สรุป กฎหมาย มิด PDF

Summary

เอกสารสรุปเกี่ยวกับกฎหมาย โดยเน้นความหมายและหลักกฎหมายทั่วไป รวมถึงความแตกต่างระหว่างกฎหมายอาญาและกฎหมายแพ่ง และประเภทของกฎหมายต่างๆ

Full Transcript

WE 1 · ร ความหมาย หลักกฎหมายทั่ วไป ความแตกต่างระหว่างความผิดทางอาญา VS ความผิดทางแพ่ง 1. ความผิ...

WE 1 · ร ความหมาย หลักกฎหมายทั่ วไป ความแตกต่างระหว่างความผิดทางอาญา VS ความผิดทางแพ่ง 1. ความผิดทางอาญา เป็ นการกระทําที่ ก่อให้ เกิดผลเสี ยหายหรือเกิด กฎหมาย หมายถึ ง กฎที่ สถาบันหรือผู้มีอานาจสู งสุ ดในรัฐ จากจารีตประเพณี อัน ความหวาด หวั่นคร้ามแก่บุคคลทั่ วไป ความผิดทางอาญาส่ วนใหญ่จึงถื อว่า เป็ นที่ ยอมรับนั บถื อ เพื่อใช้ ในการบริหารประเทศเพื่อใช้ บังคับบุ คคลให้ ปฏิ บัติ เป็ นความผิดต่อแผ่นดิ นหรือประชาชนทั่ วไป ตามหรือเพื่อ กําหนดระเบียบแห่ งคสพ. บุ คคล-บุ คคล หรือ บุ คคล-รัฐ ความผิดทางแพ่ง เป็ นเรื่องระหว่างเอกชนต่อเอกชนด้ วยกันไม่มีผล (พจนานุ กรมฉบับราชบัณฑิ ตยสถาน พ.ศ. 2542 ) เสี ย หายต่อสั งคมแต่อย่างใด ความหมาย 2. กฎหมายอาญา มีวัตถุประสงค์ท่ี จะลงโทษผู ้กระทําความผิดฉะนั้ น กฎหมาย คือ คําสั่ งหรือคําบังคับของรัฐ หรือ ของประเทศที่ ตราขนึ้ เพื่อใช้ บังคับ หากผู ้ทําผิดตายลง การสื บสวนสอบสวน การฟ้ องร้องหรือการลงโทษก็ ความประพฤติของบุ คคล อันเกี่ยวด้ วย คสพ. ระหว่างกันหากผู้ใดฝ่ าฝื นไม่ปฏิ บัติ เป็ นอันระงับลงไป (ตาย=จบ) ตามก็จะต้องมีความผิดและถูกลงโทษ กฎหมายทางแพ่ง เป็ นเรื่องการชดใช้ ค่าสิ นไหมทดแทนความเสี ย (บุ ญเพราะ แสงเที ยน, 2558) หายซึ่ งเป็ นเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สินของบุ คคล ดั งนั้ นเมื่อผู ้กระทําผิดหรือผู้ ละเมิดตายลง ผู ้เสี ยหายย่อมฟ้ องร้องเรียกค่าเสี ยหายต่างๆ จากกอง ลักษณะสํ าคัญของกฎหมาย มรดกของผู ้กระทําผิดหรือผู ้ละเมิดได้ เว้นแต่จะเป็ นหนี้ เฉพาะตัว 1.กฎหมายต้องเป็ นคําสั่ งหรือข้อบังคับที่ ออกใช้ บังคับแก่ประชาชนในบ้านเมือง (ตาย=ฟ้ องเงิน) ใดบ้านเมืองหนึ่ ง 2. กฎหมายต้องเป็ นคําสั่ งหรือข้อบังคับที่ มาจากรัฏฐาธิ ปัตย์ผู้มีอํานาจสู งสุ ดใน 3. ความรับผิดทางอาญา ถื อเจตนาเป็ นใหญ่ในการกําหนดโทษ การปกครองบ้านเมืองน้ั น เนื่ องจากการกระทําผิดดั งที่ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 บัญญัติว่า 3.กฎหมายต้องเป็ นคําสั่ งหรือข้อบังคับที่ ใช้ บังคับแก่คนทั่ วไป มิใช่ บังคับแก่ บุ คคลจะต้องรับผิดทางอาญาก็ต่อเมื่อใด้ กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้ บุ คคลใดหรือกลุ่มใดโดยเฉพาะ กระทําโดยประมาท ในกรณี ท่ี กฎหมายบัญญัติให้ ต้องรับผิดเมื่อได้ 4.กฎหมายนั้ นเมื่อมีการบังคับใช้ แล้วย่อมมีผลบังคับตลอดไปจนกว่าจะมีการ กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณี ท่ี กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชั ด แก้ไข เปลี่ยนแปลงหรือยกเลิก ให้ ต้องรับผิดแม้ได้ กระทําโดยไม่มีเจตนา 5. กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ (sanction) ซึ่ งอาจมีสภาพบังคับในทางอาญา เช่ น ความรับผิดทางแพ่ง ไม่ว่ากระทําโดยเจตนาหรือประมาทผู ้กระทําก็ จําคุก หรือปรับในทางแพ่ง เช่ น ให้ ชดใช้ ค่าเสี ยหาย หรือยึดทรัพย์ หรือทางใด ต้องรับผิดทั้ งนั้ น ถ้ าเสี ยหายก็ต้องจ่าย อื่นใด เช่ น ให้ การกระทํานั้ นไร้ผลหรือใช้ บังคับมาได้ 4. กฎหมายอาญา ต้องตีความโดยเคร่งครัด ที่ มาของกฎหมายไทย ไม่มีกฎหมาย = ไม่มีความผิดและไม่มีโทษ เพราอาญามีโทษรุ นเเรง 1.กฎหมายที่ เป็ นลายลักษณ์ อักษร กฎหมายแพ่ง หลักเรื่องตีความโดยเคร่งครัด หมายถึ ง กฎหมายที่ รัฐตราขึ้นเป็ นข้อบังคับกําหนดความประพฤติของบุ คคลและ ไม่มีกฎหมายแพ่ง = ตีความตามตัวอักษร หรือตามเจตนารมณ์ ของ ประกาศให้ ราษฎรทราบ บทบัญญัติแห่ งกฎหมายนั้ นๆ >ประเทศไทย กฎหมายได้ ประกาศให้ ราษฎรทราบ [ในราชกิจจานุ เบกษา] ดั งนั้ น การที่ จะเป็ นความผิดทางแพ่งนั้ นศาลอาจตีความขยายได้ ์ ดังนี้ แบ่งตามรู ปแบบและองค์กรที่ ตราแล้ว จําแนกตามศั กดิ ได้ 1) รัฐธรรมนู ญ 5. ความรับผิดทางอาญา โทษที่ จะลงแก่ตัวผู้กระทําผิด ถึ งโทษ 2) กฎหมายประกอบรัฐธรรมนู ญ ประหารชี วิตจําคุกกักขัง ปรับริบทรัพย์สิน 3) พระราชบัญญัติ ความรับผิดทางแพ่ง ไม่มีโทษ เป็ นเพียงถูกบังคับให้ ชําระหนี้ หรือ 4) พระราชกําหนด ชดใช้ ค่าสิ นไหมทดแทน 5) พระราชกฤษฎี กา 6) กฎกระทรวง 6. ความผิดทางอาญา ไม่อาจยอมความได้ เว้นแต่ความผิดส่ วนตัว หรือ 7) กฎหมายที่ องค์การปกครองส่ วนท้ องถิ่ นตราขึ้น ที่ กฎหมายอาญาบัญญัติไว้ความผิดอันยอมความได้ เช่ นความผิดฐานหมิ่น 1-6 ส่ วนกลาง=ทุกคนทําตาม ประมาท ความผิดฐานยักยอก เป็ นต้น 1,2,3 ออกโดนรัฐสภา (สส.,สว.,คณะรัฐมนตรี) เหตุผลก็คือความผิดทางอาญาถื อว่าทําความเสี ยหายให้ แก่มหาชน ทําลาย ความสงบสุ ขของบ้านเมือง ผู ้เสี ยหายจึงไม่อาจยกเว้นความรับผิดให้ ได้ 2.กฎหมายไม่เป็ นลายลักษณ์ อักษร ความผิดทางแพ่ง ผู ้เสี ยหายอาจยกเว้นความรับผิดให้ ได้ โดยไม่นํา 2.1กฎหมายจารีตประเพณี คดี ข้ึนฟ้ องร้องต่อศาล หรือเรียกร้องหนี้ สิ นแต่อย่างใดเลย หมายถึ ง ทางปฏิ บัติหน้ าที่ ประพฤติสืบต่อกันมาในสั งคมหนึ่ งจนกลุ่มคนในสั งคม นั้ นมีความรู ส ้ ึ กร่วมกันจําเป็ นต้องปฏิ บัติตาม เพราะมีผลผู กพันในฐานะเป็ น 7. ความผิดทางอาญา บุ คคลที่ ร่วมกระทําผิดอาจมีความรับผิดมากน้ อย กฎหมาย จารีตประเพณี สามารถใช้ ในฐานะบทสํ ารอง ถ้ าไม่มีกฎหมายลาย ต่างกัน ตามลักษณะของการเข้าร่วม เช่ น ถ้ าเป็ นผู ้ลงมือกระทําผิดก็ถือ ลักษณ์ อักษรบัญญัติไว้ก็นํามาใช้ ได้ ทันที ทั้ งนี้ ในระบบกฎหมายไทยจารีต เป็ น ประเพณี มีท้ั งที่ บัญญัติให้ และมิได้ บัญญัติใว้ในกฎหมายลายลักษณ์ อักษร ตัวการ ถ้ าเพียงแต่ขุองหรือช่ วยเหลือก็อาจผิดเพียงฐานะผู ้สนั บสนุ น >>>ทําผิด แล้วไม่มีระบุ ในกฎหมาย ก็ไปดูว่าผิดจารีต? เพื่อลงโทษ ความผิดทางแพ่ง ผู ้ท่ี ร่วมกันก่อหนี้ ร่วมกันทําผิดสั ญญา หรือ ร่วมกัน ทําละเมิด ตลอดทั้ งยุ ยง หรือช่ วยเหลือ จะต้องร่วมกันรับผิดต่อเจ้าหนี้ 2.2 หลักกฎหมายทั่ วไป หมายถึ ง หลักกฎหมายที่ ยอมรับนั บถื อกันอยู่ท่ั วไป หรือผู้ได้ รบ ั ความเสี ยหายเหมือนกันหมด ไม่เฉพาะในประเทศใดประเทศหนึ่ งเท่ านั้ น หลักกฎหมายทั่ วไปจึงมีลักษณะ กว้างกว่าหลักกฎหมายธรรมดา กว้างกว่าบทบัญญัญญัติกฎหมาย เมื่อหลัก 8. ความรับผิดทางอาญา การลงโทษผู ้กระทําผิด เพื่อที่ จะบําบัดความ กฎหมายทั่ วไปเป็ นหลักที่ กว้างมาก ผู้ท่ี มีหน้ าที่ ในการค้นหาหลักกฎหมายทั่ วไป เสี ยหายที่ เกิดขึ้น แต่ชุมชนเป็ นส่ วนรวม เพื่อให้ ผู้กระทําผิดเกิดความ ก็คือ ผู ้พิพากษา ในฐานะศาลซึ่ งจะค้นหาจากแหล่งต่างๆ เพื่อนํ ามาใช้ บังคับใน หลาบจํา กลับตัวกลับใจเป็ นคนดี เพื่อป้ องกันผู้อ่ืนมิให้ เอาเยี่ยงอย่าง ระบบกฎหมาย ความรับผิดทางแพ่ง เพื่อที่ จะบําบัดความเสี ยหายที่ เกิดขึ้นแก่เอกชน >>>ทําผิด ไม่มีกฎหมาย ไม่มีจารีต ไปดูว่าทั่ วโลกเขาลงโทษยังไง คนหนึ่ งคนใดโดยเฉพาะ ซึ่ งอาจได้ รบ ั ความเสี ยหายแก่ชีวิตร่างกาย จิตใจ เสรีภาพ ชื่ อเสี ยง ทรัพย์สิน ความเสี ยหายได้ เกิดขึ้นอย่างใด กฎหมายก็ต้องการที่ จะให้ เขาได้ รบ ั การชดใช้ ในความเสี ยหายอย่างนั้ น ถ้ าทําให้ คืนสภาพเดิ มไม่ได้ ก็พยายามจะให้ ใกล้เคียงมากที่ สุ ด 🩵 ความรู เ้ บื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่ วไป (2) กฎหมายเอกชน กฎหมายเอกชนเป็ นกฎหมายซึ่ งรัฐได้ บัญญัติข้ึนเพื่อกํา หนดความสั มพันธ์ ระหว่างเอกชนต่อเอกชนด้ วยกัน ได้ แก่ ความหมายของกฎหมาย กฎหมายแพ่ง เป็ นกฎหมายที่ ว่าด้ วยสถานะและความเกี่ยวพันระหว่าง กฎหมาย ตามพจนานุ กรมฉบับราชบัณฑิ ตยสถาน พ.ศ. 2542 นั้ น บุ คคล เช่ น ความมีสภาพบุ คคล ทรัพย์ หนี้ นิ ติกรรม ครอบครัว และมรดก หมายถึ ง กฎที่ สถาบัน หรือ ผู้มีอํานาจสู งสุ ดในรัฐ ตราขึ้นหรือที่ เกิดขึ้นจากจารีต เป็ นต้น ความสั มพันธ์ ระหว่างบุ คคล ดั งกล่าวถ้ ามีการละเมิดสิ ทธิ และเสรีภาพ ประเพณี อันเป็ นที่ ยอมรับนั บถื อ เพื่อใช้ ในการบริหารประเทศ เพื่อใช้ บังคับ ของกันและกันแล้ว จะไม่กระทบกระเทื อนถึ งบุ คคลส่ วนใหญ่ ดั งนั้ นโทษที่ ผู ้ บุ คคลให้ ปฏิ บัติตาม หรือเพื่อกําหนดระเบียบแห่ งความสั มพันธ์ ระหว่างบุ คคล ั จึงเป็ นเพียงชดใช้ ค่าเสี ยหายเท่ านั้ น ฝ่ าฝื นหรือผู ้กระทําผิดได้ รบ หรือระหว่างบุ คคลกับรัฐ กฎหมายพาณิ ชย์ เป็ นกฎหมายที่ มีบทบัญญัติใช้ บังคับแก่บุคคลทั้ งหลายที่ มี นิ ติสัมพันธ์ ในเชิ งพาณิ ชย์ เช่ น การซื้ อขาย การกู้ยืม การจํานอง และการจํานํ า นั กวิชาการและผู ้ทรงคุณวุฒิหลายท่ าน ได้ ให้ ความหมาย ของกฎหมายไว้ดังนี้ เป็ นต้น บางประเทศแยกกฎหมาย พาณิ ชย์ออกจากกฎหมายแพ่ง สํ าหรับ หยุ ด แสงอุ ทัย (2552) ได้ พิจารณากฎหมายใน 2 ลักษณะ คือ ประเทศไทยได้ รวมกฎหมายแพ่ง + พาณิ ชย์เข้าด้ วยกัน กฎหมายตามเนื้ อความ หมายความถึ ง กฎหมายซึ่ งบทบัญญัติ เป็ นกฎหมายแท้ กล่าวคือ มีลักษณะเป็ นข้อบังคับซึ่ งกําหนดความประพฤติของมนุ ษย์ ถ้ าฝ่ าฝื นจะ (3) กฎหมายระหว่างประเทศ คือ หลักกฎหมายหรือข้อตกลงร่วมกันที่ กําหนด ั ผลร้ายหรือถูกลงโทษ ในสมัยใหม่ส่วนใหญ่เป็ นข้อบังคับของรัฐ ได้ รบ ความสั มพันธ์ ระหว่างรัฐต่อรัฐด้ วยกัน หรือระหว่างรัฐต่อองค์การระหว่าง กฎหมายตามแบบพิธี หมายความถึ ง กฎหมายที่ ออกมาโดยวิธีบัญญัติกฎหมาย ทั้ ประเทศ เช่ น องค์การสหประชาชาติ กฎหมายระหว่างประเทศ แบ่งออกเป็ น 3 โดยไม่ต้องคํานึ งว่ากฎหมายนั้ นเข้าลักษณะเป็ นกฎหมาย ตามเนื้ อความหรือไม่ สาขา คือ มานิ ตย์ จุมปา (2555) กฎหมาย หมายถึ ง กฎเกณฑ์ ท่ี กําหนดความประพฤติ กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดี เมือง คือ กฎเกณฑ์ ข้อบังคับว่าด้ วยความ ของบุ คคลในสั งคม บุ คคลจะต้องปฏิ บัติตามหรือควรจะปฏิ บัติตาม มิฉะนั้ นจะได้ สั มพันธ์ ของสิ ทธิ หน้ าที่ ระหว่างรัฐต่อรัฐในการที่ จะปฏิ บัติต่อกันและกัน รับผลร้ายหรือไม่ได้ รบ ั ผลดี ที่ เป็ นสภาพบังคับโดยเจ้าหน้ าที่ ในระบบกฎหมาย กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดี บุคคล คือ กฎหมายที่ บัญญัติเกี่ยวกับความ สมยศ เชื้ อไทย (2553) กฎหมาย คือ กฎเกณฑ์ ท่ี เป็ นแบบแผนความ สั มพันธ์ ระหว่างบุ คคลที่ อยู่ในต่างรัฐเพื่อขจัดความขัดแย้งในการใช้ กฎหมาย ประพฤติของมนุ ษย์ในสั งคมซึ่ งมีกระบวนการบังคับที่ เป็ นกิจจะลักษณะ ภายในของประเทศ คู่กรณี มาบังคับ ความสั มพันธ์ ระหว่างกัน เช่ น คนต่างชาติ ทําการสมรสกันจะใช้ กฎหมายใดมาใช้ บังคับเรื่องทรัพย์สิน ระหว่างสามี ประเภทของกฎหมาย ภรรยา เป็ นต้น เกณฑ์ การแบ่งประเภทของกฎหมายมีอยู่ 2 วิธีหลักๆ คือ กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดี อาญา คือ กฎหมายที่ กําหนดความ สั มพันธ์ ระหว่างรัฐต่อรัฐด้ วยกันในทางคดี อาญา เป็ นกฎหมายที่ บัญญัติเกี่ยว 1. การแบ่งประเภทของกฎหมายตามลักษณะความสั มพันธ์ ระหว่างคู่กรณี กับความผิดในคดี อาญาของเอกชน แล้วผู ้กระทําความผิดมีการหลบหนี ข้าม ว่าเป็ นกฎหมายว่าด้ วย ความสั มพันธ์ ระหว่างใครกับใคร แบ่ง 3 ประเภท คือ แดนไปยังอีกประเทศหนึ่ ง ซึ่ งถ้ ามีสนธิ สัญญาหรือข้อตกลง ระหว่างประเทศทั้ ง สองในการส่ งผู ้รา้ ยข้ามแดนก็สามารถดํ าเนิ นการตามกฎหมายได้ เป็ นการร่วม (1) กฎหมายมหาชน คือ กฎหมายที่ กําหนดความสั มพันธ์ ระหว่างรัฐกับพลเมือง มือกัน ในการปราบปรามอาชญากรรม ของรัฐในฐานะที่ รัฐมีอํานาจเหนื อพลเมือง ได้ แก่ กฎหมายรัฐธรรมนู ญ คือ กฎหมายที่ ว่าด้ วยระเบียบแห่ งอํานาจสู งสุ ดในรัฐ 2. การแบ่งประเภทของกฎหมายตามลักษณะของการใช้ กฎหมาย และ ความสั มพันธ์ ระหว่างอํานาจนั้ นๆ ต่อกันและกัน จัดเป็ นกฎหมายสู งสุ ดใน การแบ่งประเภทของกฎหมายตามลักษณะของการใช้ กฎหมาย สามารถแบ่ง การปกครองประเทศ กฎหมายอื่นจะขัดแย้งกับรัฐธรรมนู ญไม่ได้ กฎหมายออกเป็ น 2 ประเภท คือ กฎหมายปกครอง คือ กฎหมายที่ กําหนดหลักเกณฑ์ ในการจัดระเบียบการ (1) กฎหมายสารบัญญัติ คือ กฎหมายที่ มีลักษณะเป็ นเนื้ อแท้ ของกฎหมาย ปกครองซึ่ งมีความสํ าคัญรองลงมาจากกฎหมายรัฐธรรมนู ญ เป็ นกฎหมายที่ กํา กําหนดสิ ทธิ และหน้ าที่ ของบุ คคลไว้ เช่ น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ หนด ระเบียบในการบริหารราชการแผ่นดิ น เช่ น ระเบียบบริหารราชการส่ วน หรือเป็ นกฎหมายที่ กําหนดการกระทําอัน เป็ นองค์ประกอบแห่ งความผิด ซึ่ ง กลาง ส่ วนภูมิภาค ส่ วนท้ องถิ่ นและกฎหมายที่ เกี่ยวข้องกับการปกครอง เช่ น พระ จะก่อให้ เกิดสภาพบังคับที่ รัฐหรือผู้มีอํานาจบังคับให้ เป็ นไปตาม กฎหมาย ราชบัญญัติทะเบียนราษฎร์ พระราชบัญญัติบัตรประจําตัวประชาชน เป็ นต้น เช่ น ประมวลกฎหมายอาญาตลอดจนพระราชบัญญัติว่าด้ วยความผิดทางอาญา กฎหมายอาญา คือ กฎหมายที่ มีบทบัญญัติว่าด้ วยการกระทําใดเป็ นความผิด ต่างๆ ได้ แก่ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติยา และเมื่อผิดแล้วจะต้องได้ รบ ั โทษ สถานใด ซึ่ งจะมีบทบัญญัติเกี่ยวกับความผิด เสพติดให้ โทษ พ.ศ. 2522 เป็ นต้น และบทลงโทษไว้ในประมวล กฎหมายอาญาเป็ นสํ าคัญ นอกจากนี้ แล้วยังมีพระ (2) กฎหมายวิธีสบัญญัติ คือ กฎหมายที่ มีลักษณะกําหนดวิธีการดํ าเนิ นการที่ ราชบัญญัติอ่ืนที่ บัญญัติความผิดและโทษทางอาญาไว้ เช่ น พระราชบัญญัติการ ทําให้ ข้อห้ าม ข้อบังคับที่ บัญญัติไว้ในกฎหมายดํ าเนิ นไปด้ วยความเรียบร้อย พนั น พระราชบัญญัติอาวุธปื นฯ เป็ นต้น กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา คือ กฎหมายที่ ว่าด้ วยหลักเกณฑ์ ต่างๆ เกี่ยว กล่าวคือ จะเป็ นบทบัญญัติของกฎหมาย ดํ าเนิ นไปด้ วยความเรียบร้อย กล่าว กับ ขั้นตอนในการดํ าเนิ นคดี ความอาญา เริ่มตั้งแต่วิธีดําเนิ นการก่อนฟ้ องจน คือ จะเป็ นบทบัญญัติของกฎหมายที่ กล่าวถึ งในส่ วนของกระบวนการ ที่ จะ กระทั่ งถึ งการพิพากษาลงโทษ บังคับการให้ เป็ นไปตามกฎหมายสารบัญญัติน่ั นเอง เช่ น ประมวลกฎหมาย กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง คือ กฎหมายที่ ว่าด้ วยข้อบังคับที่ จะใช้ ในการ ดํ า วิธีพิจารณาความแพ่ง และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เป็ นต้น เนิ นคดี เมื่อเกิดกรณี พิพาทกันขึ้นในทางคดี แพ่ง ขั้นตอนในการดํ าเนิ นคดี ตลอด จนการบังคับคดี เป็ นไป ตามบทบัญญัติของกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนี้ นั กกฎหมายยังมี ความเห็ นแตกต่างกัน โดยอีก ฝ่ ายเห็ นว่าเป็ นกฎหมายเอกชน) พระธรรมนู ญศาลยุ ติธรรม คือ กฎหมายที่ กําหนดเรื่องการจัดองค์กรของศาล ยุ ติธรรม วางระเบียบของศาลยุ ติธรรม กําหนดหน้ าที่ ความรับผิดชอบในงานของ ศาลยุ ติธรรมต่างๆ เขตอํานาจศาลและคณะผู ้พิพากษาตลอดจนกําหนดความ สั มพันธ์ ของอํานาจตุลาการกับอํานาจอื่น บ รบ พรก. พร ฎ - - - โครงสร้างของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ ประกอบด้ วยบทบัญญัติ 6 บรรพ ซึ่ งเป็ นการ จัดหมวดหมู่อย่างประมวลกฎหมาย แพ่งเยอรมันที่ มี 5 บรรพ แต่ไทยได้ แยกเอาเรื่องหนี้ ลักษณะเฉพาะจากบรรพ 2 หนี้ มาไว้เป็ นบรรพ 3 เอกเทศสั ญญา อีกบรรพหนึ่ ง โดยบรรพทั้ งหกของประมวล กฎหมาย แพ่งและพาณิ ชย์มีดังนี้ บรรพ 1 หลักทั่ วไป ประกอบด้ วยบทบัญญัติ 6 ลักษณะ ดั งนี้ ลักษณะ 1 บทเบ็ดเสร็จทั่ วไป ลักษณะ 2 บุ คคล ลักษณะ 3 ทรัพย์ ลักษณะ 4 นิ ติกรรม ลักษณะ 5 ระยะเวลา ลักษณะ 6 อายุ ความ บรรพ 2 หนี้ ประกอบด้ วยบทบัญญัติ 5 ลักษณะ ดั งนี้ ลักษณะ 1 บทเบ็ดเสร็จทั่ วไป ลักษณะ 2 สั ญญา ลักษณะ 3 จัดการงานนอกสั่ ง ลักษณะ 4 ลาภมิควรได้ ลักษณะ 5 ละเมิด บรรพ 3 เอกเทศสั ญญา ประกอบด้ วยบทบัญญัติ 23 ลักษณะ ดั งนี้ ลักษณะ 1 ซื้ อขาย ลักษณะ 2 แลกเปลี่ยน ลักษณะ 3 ให้ ลักษณะ 4 เช่ าทรัพย์ ลักษณะ 5 เช่ าซื้ อ ลักษณะ 6 จ้างแรงงาน ลักษณะ 7 จ้างทําของ ลักษณะ 8 รับขน ลักษณะ 9 ยืม ลักษณะ 10 ฝากทรัพย์ ลักษณะ 11 ค้าประกัน ลักษณะ 12 จํานอง ลักษณะ 13 จํานํ า ลักษณะ 14 เก็บของในคลังสิ นค้า ลักษณะ 15 ตัวแทน ลักษณะ 16 นายหน้ า ลักษณะ 17 ประนี ประนอมยอมความ ลักษณะ 18 การพนั นและขันต่อ ลักษณะ 19 บัญชี เดิ นสะพัด ลักษณะ 20 ประกันภัย ลักษณะ 21 ตั๋วเงิน ลักษณะ 22 หุ้นส่ วนและบริษัท ลักษณะ 23 สมาคม บรรพ 4 ทรัพย์สิน ประกอบด้ วยบทบัญญัติ 8 ลักษณะ ดั งนี้ ลักษณะ 1 บทเบ็ด เสร็จท่ั วไป ลักษณะ 2 กรรมสิ ทธิ ์ ลักษณะ 3 ครอบครอง ลักษณะ 4 ภาระจํายอม ลักษณะ 5 อาศั ย ลักษณะ 6 สิ ทธิ เหนื อพื้นดิ น ลักษณะ 7 สิ ทธิ เก็บกิน ลักษณะ 8 ภาระติดพันในอสั งหาริมทรัพย์ บรรพ 5 ครอบครัว ประกอบด้ วยบทบัญญัติ 3 ลักษณะ ดั งนี้ ลักษณะ 1 การสมรส ลักษณะ 2 บิดามารดากับบุ ตร ลักษณะ 3 ค่าอุ ปการะเลี้ยงดู บรรพ 6 มรดก ประกอบด้ วยบทบัญญัติ 6 ลักษณะ ดั งนี้ ลักษณะ 1 บทเบ็ดเสร็จทั่ วไป ลักษณะ 2 สิ ทธิ โดยธรรมในการรับมรดก ลักษณะ 3 พินัยกรรม ลักษณะ 4 วิธีจัดการและปั นทรัพย์มรดก ลักษณะ 5 มรดกที่ ไม่มีผู้รบั ลักษณะ 6 อายุ ความ รัฐธรรมนู ญแห่ งราชอาณาจักรไทย หมวด ๓ สิ ทธิ และเสรีภาพของปวงชนชาวไทย มาตรา ๒๕ สิ ทธิ และเสรีภาพของปวงชนชาวไทย นอกจากที่ บัญญัติคุ้มครอง ไว้เป็ นการเฉพาะ ในรัฐธรรมนู ญแล้ว การใดที่ มิได้ ห้ามหรือจํากัดไว้ใน รัฐธรรมนู ญหรือในกฎหมายอื่น บุ คคลย่อมมีสิทธิ และเสรีภาพที่ จะทําการ ั ความคุ้มครองตามรัฐธรรมนู ญ ตราบเท่ าที่ การใช้ สิทธิ หรือ นั้ นได้ และได้ รบ เสรีภาพ เช่ นว่านั้ นไม่กระทบกระเทื อนหรือเป็ นอันตรายต่อความมั่นคงของ รัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศี ลธรรมอันดี ของประชาชน และไม่ละเมิดสิ ทธิ หรือเสรีภาพของบุ คคลอื่น สิ ทธิ หรือเสรีภาพใดที่ รัฐธรรมนู ญให้ เป็ นไปตามที่ กฎหมายบัญญัติ หรือ ให้ เป็ นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่ กฎหมายบัญญัติ แม้ยังไม่มีการตรา กฎหมายนั้ นขึ้นใช้ บังคับ บุ คคลหรือชุ มชนย่อมสามารถ ใช้ สิทธิ หรือเสรีภาพ นั้ นได้ ตามเจตนารมณ์ ของรัฐธรรมนู ญ บุ คคลซึ่ งถูกละเมิดสิ ทธิ หรือเสรีภาพที่ ได้ รบ ั ความคุ้มครองตาม รัฐธรรมนู ญ สามารถยกขึ้นเป็ นข้อต่อสู้ คดี ในศาลได้ บุ คคลซึ่ งได้ รบ ั ความเสี ยหายจากการถูกละเมิดสิ ทธิ หรือเสรีภาพหรือจาก การกระทําความผิดอาญา ของบุ คคลอื่น ย่อมมีสิทธิ ท่ี จะได้ รบ ั การเยียวยาหรือ ช่ วยเหลือจากรัฐตามที่ กฎหมายบัญญัติ มาตรา ๒๖ การตรากฎหมายที่ มีผลเป็ นการจํากัดสิ ทธิ หรือเสรีภาพของบุ คคล ต้องเป็ นไป ตามเงื่อนไขที่ บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนู ญ มาตรา ๒๗ บุ คคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิ และเสรีภาพและได้ รบ ั ความคุ้มครอง ตามกฎหมายเท่ าเที ยมกัน ชายและหญิงมีสิทธิ เท่ าเที ยมกัน มาตรา ๒๘ บุ คคลย่อมมีสิทธิ และเสรีภาพในชี วิตและร่างกาย การจับและการคุมขังบุ คคลจะกระทํามิได้ เว้นแต่มีคําสั่ งหรือหมายของศาล หรือมีเหตุอย่างอื่น ตามที่ กฎหมายบัญญัติ มาตรา ๒๙ บุ คคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้ กระทําการอันกฎหมายที่ ใช้ อยู่ในเวลา ที่ กระทํานั้ นบัญญัติเป็ นความผิดและกําหนดโทษไว้ และโทษที่ จะ ลงแก่บุคคลนั้ นจะหนั กกว่าโทษที่ บัญญัติไว้ใน กฎหมายที่ ใช้ อยู่ในเวลาที่ กระ ทําความผิดมิได้ ในคดี อาญา ให้ สันนิ ษฐานไว้ก่อนว่าผู ้ต้องหาหรือจําเลยไม่มี ความผิด มาตรา ๓๑ บุ คคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ ในการถื อศาสนา มาตรา ๓๒ บุ คคลย่อมมีสิทธิ ในความเป็ นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่ อเสี ยง และ ครอบครัว การนํ าข้อมู ล ส่ วนบุ คคลไปใช้ ประโยชน์ ไม่ว่าในทางใดๆ จะกระ ทํามิได้ มาตรา ๓๔ บุ คคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็ น แต่การใช้ เสรีภาพนั้ นต้องไม่ขัดต่อหน้ าที่ ของ ปวงชนชาวไทยหรือศี ลธรรม อันดี ของประชาชน และต้องเคารพและไม่ปิดกั้นความเห็ นต่างของบุ คคลอื่น มาตรา ๓๗ บุ คคลย่อมมีสิทธิ ในทรัพย์สินและการสื บมรดก มาตรา ๔๐ บุ คคลย่อมมีเสรีภาพในการประกอบอาชี พ มาตรา ๔๑ บุ คคลและชุ มชนย่อมมีสิทธิ มาตรา ๔๒ บุ คคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันเป็ นสมาคม สหกรณ์ สหภาพ หมวด ๑ บททั่ วไป องค์กร ชุ มชน หรือหมู่คณะอื่น มาตรา ๑ ประเทศไทยเป็ นราชอาณาจักรอันหนึ่ งอันเดี ยว จะแบ่งแยกมิได้ มาตรา ๔๔ บุ คคลย่อมมีเสรีภาพในการชุ มนุ มโดยสงบและปราศจากอาวุธ มาตรา ๒ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิ ปไตยอันมีพระมหากษั ตริย์ มาตรา ๔๖ สิ ทธิ ของผู ้บริโภคย่อมได้ รบั ความคุ้มครอง บุ คคลย่อมมีสิทธิ ทรงเป็ นประมุ ข รวมกันจัดตั้งองค์กรของผู ้บริโภคเพื่อคุ้มครองและพิทักษ์ สิทธิ ของผู ้บริโภค มาตรา ๓ อํานาจอธิ ปไตยเป็ นของปวงชนชาวไทย พระมหากษั ตริย์ผู้ทรงเป็ น องค์กรของผู ้บริโภคตามวรรคสองมีสิทธิ รวมกันจัดตั้งเป็ นองค์กรที่ มีความเป็ น ประมุ ข ทรงใช้ อํานาจนั้ นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่ ง อิสระเพื่อให้ เกิดพลัง ในการคุ้มครองและพิทักษ์ สิทธิ ของผ้บู ริโภคโดยได้ รัฐธรรมนู ญ รับการสนั บสนุ นจากรัฐ ทั้ งนี้ หลักเกณฑ์ และวิธีการจัดตั้ง อํานาจในการเป็ น ์ ความเป็ นมนุ ษย์ สิ ทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุ คคล มาตรา ๔ ศั กดิ ศรี ตัวแทนของผู้บริโภค และการสนั บสนุ นด้ านการเงินจากรัฐ ให้ เป็ นไปตามที่ ย่อมได้ รบ ั ความคุ้มครอง กฎหมายบัญญัติ ปวงชนชาวไทยย่อมได้ รบ ั ความคุ้มครองตามรัฐธรรมนู ญเสมอกัน มาตรา ๔๗ บุ คคลย่อมมีสิทธิ ได้ รบ ั บริการสาธารณสุ ขของรัฐ บุ คคลผู ้ มาตรา ๕ รัฐธรรมนู ญเป็ นกฎหมายสู งสุ ดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย ั บริการสาธารณสุ ขของรัฐโดยไม่เสี ยค่าใช้ จ่ายตามที่ ยากไร้ย่อมมีสิทธิ ได้ รบ กฎ หรือข้อบังคับ หรือการกระทําใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนู ญ บทบัญญัติหรือ กฎหมายบัญญัติ บุ คคลย่อมมีสิทธิ ได้ รบ ั การป้ องกันและขจัดโรคติดต่อ การ กระทํานั้ นเป็ นอันใช้ บังคับ มิได้ อันตรายจากรัฐโดยไม่เสี ยค่าใช้ จ่าย มาตรา ๔๘ สิ ทธิ ของมารดาในช่ วงระหว่างก่อนและหลังการคลอดบุ ตร >>> เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่ งรัฐธรรมนู ญนี้ บังคับแก่กรณี ใด ให้ กระทําการน้ั นหรือ ั ความคุ้มครอง และช่ วยเหลือตามที่ กฎหมายบัญญัติ ย่อมได้ รบ วินิจฉั ยกรณี นั้น ไปตามประเพณี การปกครองประเทศไทยในระบอบ บุ คคลซึ่ งมีอายุ เกินหกสิ บปี และไม่มีรายได้ เพียงพอแก่การยังชี พ และบุ คคลผู ้ ประชาธิ ปไตยอันมีพระมหากษั ตริย์ทรงเป็ นประมุ ข ยากไร้ย่อมมีสิทธิ ได้ รบ ั ความช่ วยเหลือที่ เหมาะสมจากรัฐตามที่ กฎหมาย บัญญัติ มาตรา ๔๙ บุ คคลจะใช้ สิทธิ หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบ ประชาธิ ปไตย อันมีพระมหากษั ตริย์ทรงเป็ นประมุ ขมิได้ หมวด ๔ หน้ าที่ ของปวงชนชาวไทย มาตรา ๕๐ บุ คคลมีหน้ าที่ ดั งต่อไปนี้ ั ษาไว้ซ่ึ งชาติ ศาสนา พระมหากษั ตริย์ และการปกครองระบอบ (๑) พิทักษ์ รก ประชาธิ ปไตย อันมีพระมหากษั ตริย์ทรงเป็ นประมุ ข (๒) ป้ องกันประเทศ พิทักษ์ รก ั ษาเกียรติภูมิ ผลประโยชน์ ของชาติ และสาธารณ ้ สมบัติของแผ่นดิ น รวมทั งให้ ความร่วมมือในการป้ องกันและบรรเทาสาธารณภัย (๓) ปฏิ บัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด (๔) เข้ารับการศึ กษาอบรมในการศึ กษาภาคบังคับ (๕) รับราชการทหารตามที่ กฎหมายบัญญัติ (๖) เคารพและไม่ละเมิดสิ ทธิ และเสรีภาพของบุ คคลอื่น และไม่กระทําการใดที่ อาจก่อให้ เกิดความแตกแยกหรือเกลียดชั งในสั งคม (๗) ไปใช้ สิทธิ เลือกตั้งหรือลงประชามติอย่างอิสระโดยคํานึ งถึ งประโยชน์ ส่ วน รวมของประเทศเป็ นสํ าคัญ ั ษ์ และคุ้มครองสิ่ งแวดล้อ ทรัพยากรธรรมชาติ (๘) ร่วมมือและสนั บสนุ นการอนุ รก ความหลากหลาย ทางชี วภาพ รวมทั้ งมรดกทางวัฒนธรรม (๙) เสี ยภาษี อากรตามที่ กฎหมายบัญญัติ (๑๐) ไม่รว่ มมือหรือสนั บสนุ นการทุจริตและประพฤติมิชอบทุกรู ปแบบ whe ⭐ -Im =เ พระราชบัญญัติ วิชาชี พการสาธารณสุ ขชุ มชน 2556 หมวด 2 สมาชิ ก มาตรา ๑๐ ผู ้สมัครเป็ นสมาชิ กสภาการสาธารณสุ ขชุ มชนต้องมีคุณสมบัติและ ไม่มีลักษณะ ต้องห้ ามดั งต่อไปนี้ (๑) คุณสมบัติ (ก) มีอายุ ไม่ต่ากว่ายี่สิ บปี บริบูรณ์ (ข) มีความรู ใ ้ นวิชาชี พการสาธารณสุ ขโดยได้ รบ ั ปริญญา ประกาศนี ยบัตร เที ยบเท่ าปริญญา อนุ ปริญญา ประกาศนี ยบัตร หรือวุฒิบัตรในวิชาชี พการ สาธารณสุ ขจากสถาบันการศึ กษาท่ี สภาการสาธารณสุ ขชุ มชนรับรอง (๒) ลักษณะต้องห้ าม (ก) เป็ นผู ้มีความประพฤติเสี ยหาย นํ ามาซึ่ งเสื่ อมเสี ยเกียรติศักดิ แห่ ์ งวิชาชี พ (ข) เคยต้องโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึ งท่ี สุดให้ จําคุกในคดี ท่ีนํามาซ่ึ งความ เสื่ อมเสี ยเกียรติศักดิ แห่ ์ งวิชาชี พ (ค) เป็ นผู้วิกลจริต จิตฟั่ นเฟื อนไม่สมประกอบ หรือเป็ นโรคที่ กําหนดไว้ใน ข้อบังคับสภาการสาธารณสุ ขชุ มชน หมวด1 สภาการสาธารณสุ ขชุ มชน มาตรา ๑๑ สิ ทธิ และหน้ าที่ ของสมาชิ กมีดังต่อไปนี้ มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัติน้ี (๑) ขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุ ญาตเป็ นผู้ประกอบวิชาชี พการสาธารณสุ ข “วิชาชี พการสาธารณสุ ขชุ มชน” หมายความว่า วิชาชี พที่ กระทําต่อมนุ ษย์และสิ่ ง ชุ มชนตามหลักเกณฑ์ และเง่ือนไขท่ี กําหนดในมาตรา ๒๙ แวดล้อม ในชุ มชนเกี่ยวกับการส่ งเสริมสุ ขภาพ การป้ องกันโรค การควบคุมโรค การ (๒) แสดงความเห็ นเป็ นหนั งสื อเกี่ยวกับกิจการของสภาการสาธารณสุ ขชุ มชน ตรวจประเมินและการบําบัด โรคเบื้องต้น การดูแลให้ ความช่ วยเหลือผู ้ป่วย การ ส่ งไปยังคณะกรรมการเพื่อพิจารณา และในกรณี ท่ี สมาชิ กรวมกันตั้งแต่ห้าสิ บ ฟื้ นฟู สภาพ การอาชี วอนามัยและอนามัยสิ่ งแวดล้อมทั้ งนี้ เพื่อลดความเสี่ ยงจากการ คนขึ้นไป เสนอให้ คณะกรรมการพิจารณาเรื่องใดที่ เกี่ยวกับกิจการของสภา เจ็บป่ วยในชุ มชนโดยนํ าหลักวิทยาศาสตร์มาประยุ กต์ใช้ แต่ไม่รวมถึ ง การประกอบ การสาธารณสุ ขชุ มชน คณะกรรมการต้องพิจารณาและแจ้งผลการพิจารณา โรคศิ ลปะตามกฎหมายว่าด้ วยการประกอบโรคศิ ลปะ หรือการประกอบวิชาชี พ ให้ ผู้เสนอทราบภายในเก้าสิ บวัน (90 )นั บแต่วันได้ รบ ั เรื่อง ทางการแพทย์ และการสาธารณสุ ขอื่นตามกฎหมายว่าด้ วยการนั้ น (๓) เลือก รับเลือกตั้ง หรือรับแต่งตั้งเป็ นกรรมการ ์ งวิชาชี พและปฏิ บัติตามพระราชบัญญัตินี้ (๔) ผดุงไว้ซ่ึ งเกียรติศักดิ แห่ มาตรา ๑๒ สมาชิ กภาพของสมาชิ กสิ้ นสุ ดลงเมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ ามตามมาตรา ๑๐ หมวด 3 คณะกรรมการ มาตรา ๑๓ ให้ มีคณะกรรมการสภาการสาธารณสุ ขชุ มชน ประกอบด้ วย (๑) กรรมการโดยตําแหน่ ง ได้ แก่ ปลัดกระทรวงสาธารณสุ ข และนายกสมาคม วิชาชี พสาธารณสุ ข (๒) กรรมการซึ่ งเป็ นคณบดี คณะสาธารณสุ ขศาสตร์ หรือหั วหน้ าหน่ วยงานที่ เรียกชื่ ออย่างอื่นที่ มีฐานะเที ยบเท่ าคณะ หรือหั วหน้ าภาควิชา หรือหั วหน้ า มาตรา ๗ สภาการสาธารณสุ ขชุ มชนมีอํานาจหน้ าที่ ดั งต่อไปนี้ หน่ วยงานที่ เรียกชื่ ออย่างอื่นที่ มีฐานะเที ยบเท่ า ภาควิชาท่ี ผลิตบัณฑิ ตดา้ นกา (๑) รับขึ้นทะเบียนและออกใบอนุ ญาตให้ แก่ผู้ขอ รสาธารณสุ ขในสถาบันอุ ดมศึ กษาของรัฐและสถาบันอุ ดมศึ กษาของเอกชน ที่ (๒) ออกคําสั่ งตามมาตรา ๓๙ วรรคสี่ จัดต้ังขึ้นตามกฎหมายว่าด้ วยสถาบันอุ ดมศึ กษาเอกชนแห่ งละหนึ่ งคน เลือก กันเองให้ เหลือสองคน (๓) ให้ ความเห็ นชอบหลักสู ตรการศึ กษาวิชาชี พการสาธารณสุ ขชุ มชนในระดั บ (๓) กรรมการซึ่ งเป็ นผู ้แทนจากสถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุ ข อุ ดมศึ กษา เพื่อเสนอต่อสํ านั กงานคณะกรรมการ การอุ ดมศึ กษา หนึ่ งคน (๔) รับรองปริญญา ประกาศนี ยบัตรเที ยบเท่ าปริญญา อนุ ปริญญา ประกาศนี ยบัตร (๔) กรรมการซึ่ งเป็ นผู ้แทนจากแพทยสภา สภาเภสั ชกรรม และสภาการ หรือ วุฒิบัตรในวิชาชี พการสาธารณสุ ขของสถาบันต่างๆ เพื่อประโยชน์ ในการสมัคร พยาบาลแห่ งละหนึ่ งคน เป็ นสมาชิ ก (๕) กรรมการซึ่ งเป็ นผู ้แทนจากองค์กรปกครองส่ วนท้ องถิ่ น เลือกกันเองจํานวน (๕) รับรองหลักสู ตรต่างๆสํ าหรับการศึ กษาในระดั บประกาศนี ยบัตรของสถาบันที่ หนึ่ งคน จะทําการสอน และฝึ กอบรมวิชาชี พการสาธารณสุ ขชุ มชน (๖) กรรมการซึ่ งเป็ นผู ้แทนจากองค์กรเอกชนที่ ดํ าเนิ นการโดยมิใช่ เป็ นการหา (๖) รับรองวิทยฐานะของสถาบันที่ ทําการสอนและฝึ กอบรมใน(๕) ผลกําไรหรือรายได้ มาแบ่งปั นกัน ซึ่ งมีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการคุ้มครองผู ้ (๗) จัดทําแผนการดํ าเนิ นงานและรายงานผลการดํ าเนิ นงานเสนอต่อสภานายก บริโภค เลือกกันเองจํานวนหนึ่ งคน พิเศษอย่างน้ อย ปี ละครัง้ (๗) กรรมการผู ้ทรงคุณวุฒิซ่ึ งรัฐมนตรีแต่งตั้งจากบุ คคลที่ มีความรู ้ ความ (๘) ดํ าเนิ นการให้ เป็ นไปตามวัตถุประสงค์ของสภาการสาธารณสุ ขชุ มชน สามารถและความเชี่ ยวชาญในด้ านกฎหมาย และด้ านสั งคมศาสตร์ ด้ านละ หนึ่ งคน (๘) กรรมการซึ่ งได้ รบ ั เลือกตั้งโดยสมาชิ กมีจํานวนเท่ ากับจํานวนกรรมการใน (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) และ (๗) รวมกัน รวมทั้ งหมด 24 คน ลิ หมวด ๔ การดํ าเนิ นการของคณะกรรมการ หมวด ๖ พนั กงานเจ้าหน้ าที่ มาตรา ๒๔ การประชุ มคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุ มไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ ง มาตรา ๔๔ ในการปฏิ บัติหน้ าที่ ให้ พนั กงานเจ้าหน้ าที่ มีอํานาจดั งต่อไปนี้ ของ จํานวนกรรมการทั้ งหมดที่ มีอยู่ในขณะนั้ น จึงจะเป็ นองค์ประชุ ม (๑) เข้าไปในสถานที่ ทําการหรือยานพาหนะของผู้ประกอบวิชาชี พการ มติของที่ ประชุ มให้ ถือเสี ยงข้างมาก ในการลงคะแนน กรรมการคนหนึ่ งให้ มีเสี ยง สาธารณสุ ขชุ มชน ในเวลาทําการของสถานที่ นั้ นเพื่อตรวจสอบหรือควบคุมให้ หนึ่ งเสี ยง ถ้ าคะแนนเสี ยงเท่ ากัน ให้ ประธานในที่ ประชุ มออกเสี ยงเพิ่มขึ้นอีก เป็ นไปตามพระราชบัญญัติน้ี เสี ยงหนึ่ งเป็ นเสี ยงชี้ ขาด การประชุ มคณะอนุ กรรมการ ให้ นําความในวรรคหนึ่ ง (๒) เข้าไปในสถานที่ หรือยานพาหนะใดๆ ที่ มีเหตุอันควรสงสั ยว่าจะมีการก และวรรคสองมาใช้ บังคับโดยอนุ โลม ระทําความผิด ตามพระราชบัญญัตินี้ ในระหว่างเวลาพระอาทิ ตย์ข้ึนถึ ง พระอาทิ ตย์ตก หรือในเวลาทําการของสถานที่ นั้ น เพื่อตรวจค้นเอกสาร มาตรา ๒๕ สภานายกพิเศษจะเข้าฟั งการประชุ มและชี้ แจงแสดงความเห็ นในที่ หรือวัตถุใดๆ ที่ อาจใช้ เป็ นหลักฐานในการดํ าเนิ นการกระทําผิดตามพระราช ประชุ ม คณะกรรมการหรือจะส่ งความเห็ นเป็ นหนั งสื อไปยังสภาการสาธารณสุ ข บัญญัติน้ี ประกอบกับกรณี มีเหตุอันควรเชื่ อได้ ว่า หากเนิ่ นช้ ากว่าจะเอาหมาย ชุ มชนในเรื่องใดๆ ก็ได้ ค้นมาได้ เอกสารหรือวัตถุดังกล่าว จะถูกยักย้าย ซุ กซ่ อน ทําลาย หรือทําให้ เปลี่ยนสภาพไปจากเดิ ม (๓) ยึดเอกสาร หรือวัตถุใดๆ ที่ อาจใช้ เป็ นหลักฐานในการดํ าเนิ นคดี การก หมวด ๕ การควบคุมการประกอบวิชาชี พการสาธารณสุ ขชุ มชน ระทําความผิดตาม พระราชบัญญัตินี้ ในการปฏิ บัติหน้ าที่ ของพนั กงานเจ้า มาตรา ๒๗ ห้ ามมิให้ ผู้ใดประกอบวิชาชี พการสาธารณสุ ขชุ มชน หรือกระทําด้ วยวิธี หน้ าที่ ตามวรรคหนึ่ ง ให้ บุคคลที่ เกี่ยวข้องอํานวยความสะดวก ตามสมควร ใดๆ ที่ แสดงให้ ผู้อ่ืนเข้าใจว่าตนเป็ นผู ้มีสิทธิ ท่ี จะประกอบวิชาชี พการสาธารณสุ ข ชุ มชนโดยมิได้ รบ ั ใบอนุ ญาตจาก สภาการสาธารณสุ ขชุ มชน เว้นแต่ในกรณี อย่างใด อย่างหนึ่ ง ดั งต่อไปนี้ หมวด ๗ บทกําหนดโทษ (๑) การช่ วยเหลือประชาชนตามหน้ าที่ ตามกฎหมายหรือตามธรรมจรรยาโดยมิได้ มาตรา ๔๗ ผู ้ใดฝ่ าฝื นมาตรา ๒๗ หรือมาตรา ๔๑ ต้องระวางโทษจําคุกไม่ รับ ประโยชน์ ตอบแทน เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้ งจําทั้ งปรับ ั การฝึ กอบรม ซึ่ งทําการฝึ กหั ดหรือฝึ กอบรม หรือที่ (๒) นั กเรียน นั กศึ กษา หรือผู ้รบ ั อนุ ญาตจากทางราชการให้ จัดตั้งสถาบัน ทางการแพทย์ของรัฐ หรือสถาบัน ได้ รบ มาตรา ๔๘ ผู ้ใดไม่ปฏิ บัติตามมาตรา ๒๙ วรรคสาม หรือไม่อํานวยความ การศึ กษา สะดวกแก่พนั กงาน เจ้าหน้ าที่ ตามมาตรา ๔๔ วรรคสอง ต้องระวางโทษปรับ (๓) บุ คคลซึ่ งปฏิ บัติงานในสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้ วยสถานพยาบาลใน ไม่เกินสองพันบาท ความควบคุมของผู้ประกอบวิชาชี พ ตามระเบียบที่ รัฐมนตรีกําหนด (๔) บุ คคลซึ่ งกระทรวง ทบวง กรม เทศบาล องค์การบริหารส่ วนจังหวัด องค์การ มาตรา ๔๙ ผู้ใดไม่มาให้ ถ้อยคําหรือไม่ส่งเอกสารหรือวัตถุใดๆ ตามที่ เรียก บริหาร ส่ วนตําบล กรุ งเทพมหานคร เมืองพัทยา องค์กรปกครองส่ วนท้ องถิ่ นรู ปแบบ หรือแจ้งให้ ส่ง ตามมาตรา ๓๖ โดยไม่มีเหตุอันควร ต้องระวางโทษจําคุกไม่ พิเศษอื่นตามที่ มีกฎหมาย กําหนด หรือสภากาชาดไทย มอบหมายให้ ประกอบ เกินหนึ่ งเดื อนหรือปรับไม่เกินหนึ่ งพันบาท หรือทั้ งจําทั้ งปรับ วิชาชี พการสาธารณสุ ขชุ มชน ในความควบคุมของ เจ้าหน้ าที่ ซึ่ งเป็ นผู้ประกอบวิชาชี พ ตามระเบียบที่ รัฐมนตรีกําหนด (๕) การปฏิ บัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุ ขประจําหมู่บ้าน(อสม) ซึ่ งได้ ผ่านการ อบรมและได้ รบ ั หนั งสื อรับรองความรู ค ้ วามสามารถจากกระทรวงสาธารณสุ ข มาตรา ๒๘ ใบอนุ ญาตให้ มีอายุ ไม่เกินห้ าปี ้ ่ นั บแต่วันที่ ออกใบอนุ ญาต และ ต่ออายุ ได้ ครังละ เท่ ากับอายุ ใบอนุ ญาตตามที กําหนดในข้อบังคับสภาการ ้ สาธารณสุ ขชุ มชนแต่ไม่เกินครังละห้ าปี ขอ!แหมอ งต ้ การขึนทะเบียน การออกใบอนุ ญาต อายุ ใบอนุ ญาต การต่ออายุ ใบอนุ ญาต และการ ออกใบแทน ใบอนุ ญาตในการประกอบวิชาชี พการสาธารณสุ ขชุ มชน ให้ เป็ นไปตาม ข้อบังคับสภาการสาธารณสุ ขชุ มชน มาตรา ๒๙ ผู ้ขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุ ญาตต้องเป็ นสมาชิ กแห่ งสภาการ สาธารณสุ ขชุ มชน และต้องได้ รบ ั ปริญญาหรือประกาศนี ยบัตรเที ยบเท่ าปริญญาด้ าน ้ ามที่ กําหนดไว้ใน การสาธารณสุ ข รวมทั้ งมีคุณสมบัติ และต้องผ่านการสอบความรู ต ข้อบังคับสภาการสาธารณสุ ขชุ มชน มาตรา ๔๑ ภายใต้บังคับมาตรา ๒๗ ห้ ามมิให้ ผู้ประกอบวิชาชี พการสาธารณสุ ขชุ มชน ซ่ึ งอยใู่ นระหว่างถูกสั่ งพักใช้ ใบอนุ ญาตหรือซึ่ งถูกเพิกถอนใบอนุ ญาตประกอบ วิชาชี พการสาธารณสุ ขชุ มชน หรือแสดงด้ วยวิธีใดๆ ให้ ผู ้อ่ืนเข้าใจว่าตนเป็ นผู้มีสิทธิ ประกอบวิชาชี พการสาธารณสุ ขชุ มชนนั บแต่วันที่ ทราบคําสั่ งสภาการสาธารณสุ ข ชุ มชนที่ สั่ งพักใช้ ใบอนุ ญาตหรือสั่ งเพิกถอนใบอนุ ญาตนั้ น มาตรา ๔๒ ผู ้ประกอบวิชาชี พการสาธารณสุ ขชุ มชนซึ่ งอยู่ในระหว่างถูกสั่ งพักใช้ ใบ อนุ ญาต ผู ้ใดกระทําการฝ่ าฝื นมาตรา ๔๑ และถูกลงโทษจําคุกตามมาตรา ๔๗ โดยคํา พิพากษาถึ งที่ สุ ด ให้ คณะกรรมการสั่ งเพิกถอนใบอนุ ญาตของผู ้น้ั นนั บแต่วันที่ ศาล มีคําพิพากษาถึ งที่ สุ ด ส่ 2564 แลเรต อนเซ 2 การประก 256 บค. ทดสอ ~.ร 23!" แล ก ล่ สู จรรยาบรรณ Why - พระราชบัญญัติสุขภาพแห่ งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ > ใ ถ 3 3.ค. 25 6 หมวด 49 มาตรา ประกาศ 19 ค. 25 ใ ้ 20 3.ค. 25 มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัติน้ี "สุ ขภาพ" หมายความว่า ภาวะของมนุ ษย์ท่ี สมบู รณ์ ทั้งทางกาย ทางจิต ทาง ปั ญญา และทางสั งคม เชื่ อมโขงกันเป็ นองค์รวมอย่างสมดุล "ปั ญญา" หมายความว่า ความรู ท ้ ่ั ว รู เ้ ท่ าทั นและความเข้าใจอย่างแยกได้ ใน เหตุผลแห่ งความดี ชั่ ว ความมีประโยชน์ และความมีโทษ นํ าไปสู่ ความมีจิต อันดี งามและเอื้อเฟื้ อเผื่อแผ่ "ระบบสุ ขภาพ" หมายความว่า ระบบความสั มพันธ์ ทั้งมวลที่ เกี่ยวข้องกับ สุ ขภาพ>>> กินดี อยู่ดี (อาหาร การศึ กษา มีเงิน) "บริการสาธารณสุ ข" หมายความว่า บริการต่างๆ อันเกี่ยวกับการสร้าง เสริมสุ ขภาพการป้ องกันและควบคุมโรคและปั จจัยที่ คุกคามสุ ขภาพ การตรวจ วินิจฉั ยและบําบัดสภาวะความเจ็บป่ วยและการฟื้ นฟู สมรรถภาพของบุ คคล ครอบครัวและชุ มชน "บุ คลากรด้ านสาธารณสุ ข" หมายความว่า ผู ้ให้ บริการสาธารณสุ ขที่ มี กฎหมาย ระเบียบหรือข้อกําหนดรองรับ "ผู ้ประกอบวิชาชี พด้ านสาธารณสุ ข" หมายความว่า ผู ้ประกอบวิชาชี พตาม กฎหมายว่าด้ วยสถานพยาบาล "สมัชชาสุ ขภาพ" หมายความว่า กระบวนการที่ ให้ ประชาชนและหน่ วยงานของ รัฐที่ เกี่ยวข้องได้ รว่ มแลกเปลี่ยนองค์ความรู แ ้ ย่างสมานฉั นท์ เพื่อ ้ ละเรียนรู อ นํ าไปสู่ การเสนอแนะนโยบายสาธาธารณะ เพื่อสุ ขภาพหรือความมีสุขภาพ ของประชาชน โดยจัดให้ มีการประชุ มอย่างเป็ นระบบและอย่างมีส่วนร่วม หมวด ๑ สิ ทธิ และหน้ าที่ ด้ านสุ ขภาพ มาตรา ๕ บุ คคลมีสิทธิ ในการดํ ารงชี วิตในสิ่ งแวดล้อมและสภาพแวดล้อมที่ เอื้อต่อต่อสุ ขภาพบุ คคลมีหน้ าที่ ร่วมกับหน่ วยงานของรัฐในการดํ าเนิ นการให้ เกิดสิ่ งแวดล้อมและสภาพแวดล้อมตามวรรคหนึ่ ง มาตรา ๖ สุ ขภาพของหญิงในด้ านสุ ขภาพทางเพศและสุ ขภาพของระบบเจริญ พันธุ ์ ซ่ึ งมีความจําเพาะ ซั บช้ อนและมีอิทธิ พลต่อสุ ขภาพหญิงตลอดช่ วงชี วิต ต้องได้ รบ ั การสร้างเสริม และคุ้มครองอย่างสอดคล้องและเหมาะสม สุ ขภาพของเด็ ก คนพิการ คนสู งอายุ คนด้ อยโอกาส ในสั งคมและกลุ่มคนต่าง ที่ มีความจําเพาะในเรื่องสุ ขภาพต้องได้ รบ ั การสร้างเสริมและคุ้มครองอย่าง สอดคคล้องและเหมาะสมด้ วย มาตรา ๗ ข้อมู ลด้ านสุ ขภาพของบุ คคล เป็ นความลับส่ วนบุ คคล ผู ้ใดจะนํ าไป เปิ ดเผยในประการที่ น่ าจะทําให้ บุคคลนั้ นเสี ยหายไม่ได้ เว้นแต่การเปิ ดเผย นั้ นเป็ นไปตามความประสงค์ของบุ คคลนั้ นโดยตรง หรือมีกฎหมายเฉพาะ บัญญัติให้ ต

Use Quizgecko on...
Browser
Browser