🎧 New: AI-Generated Podcasts Turn your study notes into engaging audio conversations. Learn more

แผนการสอนประจำบทที่ 9.3 PDF

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

Summary

This document is a lesson plan for a chapter on aquatic animal diseases and their prevention and treatment. It covers topics such as diseases caused by pathogens, environmental factors, and nutritional deficiencies, along with prevention and treatment strategies. The document also includes learning objectives, teaching methods, learning materials, and assessment methods.

Full Transcript

**แผนการสอนประจำบทที่ 9** **โรคสัตว์น้ำ และวิธีการป้องกันรักษาโรค** **หัวข้อเนื้อหา** 1\. โรคในสัตว์น้ำที่เกิดจากเชื้อโรค 2\. การเกิดโรคจากสิ่งแวดล้อมหรือสารพิษ 3\. การเกิดโรคจากสุขภาพและการขาดสารอาหาร 4\. หลักการป้องกันโรคสัตว์น้ำ 5\. การรักษาโรค 6\. สรุปประจำบท แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 9 เอกสา...

**แผนการสอนประจำบทที่ 9** **โรคสัตว์น้ำ และวิธีการป้องกันรักษาโรค** **หัวข้อเนื้อหา** 1\. โรคในสัตว์น้ำที่เกิดจากเชื้อโรค 2\. การเกิดโรคจากสิ่งแวดล้อมหรือสารพิษ 3\. การเกิดโรคจากสุขภาพและการขาดสารอาหาร 4\. หลักการป้องกันโรคสัตว์น้ำ 5\. การรักษาโรค 6\. สรุปประจำบท แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 9 เอกสารอ้างอิง **วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม** 1\. อธิบายอาการโรคในสัตว์น้ำที่เกิดจากเชื้อโรคได้ 2\. อธิบายการเกิดโรคจากสิ่งแวดล้อมหรือสารพิษในสัตว์น้ำได้ 3\. อธิบายการเกิดโรคจากสุขภาพและการขาดสารอาหารได้ 4\. อธิบายหลักการป้องกันโรคสัตว์น้ำได้ 5\. อธิบายการรักษาโรคในสัตว์น้ำได้ **วิธีการสอนและกิจกรรมประจำบทที่ 9** 1\. ชี้แจงคำอธิบายรายวิชา วัตถุประสงค์ เนื้อหา และเกณฑ์การให้คะแนนรายวิชา 2\. ผู้สอนอธิบายเนื้อหาโรคสัตว์น้ำ และวิธีการป้องกันรักษาโรคตามเอกสารประกอบการสอน 3\. บรรยายประกอบการฉายภาพสไลด์ (โปรแกรม PowerPoint) 4\. นำเสนอรายงาน ซักถาม และแลกเปลี่ยนแนวคิด และเสนอแนะแนวความคิด 5\. สรุปเนื้อหาประจำบท 6\. ชี้แจงหัวข้อที่จะเรียนในครั้งต่อไป เพื่อให้ผู้เรียนไปศึกษาก่อนล่วงหน้า 7\. เสริมสร้างคุณธรรมและจริยธรรมให้กับนักศึกษาก่อนเรียนและก่อนเลิกเรียน **สื่อการเรียนการสอน** 1\. เอกสารประกอบการสอน 2\. เครื่องคอมพิวเตอร์ 3\. ภาพสไลด์ (โปรแกรม PowerPoint) 4\. โทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟน 5\. ใบงาน **การวัดผลและประเมินผล** 1\. สังเกตการตอบคำถาม และการตั้งคำถาม 2\. สังเกตการอภิปรายร่วมกันขณะทำงานเป็นกลุ่ม 3\. วัดจากพฤติกรรม ความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรม 4\. การนำเสนอรายงาน 5\. แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน 6\. แบบฝึกหัดท้ายบท **บทที่ 9** **โรคสัตว์น้ำ และวิธีการป้องกันรักษาโรค** โรคสัตว์น้ำ (Aquatic Animal Diseases) ตามที่ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องกำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตร มกษ. 7428-2555 เรื่องการปฏิบัติที่ดีสำหรับการควบคุมโรคสัตว์น้ำในสถานประกอบการตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. 2551 โรคสัตว์น้ำ หมายถึง โรคสัตว์น้ำที่เกิดจากการติดเชื้อ ทั้งที่ปรากฏและไม่ปรากฏอาการ (สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ, 2555) โรคสัตว์น้ำเกิดขึ้นได้จากสาเหตุหลักที่สำคัญ 3 ประการคือ 1) ชนิด ปริมาณและความรุนแรงในการก่อโรคของเชื้อโรค 2) สุขภาพร่างกายของสัตว์น้ำที่อ่อนแอ และ 3) สภาพสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ การเกิดโรคอาจเกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง หรือ 2 ในสาม หรือ ทั้งสามสาเหตุเกิดขึ้นพร้อมกัน ล้วนสามารถก่อให้เกิดโรคในสัตว์น้ำได้ทั้งสิ้น โดยความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ขึ้นอยู่กับทั้ง 3 สาเหตุนี้เช่นเดียวกัน ดังนี้ **9.1 โรคในสัตว์น้ำที่เกิดจากเชื้อโรค** เชื้อโรคที่สามารถก่อโรคในสัตว์น้ำมีด้วยกันหลายประเภท เช่นเดียวกับในสัตว์ชนิดอื่น โดยสามารถแบ่งประเภทเชื้อโรค (ปภาศิริ, 2538, สุปราณี แลละคณะ, 2546,) และอาการของสัตว์น้ำที่แสดงอาการของโรคได้ดังต่อไปนี้ เชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคมีอยู่ทั่วไปในน้ำ อาจติดอยู่กับวัสดุในน้ำ ของเสียที่ถูกขับถ่ายออกมาจากสิ่งมีชีวิตในน้ำ อยู่ในตัวสัตว์น้ำที่เป็นโรคและพาหะ หรือติดมากับอาหาร ฯลฯ เชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำมีหลายชนิด มีทั้งประเภทที่สามารถทำให้ปลาเป็นโรคได้ด้วยตัวของมันเอง (Primary Pathogen) และประเภทที่ทำให้ปลาเป็นโรคหลังจากมีเชื้อชนิดอื่น ๆ ทำให้ปลาเป็นโรค หรือเกิดบาดแผลอยู่ก่อน เชื้อแบคทีเรียจะผ่านเข้าทางผิวหนังของปลาได้ยาก นอกเสียจากว่าผิวหนังปลาเกิดบาดแผล เชื้อแบคทีเรียยังสามารถเข้าสู่ร่างกายของปลาได้ทางปาก โดยติดไปกับอาหารและอวัยวะที่ประกอบด้วยเนื้อเยื่อที่อ่อนนิ่มหรือบอบบาง เช่น เหงือก ช่องทวาร ช่องเพศ และตา **9.1.1.1 โรค Motile Aeromonas** เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย *Aeromonas hydrophila* เป็นแบคทีเรียชนิดแกรมลบ สามารถเจริญได้ทั้งในสภาพที่มีออกซิเจน และไม่มีออกซิเจน อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตอยู่ในช่วงระหว่าง 25 ํ-30 ํ องศาเซลเซียส ความเป็นกรดเป็นด่าง 5.5-9.0 ส่วนใหญ่พบในแหล่งน้ำที่มีปริมาณอินทรีย์สารมาก เช่น น้ำทิ้งจากแหล่งชุมชน เป็นต้น มักพบก่อโรคในสัตว์น้ำจืดหรือสัตว์เลือดเย็นชนิดอื่น ๆ เช่น จระเข้ งู เต่า ตะพาบน้ำ ปลานิล (ชนกันต์, 2556) ในสภาวะปกติเชื้อแบคทีเรีย *A. hydrophila* ไม่ทำให้เกิดปัญหาในสัตว์น้ำ แต่เมื่อใดที่สัตว์น้ำเกิดความเครียด (Stress) เนื่องจากอุณหภูมิต่ำ หรือความแตกต่างของอุณหภูมิน้ำในรอบวันมีช่วงกว้างทำให้สัตว์น้ำปรับตัวไม่ทัน ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำต่ำเป็นเวลานาน ปริมาณแอมโมเนียในน้ำมากเกินไป เลี้ยงปลาในอัตราหนาแน่นสูง การเกิดบาดแผล เชื้อแบคทีเรีย *A. hydrophila* เข้าสู่ร่างกายได้โดยทางปากหรือทางผิวหนังและเหงือกที่มีบาดแผล โดยเชื้อเพิ่มจำนวนมากขึ้นในบริเวณที่เข้าไป แล้วแพร่กระจายไปตามกระแสเลือดทั่วร่างกาย **9.1.1.2 โรค *Pseudomonas Septicemia*** มักพบในปลาน้ำจืดทั่วไป เช่น ปลานิล (กลุ่มตรวจสอบคุณภาพสินค้าประมง, มปป.) และมักพบในปลาที่มีเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่น ๆอยู่ด้วย เช่น *A. hydrophila* , *Edward siellatarda* เป็นต้น เชื้อแบคทีเรีย Pseudomonas ชนิดที่สำคัญ ได้แก่ P. Fluorescens เป็นแบคทีเรียชนิดแกรมลบ สามารถสร้างสารเรืองแสงได้ (Fluorescent Pigments) โคโลนีมีลักษณะกลม เรียบ พบในดินและน้ำ สามารถแยกเชื้อชนิดนี้ได้จากปลาที่เน่าเปื่อย การติดเชื้อแบคทีเรีย *Pseudomonas sp*. ส่วนมากเป็นลักษณะ Secondary Infection คือ ปลาอ่อนแอและเครียด เนื่องจากสภาพแวดล้อมต่างๆ เชื้อแบคทีเรียและสารพิษที่เชื้อแบคทีเรียสร้างขึ้นจะทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อ และอวัยวะต่าง ๆ ปลาที่ป่วยเป็นโรค *Pseudomonas Septicemia* มักจะมีอาการ โคนครีบ ในปาก ขากรรไกรล่าง และรอบๆ ทวารหนักมีสีแดง อาการภายในพบว่าจะมีอาการตกเลือดที่เยื่อบุช่องท้อง และอวัยวะภายใน ในลำไส้มีของเหลวปนเลือด ตกเลือดในกล้ามเนื้อ พบทั่วไปในโลกทั้งน้ำจืดและทะเลการระบาคของโรคส่วนใหญ่จากปลาในบ่อเลี้ยงปลาสวยงามต่าง ๆ จำพวก mirror and lesther carps กลุ่มปลาซัลมอนโดยเฉพาะปลา เทร้าปลา goldfish ปลา golden shiners ปลา channel catfish ปลา moribund white catfish กลุ่ม labyrinth fishes เช่น colisa, gouramis, paradise fish (*Macropodus opercularis*) และ *Trichogaster trichopterus* (ปภาศิริ, 2537) ปลาที่ติดเชื้อ Pseudomonad septicemia มักจะอยู่ในสิง่แวดล้อมที่ไม่ดีเนื่องจากการเลี้ยงรวมกันหนาแน่นมากเกินไป ความไม่สมดุลของอาหาร จะทำให้ปลาอ่อนแอทำให้เชื้อ Pseudomonas จะเข้าทำอันตรายเป็น secondary infection ทันที ปลาจะมีอาการเหมือนกับการติดเชื้อ Aeromonas hydrophila จะมีจุดเลือด (petechiae และ red spots) ตามผิวตัวและครีบ รวมทั้งช่องท้องและอวัยวะภายในทั้งหมด ท้องบวมน้ำ ผิวตัวสีเปลี่ยนไป เมื่อเขี่ยเชื้อย้อมสีจะพบว่ามีการสร้าง capsule ล้อมรอบตัวและมีการสร้างเมือกบนอาหารเลี้ยงเชื้อ **9.1.1.3 โรคคอลัมนาริส (Columnaris Disease)** หรือโรค Cotton-wool Disease เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย *Flexibacter columnaris* เป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบทั่วไปในน้ำจืด มีปะปนอยู่กับเมือกของปลาปกติ หรือปลาป่วย ในสภาพปกติปลาจะไม่เกิดเป็นโรคขึ้นเอง แต่มักจะเกิดกับปลาหรือสัตว์น้ำที่ร่างกายอ่อนแอและเครียด เนื่องจากได้รับบาดเจ็บหรือบอบซ้ำจากการจับหรือขนส่งลำเลียง อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเกิดโรค อยู่ในช่วงระหว่าง 28 ํ- 30 ํ องศาเซลเซียส ปลาที่มีบาดแผลบริเวณลำตัว ครีบ หรือเหงือก เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย *F. columnaris* จะปรากฏมีเมือกมากจากนั้นจะมีลักษณะสีเทาหรือมีจุดเลือดบริเวณที่เกิดโรค ส่วนมากพบเกิดโรคใน ปลาดุก ปลาช่อน และปลาบู่ **9.1.1.4 โรคท้องบวม (Abdominal dropsy)** ส่วนใหญ่เกิดจากแบคทีเรีย ปลาจะมีอาการเซื่องซึม ไม่เคลื่อนไหว อาศัยอยู่ใต้ผิวน้ำหรือจมก้นบ่อ ปลาไม่ค่อยกินอาหารในแบบเฉียบพลัน บริเวณส่วนท้องจะบวมมาก มีน้ำสีแดงออกจากช่องท้อง และอาจเกิดเกล็ดตั้งร่วมด้วย กรณีเกิดอาการเรื้อรัง ผิวหนังของปลาจะมีรอยช้ำ ตกเลือด **ที่มา :** **9.1.1.5 โรคเกล็ดพอง (Scale protrusion)** ปลาที่เป็นโรคนี้จะมีอาการเกล็ดตามตัวตั้งและกางออก ลำตัวบวมพอง บริเวณฐานของซอกเกล็ดมีอาการตกเลือด ปลาที่ป่วยจะไม่กินอาหารและจะลอยตัวขึ้นมาบนผิวน้ำแล้วจึงตายไปในที่สุด **สาเหตุเกิดจาก**เชื้อแบคทีเรีย และโปรโตรซัวบางชนิด เช่น*Aeromonas hydrophila* และ *Glossatella sp.* ![](media/image2.png) **ภาพที่ 9.2** เกล็ดพองในปลามังกร 6. **โรค Furunculosis** สาเหตุของโรคเกิดจากเชื้อ *Aeromnas salmonicda* มักพบในกลุ่มปลาแซลมอน ชนิด brook trout (Salmon fontinalis) brown trout และ rainbow trout ปลาคาร์พ ปลาดุก ปลาทอง, และปลาในอะควาเรียมอีกหลายชนิด ทั้งปลาทะเลและปลาน้ำจืด ปลาที่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี จะติดเชื้อได้ง่าย และมักเกิดแผลเล็ก ๆ ที่ผิวหนังหรือลำไส้ และตายใน 3-4 วันต่อมา ปลาจะเริ่มตายเป็นจำนวนมากเด่นชัด ในระหว่างวันที่ 4-9 หลังจากเกิดการระบาดของโรค ตัวที่ยังมีชีวิตจะแสดงอาการเป็นตุ่มพุพองตามผิวตัว ในช่วง 8 - 14 วัน ปลาป่วยจะมีอาการว่ายน้ำเชื่องช้า ผิวตัวจะเข้มขึ้น ไม่กินอาหาร โคนครีบตกเลือด รอบ ๆ ทวารอักเสบ อวัยวะภายในมีจุดเลือด (petechial hemorrhage ) บริเวณเหงือกผนังทางเดินอาหาร รังไข่ หัวใจ กระเพาะ ลม กล้ามเนื้อ ตับ ตับอ่อน ไต ม้าม ในลำไส้จะเต็มไปด้วยน้ำเลือด โรคนี้มีสาเหตุเกิดจากเชื้อ *Vibrio sp.* โดยการติดต่อของโรคจากปลาตัวหนึ่งไปสู่ปลาอีกตัวหนึ่งได้โดยตรง มักพบในสัตว์น้ำกร่อยหรือสัตว์ทะเล นอกจากนี้ยังพบในปลาน้ำจืด เช่นปลา rainbow trout herring (Clupea pallasi), roach (Rutilis rutilis), gurnards (Triglidae), wrasses (Labridae) และ queen fish (Seriphus politus) ปลาที่ป่วยเป็นโรค Vibriosis จะมี petechiae ที่ปาก, กระพุ้ง แก้ม,และผิวตัวด้านท้อง ชั้นผิวหนังและกล้ามเนื้อเกิดฝีภายในมีน้ำเหลืองหนองเลือดคั่งที่ผิวหนังและครีบ ลำไส้อักเสบ ม้ามโต ไตบวมและเซลไตตาย ถ้าทำอันตรายต่อกุ้งทะเล ทั้งกุ้งวัยรุ่นและกุ้งโตเต็มวัย จะมีอาการว่ายน้ำมีทิศทางไม่แน่นอน กล้ามเนื้อบริเวณท้องขุ่นมัว เม็ดสีกระจายเป็นบริเวณกว้าง **9.1.1.8 โรคกุ้งเรืองแสง โรคเพชรพลอย** เกิดจากเชื้อ Vibrio harvaeyi เป็นโรคที่มักเกิดในกุ้งทะเลเศรษฐกิจ ได้แก่กุ้งแชบ๊วย (Penaeus merguiensis) กุ้งกุลาดำ (P. monodon) และกุ้งก้ามกราม (Macrobrachium rosenbergii) และสร้างความเสียหายมากอีกโรคหนึ่ง ในช่วงลูกกุ้งวัยอ่อน ระยะ nauplius จะ sensitivity หากเกิดการติดเชื้อจะเกิดความเสียหายมากที่สุด รองลงมาคือระยะ mysis และระยะ Post lava ลูกกุ้งที่ติดเชื้อจะมีอาการอ่อนแอไม่ว่ายน้ำ ไม่กินอาหาร ตัวขุ่นขาว พบเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด ลูกกุ้งจะตายภายใน 1-2 วัน หลักจากติดเชื้อ เมื่อสังเกตลูกกุ้งในเวลากลางคืนที่มืดสนิทจะเห็นแสงสีเขียวกระจายล่องลอยไปตามการเคลื่อนไหวของน้ำ โรคเรืองแสงจะ 9.1.1.9 ชื่อโรค Columnaris Disease, Cotton Wool Disease, Mouth Funcus ระบาดในปลาน้ำอุ่นและปลาน้ำเย็นทั่ว ๆ ไปทั้งปลาที่มีเกล็ดและไม่มีเกล็ด ปลายสวยงาม โรคจะเกิดกับปลาที่ไม่มีเกล็ดจำพวก buffalofishes (Ictiobus bubalus) และ Megastomatobus cyprinella และปลาสวยงาม เช่น black mallies การระบาดของโรคจะเกิดกับปลาน้ำจืด มีรายงานเล็กน้อยที่เกิดกับปลาทะเล เช่น พบเชื้อจากบาดแผลส่วนหางของปลา pink salmon Onchorynchus gorbuscha ในปลาน้ำกร่อย เช่น white perch Roccus americanus ในประเทศไทยรายงานปลาที่เป็นโรคคอลัมนาริส ได้แก่ ปลาดุก ปลาช่อน ปลาบู่ ปลากะพงขาว เชื้อ Flexibacter (Chondrococcus) columnaris เป็นแบคทีเรียแกรมลบแท่งยาวหรือเป็นสายต่อกัน มีระยะฟักตัว เรียกว่า microcyst หรือ fruiting body โรคคอลัมนารีสในปลา ลักษณะภายนอกผิวตัวที่ติดเชื้อจะด่างเป็นแถบ ๆ การเจริญของเชื้อบนเหงือกและผิวตัวปลาจะเกิดลักษณะ column-like และ stack ที่เกิดจากการทับถมของเชื้อจะนูนขึ้นบนชิ้นส่วนของเหงือกและเนื้อเยื่อปลาเมื่อวางในน้ำที่สะอาด เชื้อจะเจริญในแนวขนานซึ่งกันและกันบนอาหารเลี้ยงเชื้อ เชื้อสามารถทำให้ครีบกร่อนเหงือกกร่อน ผิวหนังเป็นรอยด่างสีเทาหรือขาว บางครั้งพบจุดเลือดบนลำตัว **9.1.1.10** โรคเหงือกกร่อน, Bacterial Gill Disease, Eastern Gill Disease สาเหตุของโรคเกิดจากแบคที่เรียกลุ่ม Fexibacteria และชนิดอื่น ๆ ที่พบอยู่ทั่วไป เช่น Pseudomonads, Aeromonads และ Flavobacteria จะทำอันตายต่อเหงือกหลังจากที่ปลาอ่อนแอ เนื่องจากปลาขับของเสียแอมโมเนีย ออกมาทำให้เหงือกเกิดระคายเคือง อาการของโรค ปลาป่วยจะสังเกตจากเหงือกที่กร่อน ชนิดของปลาที่เป็นโรค ปลาทุกชนิดมีโอกาสเป็นโรคเหงือกกร่อน ปลาที่อยู่ในน้ำที่มีตะกอนสารแขวนลอยมาก ๆ จะทนทานต่อโรคนี้ได้มากกว่า **9.1.2 โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส** เชื้อไวรัสมีขนาดเล็กมากเป็นสารประกอบสารพันธุกรรมของ กรดนิวคลีอิค (Nucleic Acid) ซึ่งอาจจะเป็น Deoxyribo Nucleic Acid (DNA) หรือ Ribonucleic (RNA) อย่างใดอย่างหนึ่งขนาด 20-300 นาโมเมตร โรคในสัตว์น้ำที่เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งพบมากในประเทศไทย ได้แก่ **9.1.2.1** **โรคลิมโฟซิสติส** มีลักษณะเป็นแบบเรื้อรังไวรัสจะพัฒนาอย่างช้า ๆ ในเซลล์ของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเซลล์ที่มีการติดเชื้อจะมีขนาดใหญ่ขึ้นมาก แต่เซลล์อื่น ๆ ที่ติดกับเซลล์ที่เป็นโรคยังปกติ ลักษณะที่เกิดขึ้นดูคล้ายกับเนื้องอกชนิดที่ไม่ร้ายแรง โดยทั่วไปโรคนี้ไม่ทำให้ปลาตายโรคลิมโฟซิสติส ซึ่งเกิดกับปลากะพงขาวที่เลี้ยงในกระชัง ในบริเวณทะเลสาบสงขลา ปลากะพงขาวเป็นโรคนี้ประมาณ 3 เดือน ในระหว่างที่ปลาเป็นโรคปลายังคงกินอาหาร และเจริญเติบโตตามปกติ ปลาที่เป็นโรคมีอาการเป็นตุ่มนูนขึ้นมาบนผิวหนังส่วนต่าง ๆ เมื่อเอามือลูบมีลักษณะอ่อนนุ่ม ถ้านำตุ่มเหล่านี้มา Smear บนสไลด์ และส่องดูด้วยกล่องจุลทรรศน์ พบว่า มีเซลล์ขนาดใหญ่รวมเป็นกลุ่มยื่นนูนออกมาจนปิดบริเวณปาก หรือบริเวณช่องเหงือก ซึ่งอาจกระทบกระเทือนการกินอาหารของปลา หรือทำให้การหายใจไม่สะดวก **9.1.2.2 โรคหูดปลา** สาเหตุของโรค เกิดจากไวรัสพวก ลิมโฟซิสติส (lymphocystis) เข้าไปทำให้เซลล์ผิวหนังขยายตัวอย่างผิดปกติ **อาการ** มีตุ่มใสเล็กๆ คล้ายเม็ดสาคูจับกันเป็นก้อน ติดอยู่ตามครีบ และครีบหาง พบเฉพาะในปลากะพงขาว **ภาพที่ 9.3** หูดปลา **ที่มา :** **9.1.2.3 โรคระบบประสาทตาและสมองตาย** สาเหตุของโรค เกิดจาก 90-100 เชื้อไวรัสในกลุ่ม Nodavirusเข้าไปทำลายระบบประสาทสมอง และตา การ**รักษา** ยังไม่มียาและสารเคมีที่ใช้ในการรักษา **อาการเ**ริ่มต้นด้วยการลอยตัวขึ้นมาที่ผิวน้ำเป็นครั้งคราว โดยว่ายน้ำขึ้นมาหมุนตัวควงสว่าน แล้วจมลงไปอีกอาการเช่นนี้ เป็นอยู่นานประมาณ 2-3 วัน ก็จะลอยตัวอยู่ที่ผิวน้ำอย่างถาวร และเปลี่ยนเป็นอาการตัวงอ ท้องบวมมากกว่าปกติ ในปลาวัยอ่อนและวัยรุ่นจะตาย 90-100% ภายใน 1-2 วัน หลังจากแสดงอาการ แต่ในปลาขนาดโตกว่านั้นจะตายช้าอาจใช้เวลานาน 7-30 วัน **9.1.2.4 โรค Lymphocystis** โรคชนิดนี้มีลักษณะเรื้อรัง ในปลาเลี้ยงและปลาธรรมชาติทั้งน้ำจืด น้ำกร่อยและปลาทะเล แต่ไม่เคยมีรายงานการพบเชื้อนี้ในกลุ่มปลาซัลมอน โดยทั่วไปแล้วโรคนี้ไม่ทำให้ปลาตาย อาการของปลาที่เป็นโรค สังเกดได้ง่าย จากตัวปลาจะปรากฎตุ่มคล้ายหูดบนผิวหนังและครีบ อาจเป็นเซลเดียว หรือรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ มีสีขาวจนถึงขาวปนเทาเมื่อสัมผัสจะอ่อนนุ่ม ลักษณะของตุ่ม เกิดจากการที่ไวรัสไปทำให้เซลมีขนาดใหญ่ขึ้น และปรากฏ inclusion body ในเซล ลักษณะตุ่มนูนคล้าย ๆ กับเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงตุ่มอาจแตกออกและปล่อยเชื้อไวรัสลงสู่น้ำ ผิวหนังบริเวณนั้นจะหายเป็นปกติ เมื่อเวลาผ่านไปสภาพสิ่งแวดล้อมรอบตัวปลาสะอาดขึ้น ปลาก็จะหายจากโรคนี้ โดยตุ่มหูดจะหายหมดไป ในประเทศไทย พบในปลากระพงขาว ปลาตะกรับ และปลาข้าวเม่าน้ำลึก **9.1.2.5 โรค KHV (Koi Herpesvirus Disease)** ปลาป่วยมีอาการซึม อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ตามลำตัวมีเมือกมาก มีแผลเลือดออกตามลำตัวและด้านท้อง บางครั้งพบแผลตื้นๆ ร่วมด้วย ในปลาที่มีการติดเชื้ออย่างรุนแรงพบอาการเหงือกเน่าและมีคราบสีขาวอมเหลืองแทรกอยู่ (เนื่องจากเซลล์เหงือกตาย) ปลาอ่อนแอกินอาหารน้อยลงหรือไม่กินอาหารว่ายน้ำเสียการทรงตัว ลอยอยู่ใกล้ผิวน้ำ และตายอย่างช้าๆ โดยอัตราการตายสูงถึง 50-100% โรคไวรัสเคเอชวี เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีสารพันธุกรรมชนิด ดีเอ็นเอ (DNA) ดำรงชีวิตที่อุณหภูมิต่ำได้ดีกว่าว่าที่อุณหภูมิสูง โดยอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของเชื้อชนิดนี้อยู่ระหว่าง 18 - 28 องศาเซลเชียส นอกจากนี้ภาวะความเครียดต่างๆ เช่น การขนส่ง การติดเชื้อปรสิตหรือแบคทีเรีย และคุณภาพน้ำที่ไม่เหมาะสม จะช่วยเสริมให้เกิดโรคได้ง่ายและรนแรงขึ้น สามารถตรวจพบเชื้อไวรัสเอชวี ในอวัยวะต่างๆ ของปลา โดยเฉพาะที่เหงือก ไต ม้าม และเมือก มักพบในปลาคาร์พและปลาไน โรคนี้เป็นเชื้อที่เกิดจากไวรัสจึงไม่มีวิธีการรักษา ควรป้องกันด้วยการหลีกเลี่ยงการนำเข้าปลาจากฟาร์มหรือพื้นที่ที่ประสบปัญหาโรคชนิดนี้ (สถาบันวิจัยสุขภาพสัตว์น้ำจืด, มปป.) โรคพยาธิที่เกิดภายใน (Intra parasite) ส่วนใหญ่ที่พบบริเวณทางเดินอาหารภายใน ช่องท้อง หรือกระเพาะอาหาร หรือฝังตัวในเหงือกหรือกล้ามเนื้อ เกิดจากได้รับเชื้อโรคกลุ่มหนึ่งคือ พยาธิใบไม้ (Digenetic trematode) พยาธิหัวหนาม (Acanthocephalus) พยาธิตัวกลม (Nematode) และพยาธิตัวแบน (Cestode) ซึ่งส่วนมากจะพบในปลาที่ชอบกินปลาอื่นเป็นอาหาร (สุปราณี, 2546) **(1.) โรคที่เกิดจากเชื้อพยาธิใบไม้** พวก Trematode เป็นพยาธิใบไม้ที่ทำให้เกิดโรคปลานั้น พบทั้งขณะที่เป็นตัวเต็มวัยแล้วและตัวอ่อน ตัวเต็มวัยของพยาธิใบไม้จะพบได้ในทางเดินอาหาร ภายในช่องท้องตัวอ่อนซึ่งพบฝังตัวอยู่บริเวณเหงือก และอวัยวะภายในต่าง ๆ ทำให้เกิดความเสียหายกับเนื้อเยื่อของเหงือกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลูกปลาที่เป็นโรคนี้จะมีอาการ กระพุ้งแก้มเปิดอ้าอยู่ตลอดเวลา ว่ายน้ำทุรนทุราย ลอยตัวที่ผิวน้ำ ผอม เหงือกบวมอาจมองเห็นจุดขาว ๆ คล้ายเม็ดสาคูขนาดเล็กเป็นไตแข็งบริเวณเหงือกได้ และปลาจะทยอยตายเรื่อย ๆ ปลาหลายชนิดใน แหล่งน้ำธรรมชาติอาจพบพยาธิใบไม้เต็มวัยได้ ส่วนพยาธิใบไม้ตัวอ่อนพบมากในปลาจีน ดุก นิล สวาย และปลาสวยงาม **(2.) โรคจากเชื้อพยาธิตัวกลม** ได้แก่ Nematodaชนิดที่พบมาก Spinitectus sp. โรคนี้มักพบในปลาที่อยู่ตามแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือปลาที่เลี้ยงในกระชัง ตัวเต็มวัยของพยาธิชนิดนี้มักพบในทางเดินอาหารและหลังลูกตา ตัวอ่อนจะพบได้ในเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในต่าง ๆ พบบริเวณหลังลูกตาจะทำให้ปลามีอาการตาโปน หรือขุ่นขาว พยาธิตัวกลมนี้มีขนาดใหญ่มองเห็นด้วยตาเปล่า มีลำตัวยาวเป็นแท่งทรงกระบอกสีขาวขุ่น ครีม หรือ แดง **อาการ** หากปลาเป็นโรคพยาธิภายในแล้ว จะเกิดอาการผอมแห้ง ไม่ยอมกินอาหารตามปกติ และเป็นโอกาสให้เชื้อโรคชนิดอื่นเข้ามาแทรกซ้อนได้ ![](media/image4.png) **ภาพที่ 9.4** พยาธิตัวกลม **ที่มา :** **ภาพที่ 9.5** พยาธิหัวหนาม **ที่มา :** 3. **โรคว่ายหมุนเป็นวงกลมไม่หยุด (Whirling Disease)** **อาการ** ลักษณะการว่ายของปลาจะเหมือนกับการวนเวียนรอบ ๆเสา เป็นรูปวงกลมไม่หยุดหากหยุดว่ายปลาจะไม่มีลักษณะผิดปกติอื่น ๆ เลย แต่จะไม่โต **สาเหตุ** เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ชื่อ LentosporaCerebalisมาเกาะอาศัยอยู่บนส่วนหัวกะโหลกและเจาะเข้าถึงสมองส่วนที่บังคับการทรงตัวของปลา ทำให้ปลามีอาการว่ายหมุนเป็นวงกลมไม่หยุด **(1.) โรคครีบและหางเปื่อย** ปลาที่เป็นโรคนี้จะมีอาการเซื่องซึมไม่ค่อยกินอาหารและมักจะว่ายน้ำสั่นกระตุกเป็นพัก ๆ ครีบและหางจะขาดแหว่งคล้ายถูกกัด บริเวณปลายครีบและหางจะมีสีขาวขุ่นหรือแดง และค่อย ๆ ลุกลามไปเรื่อย ๆ จนครีบและหางของปลาหดหายไป ซึ่งจะทำให้ปลาตายในที่สุด โรคนี้เกิดจากปลาได้รับเชื้อโปรโตซัว และมีการติดเชื้อแบคทีเรียรวมด้วย ![](media/image6.png) **ภาพที่ 9.6** ครีบและหางเปื่อย **ที่มา :** **(2.) โรคสนิมเหล็ก** ปลาที่เป็นโรคนี้จะว่ายน้ำทุรนทุรายบางครั้งพบว่ากระพุ้งแก้มเปิดอ้ามากกว่าปกติ อาจมีแผลตกเลือดหรือรอยด่างสีน้ำตาลหรือเหลืองคล้ายสีสนิมตามลำตัว ครีบหางตกหรือลู่ลง ปลาจะทยอยตายติดต่อกันทุกวัน ปรสิตที่ทำให้เกิดโรคนี้ในปลาน้ำจืดมีชื่อว่า โอโอดีเนียม (Oodinium sp.) หรือพิสชิโนโอดิเนียม (Piscinoodinium sp.) แต่ถ้าทำให้เกิดโรคในปลาน้ำกร่อยหรือปลาทะเลมีชื่อว่า อะมิโลโอดิเนียม (Amyloodinium sp.) ปรลิตพวกนี้เป็นปรลิดเซลล์เดียวชนิดที่มีรูปร่างกลมรี ลีเหลืองปนน้ำตาล หรือเหลืองปนเขียวแบบสีละท้อนแสงภายในเซลล์มืองค์ประกอบที่คล้ายสบู่อยู่เป็นจำนวนมากสามารถเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็วโดยการแบ่งเซลล์ ถ้าปลาไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ปลาจะตายหมดบ่อ โรคนี้ผบมากในลูกปลายนาดเล็ก เช่น ปลาดุก ปลาช่อน ปลากราย และปลาสวยงาม เป็นต้น **(3.) โรคจุดขาว (lch.white spot disease)** ปลาที่ป่วยจะมีจุดขาว ๆ ขนาดเล็กประมาณ 0.5-1.00 มม. ปรากฎขึ้นตามลำตัวครีบและเหงือกแล้วเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเห็นชัดเจน ปลาที่เป็นโรคนี้จะว่ายน้ำแกว่งลำตัวไปมาและพยายามจะถูลำตัวกับพื้นก้อนหินหรือต้นไม้น้ำ เพื่อให้จุดขาวเหล่านี้หลุดออกไปเมื่อมีอาการดังกล่าวมาแล้วจะไม่ค่อยยอมกินอาหารปลาบางชนิดจะลอยคอขึ้นมาอยู่บนผิวน้ำหรือบางชนิดจะซุกตัวอยู่ตามมุมนิ่ง ๆ สำหรับปลาที่มีสีอ่อนจะสังเกตุยาก สาเหตุเกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ในน้ำชนิดหนึ่งชื่อ *lchthyophthirius sp.* มีขนาดเล็กเกาะอยู่เชื้อนี้จะขยายพันธุ์อยู่บนผิวของปลาที่สุขภาพอ่อนแอ (อาการอ่อนแอนี้อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน้ำมาก ๆ ) ปรลิตที่ทำให้เกิดโรคนี้ในปลาน้ำจืดมีชื่อว่า อิ๊กทีอ๊อฟทีเรียส มัลติฟิลิส (*Icthyopthirius mulifliis*) หรือเรียกสั้นๆ ว่า อิ๊ก แต่ถ้าทำให้เกิดโรคในปลาน้ำกร่อยมีชื่อว่า คริบโตคารืออน อิริเทนส์ (*Cyptocon imilons*) ซึ่งเป็นโปรโตชัวชนิดที่กินเซลล์ผิวหนังเป็นอาหาร สามารถลังเกตโปรโตชัวชนิดนี้ได้ง่ายๆ คือ มีนิวเคลียลเป็นรูปเกือกม้าขนาดใหญ่ เมื่อปรลิตชนิดนี้โตเต็มที่จะออกจากตัวปลาจมตัวลงสู่บริเวณก้นบ่อปลา และสร้างเกราะหุ้มตัว และแบ่งเซลล์ตัวอ่อนจำนวมากภายในเกราะ เมื่อสภาวะแวดล้อมเหมาะสมเกราะจะแตกออก ตัวอ่อนจึงเข้าเกาะผิวหนังของปลาต่อไป สามารถติดตอจากปลาที่เปนโรคไปสู ปลาปกติไดภายใน 2 วัน วงจรชีวิตของปรสิตชนิดนี้ใชเวลา 4 วันในการพัฒนาจากร ะยะ trophont ในผิวหนัง ระหวางชั้น dermis และ epidermis ของปลาที่เปนโรค โดยพัฒนาเปนระยะ tomont และออกจากตัวปลา ตกสูพื้น แลวมีการสราง จากนั้นมีการแบงตัวภายในเปนตัวออนระยะ ciliophore จํานวนมาก จนกระทั่งเซลล แมแตก ตัวออนระยะดังกลาวจะออกมาจากเกราะ เปนตัวออนระยะ theront ตัวออนร ะยะนี้วายน้ําเขาเกาะ ปลาตัวใหม ตัวออนระยะ theront จะพัฒนาเปนระยะ trophont ใตผิวหนังระหวางชั้น dermis และ epidermis ของปลาตัวใหม เมื่อเวลาผานไป 4 วัน (นิรัติศัย และธีรวุฒิ, 2551) **ภาพที่ 9.7** เชื้อ *lchthyophthirius multifilis* ในปลาทอง () และ ระยะ to mont ที่เข้าเกราะ **ที่มา :** นิรัติศัย และธีรวุฒิ (2551) 4. **โรคเห็บระฆัง** โรคนี้จะทำให้ปลาเกิดอาการระคายเคือง เนื่องจากพยาธิในกลุ่ม Trichodinids ซึ่งเป็นปรสิตเซลล์เดียวรูปร่างกลมๆ มีแผ่นขอหนามอยู่กลางเซลล์เข้าไปเกาะอยู่ตามลำตัวและเหงือกปลา มีการเคลื่อนที่ไปมาจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งอยู่ตลอดเวลาทำให้ปลาเกิดเป็นแผลขนาดเล็กตามผิวตัวและเหงือก มักพบในลูกปลาถ้าพบเป็นจำนวนมากทำให้ปลาตายได้หมดบ่อหรือหมดตู้ ปลาที่พบว่าเป็นโรคนี้มีหลายชนิด เช่น ปลาดุก ปลาช่อน ปลากะพงขาว ปลานิล เป็นต้น **ภาพที่** **9.8** เห็บระฆัง **ที่มา :** สุปราณี (2546) 5. **โรคเห็บปลา (Argulus disease)** **อาการ** ลักษณะมีเม็ดกลมแบนใส ๆ เกาะอยู่ตามลำตัวปลาลักษณะ การว่ายน้ำจะผิดปกติ ชอบถูลำตัวกับพื้น ก้อนหินหรือไม้น้ำ การกินอาหารน้อยลงแล้วถ้าอาการมากขึ้นจะไม่ยอมว่ายไปมา สาเหตุ เกิดจากเชื้อ Argulus sp. ทำให้ลำตัวจะมีรอยแดง เมื่อตรวจดูจะเห็นเห็บเกาะแน่นลักษณะคล้ายจานแบน ๆ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-10มม. มีสีเขียวอ่อนหรือสีเหลืองอ่อนแกมเขียวและน้ำตาล มีอวัยวะคล้ายเหล็กใน (Sting) แทงเข้าไปในใต้ผิวหนังของปลาเพื่อดูดเลือดหรือของเหลวในเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังปลาเป็นอาหาร บริเวณปากจะมีต่อมพิษเพื่อปล่อยสารพิษมาทำอันตรายต่อปลา ![](media/image9.png) **ภาพที่ 9.9** เห็บปลา **ที่มา :** **(6.) โรคหนอนสมอ (Lerneosis)** โรคจากเชื้อหนอนสมอ หรือ Lernaeaหนอนสมอ หรือ Lernaea sp. จัดอยู่ใน Phylum Arthropoda Class Crustacean มีชื่อเรียก ทั่วไปว่า Anchor Worm เพราะว่าส่วนหัวมีลักษณะคล้ายสมอ ลำตัวเป็นรูปทรงกระบอก ขนาดความยาวประมาณ 0.2-4.3 มิลลิเมตร ส่วนท้องสั้นมี 3 ปล้อง ด้านท้ายลำตัวมีถุงไข่ (Egg Sac) 1 คู่ รูปร่างยาวรี มีไข่เรียงกันอยู่หลายแถว เมื่อไข่แก่เยื่อหุ้มไข่จะแตกออก ไข่ฟักออกเป็นตัวอ่อน และลอกคราบไปจนถึงระยะโคพีโพดิด (Copepodid) (รูปที่ 5.9) จึงเกาะตัวปลาเพื่อกินเมือกตามตัวปลาเป็นอาหาร ตัวเมียเกาะอยู่กับปลาจนเป็นตัวเต็มวัยและวางไข่ต่อไป หนอนสมอตัวเมียเป็นปรสิตของปลาน้ำจืดที่มีเกล็ดทั่วไป เช่น ปลาบู่ทราย ปลาจีน ปลาช่อน ปลาไน เป็นต้น หนอนสมอเกาะบนลำตัวปลาได้แทบทุกแห่ง เช่น โคนครีบ ลำตัว ช่องปาก รอบ ๆ ตา เป็นต้น โดยหนอนสมอจะฝังส่วนหัวเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อดูดกินเลือดและของเหลว ตำแหน่งที่เกาะมีอาการตกเลือดและรอยช้ำ เกล็ดหลุด ทำให้เชื้อราและแบคทีเรียติดได้ สาเหตุ เกิดจากเชื้อ Lernaea sp. รูปร่างเพรียวยาวขนาด 6-12มม. กว้าง 0.5-1.2มม. โรคนี้จะเกิดกับปลาน้ำจืดทั่ว ๆ ไป แทบทุกชนิด หนอนสมอจะใช้ส่วนหัว และอกฝังในเนื้อเยื่อตามผิวหนังปลา และจะยื่นส่วนท้ายของลำตัวที่เป็นทรงกระบอกออกมานอกผิวปลา อาการปลาจะมีอาการซึมลง ผอมแห้งกระพุ้งแก้มเปิดอ้า บริเวณผิวหนัง ปากและครีบจะมีรอยสีแดงเป็นจ้ำ ๆ (ปภาสิริ , 2524) **ภาพที่ 9.10** ปลาที่เป็นโรค เนื่องจาก หนอนสมอ **ที่มา :** **(7.) โรคพลิสโตฟอโรซิส (Plistophorosis)** ลักษณะของลำตัวปลาและเหงือกจะซีดขาว ว่ายน้ำตะแครงข้าง การทรงตัวผิดปกติ ผอมแห้ง ชอบแยกตัวออกจากกลุ่ม และจะตายไปในที่สุด สาเหตุเกิดจากเชื้อโปรโตซัวชนิดหนึ่งคือ Plistophora sp. ซึ่งค้นพบครั้งแรกในปลานีออน(Neon tetra) บางครั้งมีผู้เรียกชื่อโรคนี้ว่า\"โรคนีออนเตตร้า\" **(8.) โรคปลิงใส** (Monogene) ปลาที่ติดปรสิตปลิงใสจะมีอาการซึม เบื่ออาหาร และมีการว่ายน้ำแฉลบเอาข้างตัวถูกับพื้นตู้เป็นครั้งคราว ครีบของปลาโดยทั่วไปยังมีลักษณะปกติ ![](media/image11.png) **ภาพที่ 9.11** ปลิงใส Dactylogyrus sp. (ปภาสิริ , 2524) **ที่มา :** **9.1.4 โรคที่เกิดจากเชื้อรา** ![](media/image13.png) **ภาพที่ 9.12** เชื้อราในปลามังกร **ที่มา :** **9.2** **การเกิดโรคจากสิ่งแวดล้อมหรือสารพิษ** สภาพสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมมีผลต่อการป่วย การเกิดโรค หรือการตายของสัตว์น้ำ ที่สร้างความเสียหายได้ในปริมาณมากและในระยะเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งประกอบด้วยหลายปัจจัย ได้แก่ ค่าคุณภาพน้ำ เช่น ปริมาณออกซิเจนละลยายในน้ำ ปริมาณเกลือแร่ ริมาณแอมโมเนียในน้ำ ระดับอุณหภูมิ ปริมาณสารพิษในน้ำ เป็นต้น **9.2.1 สารพิษที่เกิดจากพวก Micro Organism** เกิดเป็นจำนวนมาก ๆ ในแหล่งน้ำที่มีแร่ธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์หรือมี cell ผิดปกติกว่า 100 ? 103 cell/cc Phyrophytaกลุ่ม Dino-flagellates มักเกิดในทะเลผลิตสารพิษเรียก Piocine Toxin ทำให้ Cell ตาย Chrysophytaกลุ่ม Phyto-flagellate มักเกิดบริเวณน้ำกร่อยผลิตสารพิษ Icthyotoxin , Cyanophytaกลุ่ม Blue Green Algae เกิดในแหล่งน้ำสร้างสารพิษเรียกว่า Itchyo Toxins ทำให้น้ำขาด O2 เนื่องจากก๊าซพิษ ได้แก่ คลอรีน (Cl2) ในรูปกรด Hypochlorus HOCL พบในน้ำประปาทั่วไป ในน้ำไม่ควรมีเกิน 0.2 mg/L การลดความเป็นพิษ เติมอากาศให้ระเหย หรือเติมNa2S2O3 5H2O 3-5 mg/l ถ้าปริมาณ NH3 สูงความเป็นพิษยิ่งมากขึ้น แอมโมเนีย (NH3) ในแหล่งน้ำไม่ควรเกิน 0.02 mg/L ส่วนไฮโดรเจนซัลไฟด์ H2S ไม่ควรเกิน 0.002 mg/L ถ้ามากกว่านี้จะเป็นพิษต่อสัตว์น้ำ ออกซิเจน (O2) ในการเติมอากาศลงน้ำมากเกินกว่า 10-20 mg/L โอกาสเกิดฟองอากาศในเลือดของสัตว์น้ำมีมากขึ้นหรือหากน้ำมีปริมาณ O2 ต่ำกว่า 3 mg/L ลักษณะอาการของโรคที่เกิดจากสภาพแวดล้อม โดยทั่วไปจะตายเป็นจำนวนมากในเวลารวดเร็วและส่วนมากร่างกายจะไม่มีบาดแผล หรือมองไม่เห็นภายนอก **9.2.2 การเกิดฟองอากาศ (Gas bubble disease)** **อาการ :** ส่วนมากจะเกิดกับลูกปลาที่เลี้ยงในบ่อที่มีแสงแดดจัด และมีสาหร่ายในน้ำปริมาณสูง (สังเกตจากน้ำในบ่อจะมีสีเขียวมาก) ซึ่งสาหร่ายจะทำให้เกิดการสังเคราะห์แสง และเกิดก๊าซออกซิเจนมากเกินไป ส่วนในตอนเย็นออกซิเจนลดลงอย่างรวดเร็วทำให้ปลาปรับตัวไม่ทัน เห็นเป็นฟองอากาศในตัวปลาโดยเฉพาะลูกปลา **9.3 การเกิดโรคจากสุขภาพและการขาดสารอาหาร** ส่วนใหญ่พบเนื่องจาก การเลี้ยงที่หนาแน่น การเตรียมสูตรอาหารผิด หรือการสูญเสียสารอาหารในระหว่างการผลิต เช่น ถูกความร้อนหรือการละลายที่พบบ่อย ได้แก่การขาดโปรตีนและวิตามินและแร่ธาตุ ทำให้สัตว์น้ำเบื่ออาหารและเติบโตช้า ประสิทธิภาพการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อต่ำ ลำตัวคดงอหรือกะโหลกยุบ โรคที่พบเช่น **9.3.1 โรคเกิดจากขาดวิตามิน** **(1.) ขาดวิตามินซี** วิตามินชนิดนี้เป็นสารอาหารที่ละลายน้ำได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน จึงสูญเสียง่าย อาการที่พบโตช้า สร้างกระดูกผิดปกติ ตัวคดงอ เส้นเลือดเปราะ แผลหายช้า ติดเชื้อแบคทีเรียได้ง่าย ปลาดุกที่เป็นโรค พบมากเมื่อเลี้ยงหนาแน่น ส่วนใหญ่พบในลูกปลา (สุปราณี, 2546) **ภาพที่ 9.13** โรคเกิดจากการขาดวิตามินซี **ที่มา :** **(2.) ขาดวิตามินเอ** จะส่งผลต่อการทำงานของระบบย่ออาหรและระบบประสาท ทำให้การเจริญเติบโตของปลาช้าลง **(3.) ขาดวิตามิบี 1หรือวิตามินบีรวม** ทำให้ภูมิต้านทานของปลาลดลง อาจก่อให้เกิดอาการอื่นๆด้วย **9.3.2 โรคเสียการทรงตัว (Air bladder disease)** เกิดจากการกินอาหารมากจนเกินไป กระเพาะอาหารย่อยอาหารไม่ทัน อาหารเหล่านี้ก็จะไปกดกระเพาะลมที่ใช้ในการทรงตัวให้พองขึ้นไม่เท่ากัน ทำให้เสียการทรงตัว อาการของปลาที่ป่วยจะว่ายน้ำอุ้ยอ้ายลำตัวบิดไปมา แทนที่จะสะบัดหางอย่างเดียวปลามักจะจมอยู่ก้นตู้ ครีบทุกครีบจะกางออก เวลาว่ายจะไม่สามารถหยุดตัวเองได้ จึงทำให้เกิดการชนตู้อยู่บ่อย ๆ ถ้ามีอาการมากบางครั้งจะหงายท้องลอยอยู่บนผิวน้ำ แต่ก็จะพยายามกลับตัวให้ลอยตามปกติ หากกลับไม่ได้บ่อยครั้งก็จะตายไปในที่สุด **9.3.3 โรคสันหลังหัก (Spinal Paralysis)** เกิดจากการให้สารเคมีบางชนิดมากเกินไป การโดนไฟฟ้าช็อต หรือฟ้าผ่าปลาจะดิ้นทุรนทุรายอย่างแรง ซึ่งจะทำให้หลังหัก การที่ปลากระโดดออกจากบ่อหรือวิ่งชนตู้ปลาอย่างแรง ทำให้หลังหัก อาการลักษณะการว่ายของปลาจะอุ้ยอ้าย เมื่อสังเกตดูใกล้ ๆ จะพบว่าลำตัวจะคดหรือลำตัวแข็งทื่อ พอจะว่ายได้บางครั้งลำตัวคดในแนวตั้งคือ หางกระดกขึ้นมา ปลาจะมีอายุอยู่ต่อไปอีกหลายปีไม่ตายในทันที **9.3.3 โรคแพ้ความเค็มของบ่อปูน** เกิดจากการย้ายปลาลงบ่อปูนที่สร้างใหม่ หรือมีน้ำผสมปูนหลงเหลืออยู่ โดยเมือกของผิวปลาโดนด่างในปูนกัด จนหมดภูมิต้านทานจากเชื้อโรคที่อยู่ในน้ำ จึงทำให้ผิวหนังอักเสบ อาการ ผิวปลาจะเป็นผื่นแดง (Bloodshot) ปลาจะซึมลงไม่ยอมว่ายน้ำ และหากเป็นมากอาจถึงตายได้ **9.4 หลักการป้องกันโรคสัตว์น้ำ (Disease Preventation)** การป้องกันโรค ถือเป็นปัจจัยสำคัญถึงความสำเร็จของการเลี้ยงสัตว์น้ำ เพราะการป้องกันจะประหยัดและคุ้มกว่าการรักษาโรค แม้จะทำได้ยากแต่ก็มีแนวทางที่สามารถกระทำได้ดังนี้ 1\. การคัดเลือกชนิดของพันธุ์ปลาและแหล่งที่มา ต้องสืบประวัติว่าไม่เคยมาจากแหล่งที่มีโรคระบาดมาก่อน ต้องตัดเลือกพันธุ์ที่มีลักษณะสมบูรณ์แข็งแรง ก่อนทำการปล่อยต้องพักปลาก่อน เพื่อลดการบอบช้ำและบาดแผลจากการขนส่ง ถ้าหากไม่แน่ใจเนื่องจากอาจมีเชื้อที่ติดมากับตัวปลา ก่อนปล่อยต้องกำจัดด้วยยาเหลือง ฟอร์มาลิน เกลือแกง 0.1-0.5 % ขณะขนส่งหรือด่างทับทิม ตามความเข้มข้นที่เหมาะสม 2\. การเตรียมบ่อให้ดีที่สุด โดยกำจัดศัตรูปลาก่อนปล่อยออกให้หมด รวมทั้งพวก Intermidiate Host ตากบ่อให้แห้ง ใส่ปูนขาวและปุ๋ย การปล่อยปลาในอัตราส่วนที่เหมาะสม ตลอดจนการให้อาหาร หลังปล่อยต้องหมั่นตรวจสอบการเจริญเติบโตของปลา ลักษณะของปลา ตลอดจนคุณสมบัติของน้ำที่สำคัญ เช่น ออกซิเจนในน้ำ ความเป็นกรด-ด่าง แอมโมเนีย ไฮโดรเจนซัลไฟด์ อุณหภูมิ หรือการใช้ครอรีน50 กก./ไร่ ก่อนถ่ายเทน้ำเข้าบ่อ การตรวจสอบปริมาณอาหารธรรมชาติและความหนาแน่นของพืชน้ำ เช่น การป้องกันการ Bloom ของ Planktons 3\. การสร้างความต้านทานให้แก่ตัวปลา เช่น การคัดเลือกพันธุ์ปลาและชนิดมาเลี้ยง Elbinger and Aulestadรายงานว่าปลา Atlantic Salmon ที่คัดมาจากโรคเพาะฟักกับพวกที่ไม่ได้คัด ปรากฏว่าพวกที่คัดพันธุ์แสดงอาการของโรค Furunculosisและโรค Vibriosisน้อยกว่าพวกที่ไม่ได้คัดพันธุ์ 4\. ต้องระวังในเรื่องคุณภาพของน้ำ ถ้าพบว่าเกิดการระบาดของโรคปลาธรรมชาติหรือฟาร์มปลาใกล้เคียง ไม่ควรระบายน้ำเข้าบ่อปลา ให้ใส่ปูนขาวในบ่อปลาอัตราประมาณ 60 กิโลกรัม/ไร่ ทุก ๆ 4 อาทิตย์ และใส่เกลือแกงประมาณ 200-300 กิโลกรัม/ไร่ เมื่อสังเกตเห็นว่าน้ำเริ่มเสีย (โสภาและคณะ,2527) ปูนขาวช่วยทำให้ความเป็นด่างของน้ำเพิ่มขึ้น และทำให้ความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำไม่เปลี่ยนแปลงมากเกินไป นอกจากนี้ ปูนขาวยังทำให้สารแขวนลอยในน้ำ เช่น สารอินทรีย์ต่าง ๆ ตกตะกอนอีกด้วย ส่วนเกลือแกงช่วยลดความเป็นพิษของไฮโดรเจนซัลไฟล์ แอมโมเนีย และไนไตรท์ 5\. การให้อาหารต้องระวังอย่าให้มีอาหารเหลืออยู่ เพราะว่าจะทำให้คุณภาพน้ำเน่าเสีย ควรให้อาหารครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ ครั้ง และปริมาณอาหารเพียงพอกับความต้องการของปลา **9.5 การรักษาโรค (Therapy of Aquatic Animal Diseases)** **9.5.1 วิธีการรักษาโรค** โดยใช้สารเคมีหรือยาปฏิชีวนะมีดังนี้ 1\. การแช่ (Baths) เหมาะสมกับสัตว์น้ำที่อยู่ในถังหรือบ่อขนาดเล็ก ใช้สารเคมีความเข้มขันต่ำ แช่ สัตว์น้ำนาน 30-60 นาที วิธีการนี้มักมีปัญหาเรื่องออกซิเจนที่ละลายน้ำจะหมดไปและมีการสะสม แอมโมเนีย จึงควรมีการเพิ่มออกซิเจน ลงในน้ำโดยการพ่นฟองอากาศ 2\. การแช่ระยะยาว (Prolonged immersion) เหมาะกับสัตว์น้ำที่เลี้ยงในบ่อดินที่มีการถ่ายเทน้ำเล็กน้อย หรือไม่ถ่ายน้ำเลย จะใช้สารเคมีความเข้มข้นต่ำ แช่สัตว์น้ำนาน12 ชั่วโมง 3\. การจุ่ม (Dips) เหมาะกับสัตว์น้ำที่มีจำนวนน้อย จะใช้สารเคมีความเข้มขันสูงมากจุ่มสัตว์น้ำนาน 1 - 5 นาที วิธีการนี้จะก่อให้เกิดความเครียดต่อสัตว์น้ำมาก 4\. Flushes เหมาะกับสัตว์น้ำที่เลี้ยงในบ่อดิน ดูน้ำที่ไหลได้ จะใช้สารเคมีมีความเข้มข้น ต่ำปล่อยที่ทางน้ำเข้า ให้สารเคมีเจือจางไปตามน้ำที่ไหลไป 5\. Flowing treatment เป็นวิธีการใส่สารเคมีที่รู้ปริมาตรและความเข้มข้นที่ต้องการ ลงในบ่อ ผ่านทางท่อในช่วงเวลาที่กำหนด ซางบังคับการทำงานโดยแบตเตอร์รี่ หรือไฟฟ้า วิธีนี้สะดวกต่อผู้เลี้ยงมาก 6\. ให้กิน โดยผสมลงในอาหาร นิยมใช้ในการเลี้ยงบ่อดินซึ่งมีปลาเป็นจำนวนมากการใช้ ยาฉาบในอาหารเม็ด จะใช้ gelatine หรือ corn oil ช่วยให้ยาเกาะติดแน่น หรือถูกดูดซึมเข้า ในอาหารเม็ดดีขึ้น 7\. การฉีด (Injection) การฉีดยาแก่ปลาป่วย เพื่อต้องการให้ได้รับยาเข้าร่างกายอย่างรวดเร็วนิยมใช้กับปลาขนาดใหญ่ ราคาแพง จำนวนน้อย สามารถฉีดเข้าทางกล้ามเนื้อ,ช่องท้องหรือ เส้นเลือด **9.5.2 การรบกวนจากพาราไซท์หรือพยาธิ** (Parasitic Infestations) ฟอร์มาลิน (40% Formaldehyde) นิยมใช้มากที่สุดในการกำจัดพาราไซท์ที่รบกวนภายนอกสัตว์น้ำ นิยมรักษาโดยวิธี bath,flush หรือ flowing treatment ความเข้มข้น 1,600 -2,000 มิลลิกรัมต่อลิตร สามารถควบคุมเชื้อราบนไข่ปลา เมื่อแช่นาน 15 นาที ความเข้มข้น 167-200 มิลลิกรัมต่อลิตร แช่นาน 1 ชั่วโมง หรือ 500 มิลลิกรัมต่อลิตรนาน 30 นาที หรือ 25 มิลลิกรัมต่อลิตรแซ่ตลอดไปใช้ในการรักษาโปรโตชัวภายนอก เช่น Costia, Trichodina, Monognetic trematode ฟอร์มาลินควรเก็บไว้ในขวดทึบสงเมื่อใดมีตะกอนสีขาวหรือสีขุ่นแสดง ว่ามี paraformaldehyde ซึ่งเป็นพิษมากกว่าฟอร์มาลินมาก ไม่ควรนำมารักษาโรค ฟอร์มาลินมี reducing agent เป็นส่วนประกอบ จะทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลง จึงควรให้เครื่องให้อากาศ ตลอดเวลาที่รักษาโรคด้วยฟอร์มาลิน โรคจุดขาวที่เกิดจากโปรโตซัวชื่อ Ich ให้รักษาด้วยสารเคมี 2 ชนิดผสมกันระหว่าง malachite green 1 -2 มิลลิกรัมต่อลิตร และ 167 -250 มิลลิกรัมต่อลิตรของฟอร์มาสินแซ่ปลา นาน 1 ชั่วโมง (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเป็นกรดเป็นด่าง และความกระด้างของน้ำด้วย)ในประเทศ อิสราเอลรักษาปลาในบ่อที่เป็นโรคจุดขาวด้วย malachite green 0.15 มิลลิกรัมต่อลิตร นาน 12 ชั่วโมง (Sarig, 1971) พยาธิภายนอกชนิดอื่น ๆ เช่น monogenetic trematode, crustacean เช่น Lernaea, Argulus ให้รักษาด้วย organophosphate เช่น Mesoton หรือ Neguvon (trichlorphon) หรือ Dipterex 0.25 มิลลิกรัมต่อลิตร แช่ตลอดไปหรือ 1% ( 10,000 มิลลิกรัมต่อ ลิตร ) จุ่ม 2-3 นาที หรือใช้ Bromex 0.1 มิลลิกรัมต่อลิตรนาน 12 ชั่วโมง พาราไซท์ภายนอก และโรค Columnaris ใช้ด่างทับทิม (KMnO~4~ ) 1,000 มิลลิกรัมต่อ ลิดรจุ่มนาน 10 -40 วินาที หรือ 10 มิลลิกรัมต่อลิตร แช่นาน 30 นาที หรือ 3-5 มิลลิกรัมต่อลิตรแช่ตลอดไป เกลือหรือโซเดี่ยมคลอไรด์ป้องกันการเป็นโรคในระหว่างการลำเลียงขนส่งใช้อัตรา 1- 3% นาน 30 นาที -2 ชั่วโมง ในปลาน้ำจืด คอปเปอร์ซัลเฟต ใช้กำจัดพาราไซด์ภายนอก ในน้ำที่มีความกระด้างสูงใช้อัตรา500 มิลลิกรัมต่อลิตร จุ่มนาน 1 นาที ผสมกับ 1 มิลลิลิตรของ glacial acetic acid ต่อน้ำ 1 ลิตร สำหรับ Cutrine (Chelated copper compound) จะมีความเป็นพิษน้อยกว่าคอปเปอร์ซัลเฟต ยาเหลือง (acriflavine, Trypaflavin ) ใช้ป้องกันโรคอัตรา 5- 10 มิลลิกรัมต่อ ลิตรแช่ปลานาน 12 ชั่วโมง ปูนขาว Calcium oxide (quicklime ) ใช้ป้องกันเชื้อโรคที่ก้นบ่อ ใช้อัตรา 200 กรัม ต่อตารางเมตร หรือ 60 - 100 กิโลกรัมต่อไร่ **9.5.3 การรักษาโรคที่เกิดจากเชื้อรา** (Fungal Infections) เชื้อราที่ทำอันตรายต่อปลาน้ำจืดและไข่ มักจะเป็น Saprolegnia รักษาโดยใช้มาลาไคท์ กรีน 67 มิลลิกรัมต่อลิตร จุ่ม 1 นาที หรือ 1 -2 มิลลิกรัมต่อลิตร โดยวิธี bath, flush หรือ flowing treatment ซึ่งขึ้นอยู่กับความกระด้างของน้ำและอายุของปลา หรือ 0.15 มิลลิกรัมต่อลิตร นาน 1 ชั่วโมง สำหรับไข่ปลาอัตรา 2 มิลลิกรัมต่อลิตร นาน 1 ชั่วโมง Detrapan นิยมใช้กันมากในประเทศฝรั่งเศล ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ พ่อแม่พันธุ์ปลาขณะวางไข่ ในอัตรา 0.25 มิลลิลิตรต่อปลาหนัก 1 กิโลกรัม ฉีด 2 ครั้ง ทุก 48 ชั่วโมง Treflan รักษาโรคราในสัตว์ทะเลและไข่ ในอัตรา 0.0 1 มิลลิกรัมต่อลิตร แช่ตลอดเวลา **9.5.4 การรักษาโรคติดเชื้อจากแบคทีเรีย** **9..5.4.1 การจัดจำแนกยาต้านจุลชีพ (Classification of antimicrobial drugs)** ยาต้านจุลชีพ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม ตามลักษณะการมีผลทำลายหรือยับยั้ง การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ดังนี้คือ **กลุ่มที่ 1** ยาที่มีผลไปยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย (Primarily bacteriostatic) ได้แก่ ยาซัลฟา, ยา Tetracyclines, ยา Erythromycin (ที่มีความเข้มขันต่ำ),ยา Lincomycin, ยา Clindamycin, ยา Tiamulin และยา Nitrofuran (ที่มีความเข้มข้น ในสารละลายด่าง) การใช้ยานี้ในสัตว์อายุมาก อายุน้อยเกินไป อ่อนแอหรือขาดอาหาร จำเป็นต้องใช้อย่างระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยงไม่ใช้ยากลุ่มนี้เลย **กลุ่มที่ 2** ยาที่มีผลไปทำลายหรือฆ่าเชื้อแบตทีเรีย (Primarily bactericidal) ได้แก่ยากลุ่ม Penicillins, ยากลุ่ม Cephalosporins ยากลุ่ม Amino glycosides (Streptomycin,Neomycin , Kanamycin, Gentamicin) ยา Colistin, ยา Erythromycin (ที่มาความเข้มข้นสูง) Novobiocin (ที่มีความเข้มขันสูง) ยา Vancomycin ยา Bacitracin, ยา Polymyxins และยา Nitrofuran (ที่มีความเข้มข้นสูงในสารละลายกรด) มักจะใช้ยานี้กับ สัตว์ที่อายุมาก อายุน้อยเกินไป อ่อนแอ ขาดอาหารหรือในรายที่ระบบภูมิคุ้มกันไม่ทำงาน **ตารางที่ 9.1** ปริมาณสารเคมีที่ใช้ในการรักษาโรคปลา +-----------------+-----------------+-----------------+-----------------+ | **สารเคมี** | **สรรพคุณ** | **วิธีการใช้และ | **หมายเหตุ** | | | | ปริมาณ** | | +=================+=================+=================+=================+ | กรดน้ำส้ม(Aceti | ฆ่าเชื้อแบคทีเร | อัตราส่วน | | | c | ียและพาราสิตภาย | 1:20(5%) | | | Acid) | นอก | จุ่มนานประมาณ 1 | | | | | นาที (กรดน้ำส้ม | | | | | 1 ส่วนต่อน้ำ 20 | | | | | ส่วน) | | +-----------------+-----------------+-----------------+-----------------+ | ยาเหลือง(Acrifl | ฆ่าเชื้อแบคทีเร | อัตราส่วน | ลักษณะเป็นผงละเ | | arin) | ียบนไข่ปลา | 1:2000(500ppm.) | อียดสีส้มแก่ | | | (ยาเหลืองจะมีผล | | เมื่อละลายน้ำแล | | | กระทบกระเทือนต่ | แช่นานประมาณ 20 | ้วจะมีสีแดงปนส้ | | | อเซลล์ของไข่ปลา | นาที | ม | | | ) | | | +-----------------+-----------------+-----------------+-----------------+ | | ป้องกันเชื้อแบค | 1-3 ppm. | | | | ทีเรียในระหว่าง | | | | | การลำเลียงขนส่ง | | | | | ชั่งน้ำหนักหรือ | | | | | วัดขนาดปลา | | | +-----------------+-----------------+-----------------+-----------------+ | | ป้องกันเชื้อแบค | 10 ppm. | | | | ทีเรีย | แช่นานประมาณ | | | | | | | | | | 2-12 ชั่วโมง | | +-----------------+-----------------+-----------------+-----------------+ | คลอรีน(Chlorine | ฆ่าเชื้อต่างๆทั | 10 ppm. | | | ) | ้งหมด | นานประมาณ | | | | | | | | | | 30 นาที | | +-----------------+-----------------+-----------------+-----------------+ | ดิพเทอเร็กซ์(Di | ปลิงใส เห็บ | 0.25-0.50 ppm. | | | pteret) | หนอนสมอ | แช่ตลอดไปสัปดาห | | | | | ์ละ | | | | | 1 ครั้ง | | | | | นานประมาณ 4 | | | | | สัปดาห์ | | +-----------------+-----------------+-----------------+-----------------+ | ฟอร์มาลิน(Forma | โปรโตซัวและพารา | 125-250 ppm. | ลักษณะเป็นของเห | | lin) | สิตอื่นๆ | นานประมาณ 1 | ลวใส | | | | ชั่วโมงหรือ | ไม่มีสีจนถึงสีเ | | | | 15-40 ppm. | หลืองอ่อน | | | | แช่นานตลอดไป | มีกลิ่นฉุ่นมากค | | | | | วรเก็บไว้ในขวดท | | | | | ี่ป้องกันแสงได้ | | | | | ฟอร์มาลินที่จะน | | | | | ำมาใช้ไม่ควรมีเ | | | | | มทิลแอลกอฮอร์ผส | | | | | มอยู่เพราะเป็นพ | | | | | ิษกับปลา | +-----------------+-----------------+-----------------+-----------------+ | | โรคเชื้อรา | 1600-2000 ppm. | | | | | นานประมาณ 15 | | | | | นาที | | +-----------------+-----------------+-----------------+-----------------+ | มาลาไคท์กรีน(Ma | โปรโตซัว | 0.1 ppm. | ลักษณะเป็นผลึกส | | lachite | | แช่ตลอดไป | ีเขียวเหลืองละล | | Green) | | | ายน้ำได้ดี | | | | | ควรเลือกซื้อมาล | | | | | าไคท์กรีนชนิดที | | | | | ่จัดอยู่ในประเภ | | | | | ทยา | | | | | (Medical Grade) | | | | | เพราะไม่มีสารสั | | | | | งกะสี | | | | | ซึ่งเป็นพิษต่อป | | | | | ลา | +-----------------+-----------------+-----------------+-----------------+ | | เชื้อรา | 5ppm. นานประมาณ | | | | | 15 นาที | | +-----------------+-----------------+-----------------+-----------------+ | เมทิลีนบลู | โรคจุดขาว | 2-5 ppm. | ลักษณะเป็นผลึกส | | | (Ichth-yophthir | แช่ตลอดไป | ีน้ำตาลปนแดง | | | ius | | เมื่อละลายน้ำจะ | | | sp.) | | มีสีน้ำเงิน | | | และโปรโตซัวชนิด | | | | | อื่นๆ | | | +-----------------+-----------------+-----------------+-----------------+ | ด่างทับทิม | แบคทีเรียภายนอก | 2-4 ppm. | ลักษณะผลึกสีม่ว | | (Potassium | เช่น | แช่ตลอดไป | งเข้ม | | Permanganate) | FlexibacterColu | เหมาะกับตู้ปลาห | ละลายน้ำแล้วจะม | | | mnaris | รือบ่อปลาที่มีน | ีสีม่วง | | | | ้ำสะอาดปราศจากค | ระหว่างการแช่ปล | | | | วามเป็นกรดเป็นด | าจะต้องเพิ่มออก | | | | ่าง | ซิเจนเสมอ | | | | | คือด่างทับทิมจะ | | | | | ทำปฏิกริยากับสา | | | | | รออแกนนิกที่อยู | | | | | ่ในน้ำ | | | | | ถ้าน้ำเป็นกรดเป | | | | | ็นด่างเพียงเล็ก | | | | | น้อยจะทำอันตราย | | | | | ต่อเหงือกปลา | | | | | ดังนั้นจะต้องเพ | | | | | ิ่มออกซิเจน | +-----------------+-----------------+-----------------+-----------------+ | เกลือ(Sodium | แบคทีเรียบางชนิ | อัตราส่วนการใช้ | ควรมีลักษณะเป็น | | Choride) | ด | เกลือ | ผงหยาบสีขาว | | | เชื้อราพาราสิต | 1:33 -- | ละลายน้ำได้ดี | | | โดยเฉพาะโปรโตซั | 1:50(3-5%) | หาง่ายราคาถูก | | | วและหนอนสมอ | นานประมาณ 1-2 | | | | | นาที | | | | | หรืออัตราส่วน | | | | | 1:200 -- 1:100 | | | | | แช่นานตลอดไป | | +-----------------+-----------------+-----------------+-----------------+ | | ใช้ในระหว่างการ | อัตราส่วนการใช้ | | | | ลำเลียงขนส่ง | เกลือ | | | | ชั่งน้ำหนัก | 1:1000 -- | | | | เพื่อลดความบอบซ | 1:2000 | | | | ้ำ | (0.1-0.2%) | | | | ป้องกันปลาเป็นโ | แช่ตลอดไป | | | | รค | | | +-----------------+-----------------+-----------------+-----------------+ | คลอเตตราซัยคลิน | รักษาโรคจากแบคท | ผสมในอาหารปริมา | ลักษณะเป็นผลึกม | | (Chortetracycli | ีเรีย | ณ | ีสีเหลืองทำปฏิก | | ne) | Aeromonas sp. | 55 มิลลิกรัม | ริยาเป็นด่างอย่ | | | Pseudomonas sp. | ต่อน้ำหนักปลา 1 | างอ่อนละลายน้ำไ | | | และ โรคจุดขาว | กก/วัน (ประมาณ | ด้ดี | | | Ichthyophthiriu | 10วัน) | เมื่อละลายน้ำแล | | | s | หรือใช้วิธีละลา | ้วจะมีสีค่อนข้า | | | sp. | ยในน้ำ | งเหลือง | | | | 10-20 ppm. | และมักเกิดเป็นฝ | | | | แช่นานตลอดไป | ้าบนผิวน้ำ | +-----------------+-----------------+-----------------+-----------------+ | คลอแรมเฟนิคอล | รักษาโรคจากเชื้ | ฉีดเข้าทางช่องเ | เป?

Use Quizgecko on...
Browser
Browser