเองให้คนหนึ่ง เป็ น ประธานกรรมการแล้ ว แจ้ งผลให้ ป ระธานวุ ฒิ ส ภาทราบ ในกรณี ที่ ผู้ ซึ่ งวุ ฒิ ส ภาให้ ค วามเห็ น ชอบ ยังได้ไม่ครบจํานวนที่ต้องสรรหา แต่เมื่อรวมกับกรรมการซึ่งยังดํารงตําแหน่งอยู่ ถ้ามี มีจํานวนถึงเจ็ดคน ก็ ให้ ดํ าเนิ น การประชุ ม เพื่ อ เลื อ กประธานกรรมการได้ และเมื่ อ โปรดเกล้ าโปรดกระหม่ อ มแต่ งตั้ งแล้ ว ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดําเนินการตามหน้าที่และอํานาจต่อไปพลางก่อนได้ โดยในระหว่างนั้นให้ถือว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ประกอบด้ วยกรรมการเท่ าที่ มี อ ยู่ และให้ ดํ าเนิ น การสรรหาเพิ่ ม เติ ม ให้ ค รบ ตามจํานวนที่ต้องสรรหาต่อไปโดยเร็ว ให้ประธานวุฒิสภานําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการ และ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ มาตรา ๑๕ ผู้ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาให้เป็นกรรมการ โดยที่ยังมิได้พ้นจากตําแหน่ง ตามมาตรา ๑๑ (๒๐) (๒๑) หรือ (๒๒) หรือยังประกอบวิชาชีพตามมาตรา ๑๑ (๒๓) อยู่ ต้องแสดง หลักฐานว่าได้ลาออกหรือเลิกประกอบวิชาชีพดังกล่าวแล้ว ต่อประธานวุฒิสภาภายในเวลาที่ประธานวุฒิสภา กําหนด ซึ่งต้องเป็นเวลาก่อนที่ประธานวุฒิสภาจะนําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งกรรมการ ในกรณี ที่ไม่แสดงหลักฐานภายในกําหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าผู้นั้นสละสิทธิ และให้ดําเนินการสรรหาใหม่ หน้า ๑๒ เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๒ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ มาตรา ๑๖ ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครหรือผู้ได้รับ การสรรหา ให้เป็นหน้าที่และอํานาจของคณะกรรมการสรรหาเป็นผู้วินิจฉัย คําวินิจฉัยของคณะกรรมการสรรหา ให้เป็นที่สุด การเสนอเรื่องเพื่อให้คณะกรรมการสรรหาวินิจฉัยตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และ วิธีการที่คณะกรรมการสรรหากําหนด การวินิจฉัย ให้ใช้วิธีลงคะแนนโดยเปิดเผย ให้ นํ า ความในวรรคหนึ่ ง วรรคสอง และวรรคสาม มาใช้ บั งคั บ แก่ ก รณี ที่ มี ปั ญ หาเกี่ ย วกั บ คุณ สมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการสรรหาด้วยโดยอนุโลม แต่กรรมการสรรหาที่ถูกกล่าวหา ว่าขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามจะอยู่ในที่ประชุมในขณะพิจารณาและวินจิ ฉัยมิได้ มาตรา ๑๗ ให้ประธานกรรมการสรรหาและกรรมการสรรหาได้รับเบี้ยประชุมและค่าตอบแทนอื่น ตามที่ประธานวุฒิสภากําหนด แต่สําหรับเบี้ยประชุมให้กําหนดให้ได้รับเป็นรายครั้งที่มาประชุมในอัตรา ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของประธานกรรมการหรือกรรมการในคณะกรรมการข้าราชการรัฐสภาตามกฎหมาย ว่าด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภาได้รับในแต่ละเดือน แล้วแต่กรณี มาตรา ๑๘ กรรมการ มีวาระการดํารงตําแหน่งเจ็ดปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ดํารงตําแหน่งได้เพียงวาระเดียว ในกรณีที่กรรมการพ้นจากตําแหน่งตามวาระ ให้กรรมการที่พ้นจากตําแหน่งปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าจะมีกรรมการใหม่แทน มาตรา ๑๙ นอกจากการพ้นจากตําแหน่งตามวาระ กรรมการพ้นจากตําแหน่งเมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) ขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๙ หรือมาตรา ๑๐ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๑ (๔) พ้นจากตําแหน่งด้วยเหตุอื่นตามรัฐธรรมนูญ เมื่อประธานกรรมการพ้นจากตําแหน่งประธานกรรมการ ให้พ้นจากตําแหน่งกรรมการด้วย ในกรณีที่มีปัญหาว่ากรรมการผู้ใดพ้นจากตําแหน่งตาม (๒) หรือ (๓) หรือไม่ ให้เป็นหน้าที่และ อํานาจของคณะกรรมการสรรหาเป็นผู้วินิจฉัย คําวินิจฉัยของคณะกรรมการสรรหาให้เป็นที่สุด ในกรณีที่ไม่มีผู้ดํารงตําแหน่งประธานกรรมการหรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการเลือก กรรมการคนหนึ่งทําหน้าที่แทนประธานกรรมการ หน้า ๑๓ เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๒ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ในระหว่างที่กรรมการพ้นจากตําแหน่งก่อนวาระ และยังไม่มีการแต่งตั้งกรรมการแทนตําแหน่งที่ว่าง ให้กรรมการเท่าที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ เว้นแต่จะมีกรรมการเหลืออยู่ไม่ถึงห้าคน ในกรณี ที่ ก รรมการจะพ้ น จากตํ าแหน่ งตามวาระ ให้ ดํ าเนิ น การสรรหากรรมการใหม่ ภ ายใน หนึ่ งร้ อ ยยี่ สิ บ วั น ก่ อ นวั น ที่ ก รรมการครบวาระ แต่ ถ้ ากรรมการพ้ น จากตํ า แหน่ ง ด้ ว ยเหตุ อื่ น นอกจาก การพ้นจากตําแหน่งตามวาระ ให้ดําเนินการสรรหากรรมการภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ตําแหน่งว่างลง มาตรา ๒๐ เมื่ อ มี ผู้ ร้ อ งขอโดยมี ห ลั ก ฐานตามสมควรว่ า กรรมการผู้ ใดพ้ น จากตํ า แหน่ ง ตามมาตรา ๑๙ (๒) หรือ (๓) ให้เลขาธิการวุฒิสภาเสนอเรื่องต่อประธานกรรมการสรรหาภายในห้าวัน นั บ แต่ วัน ที่ ได้ รับ การร้อ งขอ และให้ คณะกรรมการสรรหาวินิ จฉั ย ให้ แ ล้ ว เสร็จ โดยเร็ว ในการวินิ จ ฉั ย ให้ถือเสียงข้างมาก ในกรณี ที่มีเสียงเท่ากัน ให้ ประธานกรรมการสรรหาออกเสียงเพิ่ มขึ้นอีกเสียงหนึ่ง เป็นเสียงชี้ขาด หลักฐานตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการสรรหากําหนด มาตรา ๒๑ ในกรณีที่กรรมการ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่เพราะถูกกล่าวหาและศาลฎีกาหรือ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองประทับฟ้อง และมีกรรมการเหลืออยู่ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ให้ ประธานศาลฎี กาและประธานศาลปกครองสูงสุ ดร่วมกันแต่ งตั้งบุ คคลซึ่งมี คุ ณสมบั ติ และไม่มี ลักษณะ ต้ อ งห้ ามเช่ น เดี ย วกั บ กรรมการทํ า หน้ า ที่ เป็ น กรรมการ เป็ น การชั่ ว คราวให้ ค รบเก้ า คน โดยให้ ผู้ ซึ่ ง ได้รับแต่งตั้งทําหน้าที่ในฐานะกรรมการจนกว่ากรรมการที่ตนทําหน้าที่แทนจะปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือจนกว่า จะมีการแต่งตั้งผู้ดํารงตําแหน่งแทน มาตรา ๒๒ การประชุมของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่าห้าคน จึงจะเป็นองค์ประชุม ในกรณีที่กรรมการคนใดไม่อาจมาประชุมได้ ให้จดแจ้งเหตุนั้นไว้ในรายงานการประชุม การลงมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ใช้คะแนนเสียงข้างมากของจํานวนกรรมการทั้งหมด เท่าที่มีอยู่ เว้นแต่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้กําหนดไว้เป็นอย่างอื่น โดยประธานในที่ประชุม และกรรมการที่มาประชุมต้องลงคะแนนเสียงเพื่อมีมติ และให้กรรมการคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ในกรณีมีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมมีสิทธิออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด การไม่เข้าประชุมหรือไม่อยู่ในที่ประชุมหรือไม่ออกเสียงลงมติโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้ถือว่า เป็นการจงใจฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม แต่ไม่เป็นการตัดสิทธิที่จะลาออกจากตําแหน่ง ก่อนมีการลงมติ หน้า ๑๔ เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๒ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ให้ประธานกรรมการเป็นประธานในที่ประชุม ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุม ให้กรรมการ ที่ มาประชุม เลื อกกรรมการคนหนึ่ งเป็ น ประธานในที่ ประชุม ทั้ งนี้ ตามหลัก เกณฑ์ และวิธีการประชุ ม ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด ให้ประธานกรรมการและกรรมการได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งเท่ากับกรรมการตามพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยเบี้ยประชุมกรรมการ มาตรา ๒๓ การลงมติเพื่อมีความเห็นว่าผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ มีพฤติการณ์ร่ํารวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือ ใช้อํ านาจขั ด ต่ อ บทบั ญ ญั ติ แห่ งรัฐธรรมนู ญ หรือ กฎหมาย หรือ ฝ่ าฝื น หรือ ไม่ ป ฏิ บั ติ ต ามมาตรฐาน ทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ต้องมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ความในวรรคหนึ่ ง ให้ ใช้ บั ง คั บ กั บ การลงมติ เพื่ อ มี ค วามเห็ น ว่ า ผู้ ดํ า รงตํ า แหน่ ง ทางการเมื อ ง ตุ ลาการศาลรั ฐธรรมนู ญ ผู้ ดํ ารงตํ าแหน่ งในองค์ กรอิ สระ และเจ้ าหน้ าที่ ของรั ฐจงใจไม่ ยื่ นบั ญ ชี แสดง รายการทรั พย์ สิ นและหนี้ สิ น หรื อ จงใจยื่ น บั ญ ชี แ สดงรายการทรั พ ย์ สิ น หรื อ หนี้ สิ น อั น เป็ น เท็ จ หรื อ ปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบและมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือ หนี้สินนั้น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ํารวยผิดปกติ กระทําความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทําความผิด ต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมด้วยโดยอนุโลม มาตรา ๒๔ ในการลงมติของกรรมการตามมาตรา ๒๓ หรือในเรื่องอื่นใดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด ให้กรรมการลงมติเป็นหนังสือตามแบบที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด ซึ่งอย่างน้อย ต้องมีชื่อเรื่อง และประเด็น ที่ลงมติ มติที่ลง และลายมือ ชื่อของกรรมการที่ ลงมติ และให้เลขาธิการ เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน มติที่ได้ดําเนินการตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้ดําเนินการต่อไปได้โดยไม่ต้องรอรับรองรายงานการประชุม ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และในกรณีที่ต้องทําคําวินิจฉัย เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ความเห็นชอบ ร่างคําวินิจฉัยนั้นและประธานกรรมการหรือผู้ทําหน้าที่แทนประธานกรรมการได้ลงนามในคําวินิจฉัยนั้นแล้ว ให้ถือว่าเป็นคําวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. การให้ความเห็นชอบตามวรรคสอง คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะมอบหมายให้กรรมการคนหนึ่ง หรือหลายคนเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบแทนคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็ได้ หน้า ๑๕ เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๒ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. พ้นจากตําแหน่งหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ทั้งคณะก่อนลงนาม ในคําวินิ จฉัย ให้ เลขาธิการบั นทึ กเหตุ ดั งกล่ าวไว้ในคํ าวินิ จฉั ยและให้ เลขาธิการเป็ นผู้ ลงนามในคํ าวินิ จฉั ย นั้นแทน เมื่อเลขาธิการลงนามในคําวินิจฉัยดังกล่าวแล้ว ให้คําวินิจฉัยนั้นเป็นอันใช้บังคับได้ มาตรา ๒๕ กรรมการต้องปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา และการปฏิบัติหน้าที่และการใช้อํานาจ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องเป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม กล้าหาญ และปราศจากอคติทั้งปวงใน การใช้ ดุ ล พิ นิ จ และปฏิ บั ติ ต นให้ ถู ก ต้ อ งตามมาตรฐานทางจริ ย ธรรม ในระหว่ า งการดํ า รงตํ า แหน่ ง กรรมการจะเข้ารับ การศึกษาหรืออบรมในหลักสูต รหรือโครงการใด ๆ มิได้ เว้น แต่เป็ น หลักสูต รหรือ โครงการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้จัดขึ้นโดยเฉพาะสําหรับกรรมการ มาตรา ๒๖ เงิ น เดื อ น เงิ น ประจํ า ตํ า แหน่ ง และประโยชน์ ต อบแทนอื่ น ของประธาน กรรมการและกรรมการให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น ให้ ป ระธานกรรมการและกรรมการได้ รั บ เงิ น ค่ า รั บ รองเหมาจ่ า ยเป็ น รายเดื อ นตามอั ต รา ที่กระทรวงการคลังกําหนดซึ่งต้องไม่น้อยกว่าเงินประจําตําแหน่งของประธานกรรมการหรือกรรมการ มาตรา ๒๗ ประธานกรรมการและกรรมการซึ่งดํารงตําแหน่งไม่น้อยกว่าหนึ่งปี มีสิทธิได้รับ บําเหน็จตอบแทนเป็นเงินซึ่งจ่ายครั้งเดียวเมื่อพ้นจากตําแหน่งด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ (๑) ครบวาระ (๒) ตาย (๓) ลาออก (๔) มีอายุครบเจ็ดสิบปี ในการคํานวณบําเหน็จตอบแทนนั้น ให้นําอัตราเงินเดือนตามมาตรา ๒๖ คูณ ด้วยจํานวนปี ที่ดํารงตําแหน่ง เศษของปีให้นับเป็นหนึ่งปี สิทธิในบําเหน็จตอบแทนนั้นเป็นสิทธิเฉพาะตัวจะโอนไม่ได้ เว้นแต่กรณีตาย ให้ตกได้แก่คู่สมรส และทายาทที่ได้แจ้งไว้ และถ้าการตายนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุปฏิบัติหน้าที่หรือในการปฏิบัติหน้าที่ ให้ได้รับ เป็นสองเท่าของบําเหน็จตอบแทนที่กําหนดไว้ตามวรรคสอง ส่วนที่ ๒ หน้าที่และอํานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มาตรา ๒๘ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่และอํานาจ ดังต่อไปนี้ หน้า ๑๖ เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๒ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ (๑) ไต่สวนและมีความเห็นกรณีมีการกล่าวหาผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ํารวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือ ใช้อํ านาจขั ด ต่ อ บทบั ญ ญั ติ แห่ งรัฐธรรมนู ญ หรือ กฎหมาย หรือ ฝ่ าฝื น หรือ ไม่ ป ฏิ บั ติ ต ามมาตรฐาน ทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง (๒) ไต่สวนและวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ํารวยผิดปกติ กระทําความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม (๓) กําหนดให้ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ และเจ้ าหน้ าที่ ข องรั ฐ ยื่ น บั ญ ชี ท รั พ ย์ สิ น และหนี้ สิ น ของตน คู่ ส มรส และบุ ต รที่ ยั งไม่ บ รรลุ นิ ติ ภ าวะ รวมทั้งตรวจสอบและเปิดเผยผลการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของบุคคลดังกล่าว (๔) ไต่สวนเพื่อดําเนินคดีในฐานความผิดอื่นที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้กําหนดหรือ ที่มีกฎหมายกําหนดให้อยู่ในหน้าที่และอํานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. (๕) หน้าที่และอํานาจอื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ หรือกฎหมายอื่น ในการดําเนินการตาม (๔) ในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะดํ า เนิ น การเอง หรื อ มอบหมายให้ ห น่ ว ยงานที่ มี ห น้ า ที่ แ ละอํ า นาจ ในการดําเนินการเป็นผู้ดําเนินการก็ได้ มาตรา ๒๙ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ พร้อ มข้ อ สั งเกตต่ อ รัฐ สภาทุ ก ปี ทั้ งนี้ ให้ ป ระธานกรรมการ หรือ กรรมการที่ ค ณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมาย มาแถลงรายงานดังกล่าวต่อรัฐสภา และให้ประกาศรายงานดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษาและ เปิดเผยต่อสาธารณะ มาตรา ๓๐ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๒๘ (๑) (๒) และ (๔) ให้รวมถึงการดําเนินการ กับบุคคลอื่นซึ่งเป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน รวมทั้งผู้ให้ ผู้ขอให้ หรือรับว่าจะให้หรือนิติบุคคล ที่เกี่ยวข้องกับการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่บุคคลตามมาตรา ๒๘ (๑) (๒) และ (๔) เพื่อจูงใจ ให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยกฎหมายด้วย ในการดําเนินคดีตามมาตรา ๒๘ (๑) (๒) และ (๔) ให้ใช้บังคับกับการดําเนินการในคดีที่มีการกระทํา อั นเป็ นกรรมเดี ยวผิ ดต่ อกฎหมายหลายบทและบทใดบทหนึ่ งจะต้ องดํ าเนิ นการตามมาตรา ๒๘ (๑) (๒) หน้า ๑๗ เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๒ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และ (๔) และคดีที่มีการกระทําความผิดเกี่ยวข้องกันและความผิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่จะต้องดําเนินการ ในคราวเดียวกันด้วย มาตรา ๓๑ ในการปฏิ บั ติ ห น้ า ที่ ต ามมาตรา ๒๘ (๑) (๒) (๓) และ (๔) ของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือผู้ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมาย ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะต้องจัดให้มีมาตรการหรือแนวทางที่จะทําให้การปฏิบัติหน้าที่มีประสิทธิภาพ เกิดความรวดเร็ว สุจริต และเที่ยงธรรม มาตรา ๓๒ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่และอํานาจเสนอมาตรการ ความเห็น และ ข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ หรือองค์กรอัยการในเรื่องดังต่อไปนี้ (๑) ปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือ หน่วยงานของรัฐ เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริต การกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ หรือการกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม (๒) จัดให้มีมาตรการและกลไกที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบ ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนอย่างเข้มงวด (๓) เสนอแนะให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือมาตรการใดที่เป็นช่องทาง ให้ มี ก ารทุ จ ริ ต หรื อ ประพฤติ มิ ช อบ หรื อ เป็ น เหตุ ให้ เจ้ า หน้ า ที่ ข องรั ฐ ไม่ อ าจปฏิ บั ติ ห น้ า ที่ ให้ เกิ ด ผลดี ต่อราชการได้ ในการจั ด ทํ ามาตรการ ความเห็ น และข้ อ เสนอแนะตามวรรคหนึ่ ง คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาจจั ด ให้ มี ก ารรั บ ฟั ง ความคิ ด เห็ น สาธารณะในเรื่ อ งที่ ก ระทบต่ อ ประโยชน์ ส าธารณะก็ ไ ด้ ทั้ ง นี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนด เมื่อองค์กรตามวรรคหนึ่งได้รับแจ้งมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ ว หากเป็ นกรณี ที่ ไม่ อาจดํ าเนิ นการได้ ให้ แจ้ งปั ญ หาและอุ ปสรรคต่ อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบต่อไป ทั้งนี้ ไม่เกินเก้าสิบวันนับแต่ได้รับแจ้งจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. มาตรา ๓๓ เพื่ อ ให้ ป ระชาชนและหน่ ว ยงานของรั ฐ มี ส่ ว นร่ ว มและให้ ค วามร่ ว มมื อ ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. กําหนดมาตรการและกลไกที่จําเป็น ต่อการดําเนินการในเรื่องดังต่อไปนี้ (๑) การส่ งเสริ มให้ ประชาชนรวมตั วกั นเพื่ อมี ส่ วนร่ วมในการรณรงค์ ให้ ความรู้ ต่ อต้ าน หรื อ ชี้ เบาะแส โดยได้ รั บความคุ้ มครอง รวมทั้ งจั ดให้ มี ช่ องทางการแจ้ งข้ อมู ล เบาะแส หรื อพยานหลั กฐาน หน้า ๑๘ เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๕๒ ก ?