หลักสุจริต PDF

Summary

บทความนี้กล่าวถึงคุณค่าของหลักสุจริตในฐานะที่เชื่อมโยงกับหลักคุณธรรมของประชาชนในแง่มุมกฎหมายไทย โดยยกตัวอย่างคดีต่างๆ และประกอบด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตราที่เกี่ยวข้อง

Full Transcript

วิชา มธ.122/น.100 บทที่ 4 คุณคาของกฎหมายในฐานะที่ เชื่อมโยงกับหลักคุณธรรมของประชาชน : ความสําคัญของหลักสุจริต รศ. ดร. สมเกียรติ วรปญญาอนันต เหตุใดจึงกลาววาหลักสุจริตถือเปนคุณคาของกฎหมายในฐานะที่ เชื่อมโยงกับหลักคุณธรรมของประชาชน ขั้นแรกตองแยกแยะความแตกตางระหวางการใชสทิ ธิตา...

วิชา มธ.122/น.100 บทที่ 4 คุณคาของกฎหมายในฐานะที่ เชื่อมโยงกับหลักคุณธรรมของประชาชน : ความสําคัญของหลักสุจริต รศ. ดร. สมเกียรติ วรปญญาอนันต เหตุใดจึงกลาววาหลักสุจริตถือเปนคุณคาของกฎหมายในฐานะที่ เชื่อมโยงกับหลักคุณธรรมของประชาชน ขั้นแรกตองแยกแยะความแตกตางระหวางการใชสทิ ธิตามกฎหมาย (กรณีปกติของการใชสิทธิ) กับการใชสทิ ธิในทางที่ผิด (abuse of right) (กรณีผิดปกติ) ดังนั้น สําหรับคําถามที่วา “เมื่อมีสทิ ธิแลว บุคคลจะใชสิทธิอยางไรก็ไดใชหรือไม” คําตอบคือ “ไมใช” ตาม ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา ๕ ในการใชสิทธิแหงตน หรือในการชําระหนี้ บุคคลทุกคนตองกระทําโดยสุจริต มิฉะนั้น ยอมไม อาจใชสิทธิหรืออางสิทธิดงั กลาวได และตามมาตรา ๔๒๑ การใชสิทธิที่ มีแตจะใหเกิดเสียหายแกบุคคลอื่นนั้น เปนการอันมิชอบดวยกฎหมาย ซึ่งหลักเกณฑตามมาตรา ๔๒๑ นี้ แทจริงแลว ก็เปนสวนหนึ่งของหลัก สุจริตอันเปนเปนหลักใหญในมาตรา ๕ นั่นเอง บุคคลทุกคนตองกระทําโดยสุจริต มิฉะนั้น ยอมไมอาจใชสิทธิหรือ อางสิทธิดังกลาวได คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 13707/2558 โจทกฟองขอใหบังคับจําเลยชําระเงิน 175,000 บาท พรอมดอกเบี้ยอัตรารอยละ 15 ตอป ของตนเงิน 100,000 บาท นับถัดจากวันฟองเปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จแก โจทก ศาลอุทธรณพิพากษาใหรับผิด 10,000 บาท ขอเท็จจริงฟงไดวา จําเลยกูยมื เงินโจทกเพียง 10,000 บาท แตโจทกบังคับใหจําเลย ทําสัญญาวากูยืมเงินโจทกไป 100,000 บาท หากไมยอมทําสัญญา จะแจงเจา พนักงานตํารวจจับกุมจําเลยในขอหาฉอโกง การที่โจทกบังคับใหจําเลยทําสัญญา กูยืมเงิน 100,000 บาท ทั้งที่ความจริงกูยืมเงินกันเพียง 10,000 บาท เปนการใช สิทธิโดยไมสุจริต โจทกจึงไมอาจแสวงหาผลประโยชนจากสัญญากูที่ทําขึ้นโดยไม สุจริต ศาลฎีกาจึงพิพากษากลับ ใหยกฟองโจทก สรุป: กรณีผูใหกูบังคับใหผกู ูทําสัญญากูยืมเงินมากกวาที่กูยืมกันจริงโดยขูวาจะฟอง คดีอาญา เปนการใชสิทธิโดยไมสุจริต ผูใหกูไมอาจฟองใหผูกูรับผิดตามสัญญากูได ตัวอยางอีกกรณีหนึ่งเห็นไดจากคําพิพากษาศาลฎีกาที่ 3748/2533 โจทกทราบอยูแลววาจําเลยไดขายรถยนตพิพาทใหผูรองสอดแตกลับรับรถยนตนั้นไวกอน กรณี ถือไมไดวาโจทกไดการครอบครองรถยนตไวโดยสุจริต ทั้งจะอางวาการซื้อขายรถยนตพพิ าท ระหวางโจทกจําเลยเปนการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดกรรมสิทธิใ์ นรถยนตพิพาทตกเปนของ โจทกต้งั แตวันทําสัญญาซื้อขายกันแลว จําเลยไมมีกรรมสิทธิ์ทโี่ อนใหผูรองสอดอีกก็ไมได เพราะการที่โจทกนิ่งเสียไมแจงเรื่องนี้ใหผรู องสอดทราบในขณะที่ผูรองสอดและจําเลยทํา สัญญาซื้อขายรถยนตพิพาทยังไมเสร็จเรียบรอย ยอมทําใหผูรองสอดหลงผิดเขาใจวาจําเลยมี สิทธิโอนกรรมสิทธิใ์ นรถยนตพพิ าทใหผูรอ งสอดได การที่โจทกจะหวนกลับมาอางในภายหลัง วารถยนตพิพาทตกเปนกรรมสิทธิ์ของโจทกแลว จําเลยไมมีกรรมสิทธิ์ทโี่ อนใหผรู อ งสอดอีกจึง เปนเรื่องที่ไมชอบดวยทํานองคลองธรรม เปนการใชสิทธิไมสุจริต ผูรองสอดจึงมีสิทธิใน รถยนตพิพาทดีกวาโจทก พิพากษากลับ ใหโจทกสงมอบรถยนตพิพาทแกผูรองสอดกับใหโจทก ไปถอนคําคัดคานการโอนทะเบียนรถยนตพพิ าทที่ผูรอ งสอดยื่นเรื่องราวขอโอนมาเปนของผู รองสอดดวย ความสําคัญของหลักสุจริต หลักสุจริตใชปองกันมิใหบุคคลกลาวอางกฎหมายเปนประโยชนแกตนเองในทาง ที่ผิด ในทางกฎหมายแพง เมื่อมีสิทธิแลว มิไดหมายความวา เมื่อมีสทิ ธิแลว บุคคลจะใชสิทธิอยางไรก็ได ตรงกันขาม กลับมีเกณฑทั่วไปในทางภาววิสยั ที่ เปนบทครอบจักรวาลมากํากับความประพฤติของมนุษยเพื่อใหการใชสิทธิหรือ หนาที่ของบุคคลเปนไปตามหลักสุจริตซึ่งเปนเกณฑในทางภาววิสัยของสังคม มาตรา 5 ในการใชสิทธิแหงตนก็ดี ในการชําระหนี้ก็ดี บุคคลทุกคนตอง กระทําโดยสุจริต หลักสุจริตคือ “หลักแหงความซื่อสัตยและความไววางใจ” (Treu und Glauben) หมายความวาบุคคลแตละคนตองมีความประพฤติ ในทางที่สามารถแสดงออกถึงความซื่อสัตยตอกันและสามารถไววางใจ ซึ่งกันและกันได บทครอบจักรวาล คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 2602/2543 โจทกฟองวา จําเลยออกเช็คธนาคารกรุงไทย จํากัด เพื่อชําระหนี้ที่มีอยูจริงและบังคับไดตาม กฎหมายแทนบริษัทบางกอกพร็อพเพอรตี้เพอรเฟค จํากัด ใหแกโจทก เมื่อเช็คถึงกําหนด โจทกได นําเช็คเขาบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน แตธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจายเงิน การกระทําของจําเลยเปน การออกเช็คโดยมีเจตนาที่จะไมใหมีการใชเงินตามเช็ค ขอใหลงโทษตามพระราชบัญญัติวาดวย ความผิดอันเกิดจากการใชเช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ศาลฎีกาวินิจฉัยวา "โจทกบรรยายฟองวา จําเลยสั่งจายเช็คแทนบริษัทบางกอกพร็อพเพอรตี้เพอร เฟค จํากัด เพื่อชําระหนี้ที่มีอยูจริงและบังคับไดตามที่มีอยูตามกฎหมาย เปนชองทางใหโจทกไดรับ ประโยชนแตเพียงฝายเดียวโดยไมคาํ นึงถึงความเสียหายที่คูสัญญาอีกฝายหนึ่งจะไดรับ เชนนี้ ยอม เปนการใชสิทธิโดยไมสุจริต ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 5 ที่ศาลอุทธรณภาค 1 พิพากษายกฟองโจทกน้นั ชอบแลว ฎีกาโจทกฟงไมขึ้น“ (ขอสังเกต : การที่เจาหนี้มีสิทธิบังคับชําระหนี้เอากับทรัพยสินของลูกหนี้เมื่อลูกหนี้ผิดนัด แตไม บังคับชําระหนี้ปลอยใหหนี้เพิ่มขึ้นมากมายแลวจึงมาบังคับชําระหนี้ โดยฟองเปนคดีอาญาเพื่อบีบ บังคับใหชําระหนี้ เปนการใชสิทธิโดยไมสจุ ริต) นิติวิธีและหลักสุจริตเกี่ยวของกับ “คุณคาของกฎหมายใน ฐานะที่เชื่อมโยงกับหลักคุณธรรมของประชาชน” ไดอยางไร นิติวิธที ําใหการอางกฎหมายลายลักษณอักษรไมอาจอางเอา เปรียบกันเพื่อประโยชนสวนตัวจนขัดหลักคุณธรรมที่ ประชาชนเขาใจ เพราะในระบบกฎหมายมีระบบวิธคี ิด หลักการใชและการตีความกฎหมายใหเกิดความเปนธรรม อยางเสมอภาคกัน หลักสุจริตใชปองกันมิใหบุคคลกลาวอางกฎหมายเปน ประโยชนแกตนเองในทางที่ผิด ในการจัดทํารางกรอบหลักเกณฑรวมเพื่อใชอางอิงในการ จัดทํากฎหมายวาดวยสัญญาของสหภาพยุโรป (DCFR: Draft Common Frame of Reference) มีขอเสนอใหมีการให ความหมายของหลักสุจริตในเรื่องเกี่ยวกับสัญญาวามีลักษณะ เปนความประพฤติที่มีลักษณะสอดคลองกับความซื่อสัตย ตรงไปตรงมา คํานึงถึงประโยชนของคูกรณีอกี ฝายหนึ่งในการ ทําธุรกรรมหรือผูกนิติสัมพันธตอกันอีกดวย โปรดดู Jean Van Zuylen, “Fautes, bonne foi et abus de droit: convergences et divergences”, Annales de Droit de Louvain, vol. 71, 2011, n.3 ที่จริงกรณีตามมาตรา ๔๒๑ ก็อยูภายใตหลักสุจริตดวย เพียงแต กฎหมายนําไปบัญญัติไวโดยเฉพาะเพื่อเนนความสําคัญไว ตางหากเปนอีกบทหนึ่ง วาตองไมใชสทิ ธิในทางที่ผิด มิฉะนั้น กฎหมายใหถือวาการกระทํานั้นไมชอบดวยกฎหมายและอาจ ตองรับผิดหากครบองคประกอบเรื่องละเมิดตามมาตรา ๔๒๐ มาตรา 421 การใชสิทธิซึ่งมีแตจะใหเกิดเสียหายแกบุคคลอื่นนั้น ทาน วาเปนการอันมิชอบดวยกฎหมาย มาตรา ๔๒๐ ผูใดจงใจหรือประมาทเลินเลอ ทําตอบุคคลอื่นโดยผิด กฎหมายใหเขาเสียหายถึงแกชีวิตก็ดี แกรางกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพยสินหรือสิทธิอยางหนึ่งอยางใดก็ดี ทานวาผูนั้นทํา ละเมิดจําตองใชคาสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น ในการทําความเขาใจปญหาการปรับใชหลักสุจริตเปนเครื่องมือใน การใชและการตีความกฎหมาย สามารถพิจารณาไดจากการอาน คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๐๔/๒๕๑๗, ๕๖๖/๒๕๒๔, ๗๗๓๒/ ๒๕๔๘ และ๑๑๘๘/๒๕๔๙ และวิเคราะหวาในแตละคดี ศาลไดนํา หลักสุจริตมาใชในลักษณะใด ตามที่จะไดกลาวถึงหลักเกณฑการ ปรับใชหลักสุจริตในลําดับตอไป คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๐๔/๒๕๑๗ ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา ๖๙, ๗๕, ๒๑๕, ๖๕๗, ๖๕๙, ๖๗๑, ๑๓๓๖ โจทกฟองวา โจทกฝากรถยนตบรรทุกหมายเลขทะเบียน ก.ท.ผ. ๑๗๔๒ ราคา ๕๗,๕๐๐ บาทไวในความดูแลของจําเลย รถหายไป ขอใหศาลบังคับใหจําเลยใชคาเสียหาย ๕๗,๕๐๐ บาทพรอมดวยดอกเบี้ยนับแตวนั ฟอง จําเลยใหการวา โจทกเชารถมาจากผูอื่น โจทกไมมอี ํานาจฟอง จําเลยไมเคยรับฝากรถ จากโจทก จําเลยไมมีวัตถุประสงคในการรับฝากรถ คดีโจทกขาดอายุความ ศาลชั้นตนพิพากษาใหจาํ เลยใชเงิน ๔๕,๐๐๐ บาท พรอมดวยดอกเบี้ยรอยละ ๗ ครึ่งนับ แตวนั ฟอง จําเลยอุทธรณ ศาลอุทธรณพพิ ากษายืน จําเลยฎีกา คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๐๔/๒๕๑๗ ปญหาที่วา จําเลยไดรับฝากรถจากโจทกหรือไม ศาลฎีกาฟงวานาย กฤษณะผูจัดการจําเลยอนุญาตใหโจทกจอดรถที่ปมจําเลยและใหมอบ กุญแจไวกับคนงานของจําเลย จึงเปนที่เห็นไดวาโจทกมอบรถใหอยูใน ความดูแลของจําเลย แมจําเลยจะไมไดรับบําเหน็จตอบแทน ก็หาพน ความรับผิดในฐานผูรับฝากไม ปญหาที่วา จําเลยประมาทเลินเลอทําใหรถยนตโจทกสูญหายหรือไม ศาล ฎีกาเห็นวาคนงานของจําเลยใหรถแกคนอื่นไปโดยมิไดตรวจดูหนังสือที่มีผู นํามาขอรับรถใหดีเสียกอนวาเปนลายมือชื่อโจทกหรือไม ทั้ง ๆ ที่คนขาย น้ํามันของจําเลยจําลายมือชื่อโจทกได เชนนี้ เปนการประมาทเลินเลอ อยางรายแรง จําเลยจึงตองรับผิดใชคืนแกโจทก คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๐๔/๒๕๑๗ ปญหาที่วา จําเลยไมมีวัตถุประสงคในการรับฝากรถ จะตองรับผิดตอ โจทกหรือไม ศาลฎีกาเห็นวากรณีน้เี ปนเรื่องโจทกเรียกเอาทรัพยที่ฝาก ไวกับจําเลยคืน ดังนั้น ไมวาจําเลยจะมีวัตถุประสงคในการดําเนินการ ประการใด จําเลยมีหนาที่จะตองคืนใหโจทก จะอางวาผิดวัตถุประสงค ไมได ปญหาเรื่องอายุความ ศาลฎีกาเห็นวาแมตามฟองโจทกจะเรียกเอา คาเสียหาย แตโจทกเรียกรองเอาเทากับราคารถยนต จึงเปนการเรียกเอา ทรัพยที่ฝากคืนนั่นเอง เมื่อรถสูญหายไป โจทกจงึ เรียกราคาแทนคดีโจทก จึงไมขาดอายุความ พิพากษายืน หมายเหตุ ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย (อัพเดต ณ วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๔๙๖) http://www.krisdika.go.th/librarian/get?sysid=326942&ext=htm มาตรา ๖๙ นิติบุคคลยอมมีสิทธิและหนาที่ตา ง ๆ ตองตามบทบัญญัติทั้ง ปวงแหงกฎหมายภายในขอบวัตถุที่ประสงคของตน ดังมีกาํ หนดไวใน ขอบังคับหรือตราสารจัดตั้ง มาตรา ๗๕ อันความประสงคของนิติบคุ คลนั้น ยอมแสดงปรากฏจาก ผูแทนทั้งหลายของนิติบุคคลนั้น มาตรา ๒๑๕ เมื่อลูกหนี้ไมชําระหนี้ใหตองตามความประสงคอันแทจริง แหงมูลหนี้ไซร เจาหนี้จะเรียกเอาคาสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอัน เกิดแตการนั้นก็ได มาตรา ๖๕๗ อันวาฝากทรัพยน้นั คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกวาผูฝาก สงมอบ ทรัพยสนิ ใหแกบุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกวาผูรับฝาก และผูรับฝากตกลงวาจะเก็บ รักษาทรัพยสินนั้นไวในอารักขาแหงตน แลวจะคืนให มาตรา ๖๕๙ ถาการรับฝากทรัพยเปนการทําใหเปลาไมมีบาํ เหน็จไซร ทานวาผูรับ ฝากจําตองใชความระมัดระวังสงวนทรัพยสินซึ่งฝากนั้นเหมือนเชนเคยประพฤติใน กิจการของตนเอง ถาการรับฝากทรัพยนั้นมีบําเหน็จคาฝาก ทานวาผูรบั ฝากจําตองใชความระมัดระวัง และใชฝมือเพื่อสงวนทรัพยสินนั้นเหมือนเชนวิญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ ดั่งนั้น ทั้งนี้ยอมรวมทั้งการใชฝมืออันพิเศษเฉพาะการในที่จะพึงใชฝม ือเชนนั้นดวย ถาและผูรับฝากเปนผูมีวิชาชีพเฉพาะกิจการคาขาย หรืออาชีวะอยางหนึ่งอยางใด ก็จําตองใชความระมัดระวังและใชฝม อื เทาที่เปนธรรมดาจะตองใชและสมควร จะตองใชในกิจการคาขายหรืออาชีวะอยางนั้น มาตรา ๖๗๑ ในขอความรับผิดเพื่อใชเงินบําเหน็จคาฝากทรัพยก็ดี ชดใช เงินคาใชจา ยก็ดี ใชคา สินไหมทดแทนเกี่ยวแกการฝากทรัพยก็ดี ทานหาม มิใหฟองเมื่อพนเวลาหกเดือนนับแตวันสิ้นสัญญา มาตรา ๑๓๓๖ ภายในบังคับแหงกฎหมาย เจาของทรัพยสนิ มีสิทธิใชสอย และจําหนายทรัพยสินของตนและไดซึ่งดอกผลแหงทรัพยสินนั้น กับทั้งมี สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพยสินของตนจากบุคคลผูไมมีสทิ ธิจะยึดถือ ไว และมีสิทธิขัดขวางมิใหผูอื่นสอดเขาเกี่ยวของกับทรัพยสินนั้นโดยมิชอบ ดวยกฎหมาย คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๖๖/๒๕๒๔ ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา ๖๙, ๘๒๑ โจทกฟองวา จําเลยเปนนิติบุคคลและเปนเจาสังกัดของกองสวัสดิการ โจทกทําสัญญาเชาซื้อที่ดินมีโฉนดหนึ่งแปลงกับกองสวัสดิการและชําระ คาเชาซื้อครบถวนแลว แตจําเลยไมโอนกรรมสิทธิ์ใหตามสัญญาจึงขอให ศาลพิพากษาและบังคับใหจําเลยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกลาวหรือชดใช คาเสียหาย จําเลยใหการวา จําเลยไมไดรวมกับกองสวัสดิการทําสัญญาเชาซื้อกับ โจทก ไมมีนิติสมั พันธใด ๆ กับโจทก และจําเลยไมมีวัตถุประสงค และ อํานาจหนาที่ในการใหเชาซื้อที่ดนิ หรือรูแลวยอมใหกองสวัสดิการเชิด ตัวเองออกเปนตัวแทนของจําเลยในการเชาซื้อที่ดิน จําเลยจึงไมตองรับผิด คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๖๖/๒๕๒๔ ศาลชั้นตนพิพากษาใหจําเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดนิ พิพาทใหแกโจทกถา โอนไมไดใหชดใช คาเสียหาย จําเลยอุทธรณ ศาลอุทธรณพิพากษายืน จําเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยวา กอนจัดสรรที่ดินพิพาท กองสวัสดิการดวยการรูเห็นยินยอมของจําเลย เคย จัดสรรที่ดินแหงอืน่ ใหประชาชนโดยทั่ว ๆ ไปทําสัญญาเชาซื้อ เมื่อผูเชาซื้อชําระราคาครบถวน กองสวัสดิการก็ไดทําการโอนกรรมสิทธิ์ใหทุกราย สําหรับที่ดินพิพาทรายนี้ กอนที่จะนําออก จัดสรรไดประกาศโฆษณาใหประชาชนไดทราบโดยเปดเผย โจทกเชื่อโดยสุจริตวากอง สวัสดิการมีอํานาจหนาที่ในการจัดสรรที่ดินใหเชาซื้อได จึงไดทําสัญญาเชาซื้อกับกอง สวัสดิการและไดชาํ ระเงินจนครบถวน แตกองสวัสดิการไมสามารถโอนที่พิพาทใหแกโจทกได เพราะเจาหนาที่ทุจริต กรมตํารวจจําเลยจึงมีคําสั่งใหกองสวัสดิการรีบดําเนินการโอน กรรมสิทธิ์ใหแกโจทกและผูเ ชาซื้อที่ชําระราคาที่ดินครบถวน ดังนี้ กรมตํารวจจําเลยจะปฏิเสธ วา ไมรูและยินยอมใหกองสวัสดิการเชิดตัวเองออกแทนกรมตํารวจในการทําสัญญาเชาซื้อหา ไดไม คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๖๖/๒๕๒๔ เมื่อกรมตํารวจจําเลยรูและยินยอมใหกองสวัสดิการซึ่งเปน หนวยงานในสังกัดทําสัญญาเชาซื้อกับโจทกแทน และไดรับ ผลประโยชนตอบแทนดวย ดังนี้จะปฏิเสธความรับผิดชดใช คาเสียหายแกโจทกเพราะเหตุกองสวัสดิการผิดสัญญาโดยอาง วาเปนเรื่องนอกวัตถุประสงคและนอกเหนืออํานาจหนาที่หาได ไม พิพากษายืน หมายเหตุ ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา ๖๙ นิติบุคคลยอมมีสิทธิและหนาที่ตาง ๆ ตองตาม บทบัญญัติทั้งปวงแหงกฎหมายภายในขอบวัตถุที่ประสงคของตน ดังมีกําหนดไวในขอบังคับหรือตราสารจัดตั้ง มาตรา ๘๒๑ บุคคลผูใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเปน ตัวแทนของตนก็ดี รูแลวยอมใหบุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเอง ออกแสดงเปนตัวแทนของตนก็ดี ทานวาบุคคลผูน้นั จะตองรับผิด ตอบุคคลภายนอกผูสุจริตเสมือนวาบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเปน ตัวแทนของตน คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๗๓๒/๒๕๔๘ ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา ๓๘๗ โจทกฟองวา จําเลยที่ ๑ โดยจําเลยที่ ๒ ทําสัญญาจะซื้อจะขายที่ดนิ หนังสือรับรอง การทําประโยชน (น.ส. ๓ ก.) ที่พิพาท พรอมสิ่งปลูกสรางกับโจทกในราคา ๑,๐๕๐,๐๐๐ บาท โจทกไดชําระเงินใหแกจําเลยที่ ๑ ติดตอกันรวม ๑๑ งวด แต จําเลยที่ ๑ กอสรางอาคารเพียงบางสวนและหยุดกอสรางจนถึงปจจุบันเปนเวลา ๓ ป โจทกติดตามทวงถามใหจําเลยที่ ๑ กอสรางอาคาร แตจําเลยที่ ๑ ไมดําเนินการ โจทกไมประสงคจะซื้อที่ดินพรอมสิ่งปลูกสรางตอไปจึงบอกเลิกสัญญา และให จําเลยทั้งสองรวมกันชําระเงิน ๒๒๒,๐๐๐ บาท พรอมดอกเบี้ยอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป แตจําเลยทั้งสองไมชําระทําใหโจทกไดรับความเสียหาย ขอใหบังคับจําเลยทั้ง สองรวมกันชําระเงิน ๒๒๒,๐๐๐ บาท พรอมดอกเบี้ยอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป นับ ถัดจากวันฟองเปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จแกโจทก คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๗๓๒/๒๕๔๘ จําเลยที่ ๑ ใหการวา จําเลยที่ ๑ ทําสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและสิ่งปลูกสราง กับโจทก แตโจทกไมชําระเงินใหแกจําเลยที่ ๑ ตามที่กําหนดไวในสัญญา เปน เหตุใหการกอสรางอาคารตองหยุดลง โจทกไมมีอาํ นาจบอกเลิกสัญญาโดยไม บอกกลาวใหจําเลยที่ ๑ กอสรางอาคารภายในเวลาพอสมควรกอนการบอกเลิก จึงเปนการไมชอบ ขอใหยกฟอง จําเลยที่ ๒ ใหการ ขอใหยกฟอง ศาลชั้นตนพิพากษาใหจําเลยที่ ๑ ชําระเงิน ๒๒๐,๐๐๐ บาท พรอมดอกเบี้ย อัตรารอยละ ๗.๕ ตอป นับถัดจากวันฟอง (ฟองวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ ๒๕๔๓) จนกวาจะชําระเสร็จแกโจทก ใหจําเลยที่ ๑ ยกฟองโจทกสาํ หรับจําเลยที่ ๒ จําเลยที่ ๑ อุทธรณ ศาลอุทธรณภาค ๙ พิพากษายืน จําเลยที่ ๑ ฎีกา คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๗๓๒/๒๕๔๘ ศาลฎีกาวินิจฉัยวา "ขอเท็จจริงเบื้องตนรับฟงเปนยุติไดวา โจทกไดทาํ สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพรอม สิ่งปลูกสรางจากจําเลยที่ ๑ ในราคา ๑,๐๕๐,๐๐๐ บาท โจทกชําระคางวดใหจําเลยที่ ๑ รวม ๑๑ งวด ตั้งแตเดือนมกราคม ๒๕๓๙ ถึงเดือน พฤศจิกายน ๒๕๓๙ รวมเงินที่โจทกชําระใหจําเลยที่ ๑ เปน เงิน ๒๒๒,๐๐๐ บาท ตอมาโจทกไดบอกเลิกสัญญาและใหจําเลยที่ ๑ คืนเงินใหแกโจทก คดีมีปญหา ตองวินิจฉัยตามฎีกาของจําเลยที่ ๑ วา โจทกบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายโดยชอบดวยกฎหมาย หรือไม และจําเลยที่ ๑ เปนฝายผิดสัญญาหรือไม เห็นวา ฝายโจทกมีโจทกอางตนเองเปนพยานเบิก ความยืนยันวา หลังจากโจทกชาํ ระเงินคาจอง คามัดจําและคางวดจํานวน ๑๑ งวด รวมเปนเงินทั้งสิ้น ๒๒๒,๐๐๐ บาท แลว จําเลยที่ ๑ ไมไดกอสรางอาคารใหแลวเสร็จจนปจจุบันนี้ พยานไดติดตอจําเลย ที่ ๑ ตลอดมา แตจําเลยที่ ๑ ผัดผอนและไมไดกอสรางอีก พยานจึงหยุดชําระเงินตั้งแตงวดที่ ๑๒ เปน ตนมา พยานตกลงกับจําเลยที่ ๑ ดวยวาจาวา อาคารที่จะซื้อจะขายจะเสร็จประมาณเดือนมกราคม ๒๕๔๐ แตจําเลยที่ ๑ ไมปฏิบตั ิตามสัญญา พยานจึงใหทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและเรียก เงินคืนจากจําเลยที่ ๑ จําเลยที่ ๑ ไดรับหนังสือดังกลาวแลวยังคงเพิกเฉยไมไดติดตอกับโจทกอีกเลย ทั้งยังไดความจากจําเลยที่ ๒ นายวิทยา งานทวี และคําเบิกความของนายอุดมประทีป ณ ถลาง ในคดี หมายเลขดําที่ ๔๒๘/๒๕๔๓ ของศาลชั้นตน สอดคลองตองกันและรับกับคําเบิกความของโจทกอีก ดวยวา หลังจากโจทกชําระเงินคางวดที่ ๑๑ ใหแกจําเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ แลว นายอุดม ประทีป ซึ่งเปนผูรับเหมากอสรางอาคารพิพาทกับจําเลยที่ ๑ ไดหยุดกอสรางอาคารพิพาท ซึ่งอยูในงานชวงที่ ๒ ประมาณเดือนกุมภาพันธ ๒๕๔๑ จนกระทั่งปจจุบันนี้ เนื่องจากจําเลยที่ ๑ แจง ใหรอการกอสรางไวกอนเพราะมีปญหาเรื่องการเงิน.. คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๗๓๒/๒๕๔๘.. ขอเท็จจริงจึงฟงไดวาหลังจากโจทกชําระเงินงวดที่ ๑๑ ใหแกจําเลยที่ ๑ แลวโจทก ไมไดชําระเงินสวนที่เหลือใหแกจําเลยที่ ๑ เนื่องจากจําเลยที่ ๑ กอสรางอาคารพิพาท ไมแลวเสร็จจนปจจุบันนี้เพราะมีปญหาเรื่องการเงิน กรณีจึงเปนที่เห็นไดอยางชัดแจง วา โดยพฤติการณแหงคดีหรือโดยสภาพหรือโดยเจตนาของจําเลยที่ ๑ นั้น จําเลยที่ ๑ ไมประสงคจะปฏิบัติตามสัญญาแลว จึงไมมีเหตุผลอยางใดที่โจทกจะตองบอก กลาวกําหนดเวลาใหจําเลยที่ ๑ กอสรางอาคารพิพาทตอไปอีก เพราะถึงอยางไร จําเลยที่ ๑ ก็ไมทําการกอสรางอาคารพิพาทตอไปอันเปนการไมชําระหนี้อยูดีและหาก ยังคงใหโจทกตองชําระเงินสวนที่เหลือใหแกจําเลยที่ ๑ อีกยอมเปนการยังความ เสียหายแกโจทกเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น โจทกจึงชอบที่จะบอกเลิกสัญญาเสียไดโดยไม จําตองบอกกลาวกําหนดระยะเวลาพอสมควรใหจําเลยที่ ๑ กอสรางอาคารพิพาทให แลวเสร็จอีก การบอกเลิกสัญญาของโจทกจึงชอบแลว และถือไดวาจําเลยที่ ๑ ผิด สัญญาจะซื้อจะขายตอโจทก ที่ศาลชั้นตนและศาลอุทธรณภาค ๙ พิพากษาใหจําเลย ที่ ๑ ชําระหนี้ใหแกโจทกชอบแลว ศาลฎีกาเห็นพองดวย ฎีกาของจําเลยที่ ๑ ฟงไม ขึ้น" พิพากษายืน หมายเหตุ ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา ๓๘๗ ถาคูสัญญาฝายหนึ่งไมชําระหนี้ อีกฝายหนึ่ง จะกําหนดระยะเวลาพอสมควร แลวบอกกลาวใหฝายนั้น ชําระหนี้ภายในระยะเวลานั้นก็ได ถาและฝายนั้นไมชําระหนี้ ภายในระยะเวลาที่กําหนดใหไซร อีกฝายหนึ่งจะเลิกสัญญา เสียก็ได คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๘๘/๒๕๔๙ ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา ๓๙๑ โจทกฟองวา โจทกทําสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพรอมอาคารและไดชําระเงินในวัน จองและวันทําสัญญา กับไดผอนชําระคาที่ดินรายเดือนอีก ๔๔ งวด รวมเปนเงิน ทั้งสิ้น ๑,๔๙๓,๘๐๐ บาท ใหแกจําเลยตามสัญญาแลว แตจําเลยไมดําเนินการ กอสรางอาคารใหแลวเสร็จภายในกําหนดตามสัญญา โจทกจึงมีหนังสือบอกเลิก สัญญาแกจําเลย จําเลยตองคืนเงินที่รับไวทั้งหมด พรอมดอกเบี้ยอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป นับแตวันที่จําเลยไดรับเงินจากโจทกครั้งสุดทาย ขอใหบังคับจําเลยชําระเงิน ๑,๘๒๙,๙๐๐ บาท พรอมดอกเบี้ยอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป นับถัดจากวันฟอง จนกวาจะชําระเสร็จแกโจทก จําเลยใหการวา จําเลยไมไดเปนฝายผิดสัญญา โจทกไมไดบอกกลาวกําหนดเวลาให จําเลยปฏิบตั ิตามสัญญากอนบอกเลิกสัญญาเปนการบอกเลิกสัญญาโดยไมชอบ ขอใหยกฟอง คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๘๘/๒๕๔๙ ศาลชั้นตนพิพากษาใหจําเลยชําระเงินจํานวน ๑,๔๙๓,๘๐๐ บาท พรอม ดอกเบี้ยอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป นับแตวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๔๐ เปนตน ไปจนกวาจะชําระเสร็จแกโจทก แตดอกเบี้ยคํานวณถึงวันฟอง (ฟองวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๔๓) ตองไมเกิน ๓๓๖,๑๐๕ บาท จําเลยอุทธรณ ศาลอุทธรณพิพากษายืน จําเลยฎีกา คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๘๘/๒๕๔๙ ศาลฎีกาวินิจฉัยวา "ขอเท็จจริงฟงไดเปนยุติโดยคูความมิไดโตเถียงกันวา จําเลย กอสรางอาคารไมเสร็จตามเวลาที่กําหนดไวในสัญญา และจนถึงเวลาที่โจทกมี หนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจําเลย จําเลยก็ยังกอสรางอาคารไมแลวเสร็จ พฤติการณเชนนี้โจทกหาจําตองบอกกลาวกําหนดเวลาใหจําเลยชําระหนี้กอ น บอกเลิกสัญญาไมเพราะถึงอยางไรจําเลยก็ไมอาจหรือไมมีเจตนาที่จะชําระหนี้ ใหถูกตองตามสัญญาไดอยูดี โจทกชอบที่จะบอกเลิกสัญญาเสียไดโดยไมจําตอง บอกกลาวกอน การบอกเลิกสัญญาของโจทกชอบแลว เมื่อสัญญาเลิกกันคูสัญญา แตละฝายจําตองใหอีกฝายหนึ่งไดกลับคืนสูฐานะดังที่เปนอยูเดิม จําเลยจึงตองคืน เงินที่ไดรับไวและเสียดอกเบี้ยแกโจทกดวยนับแตเวลาที่ไดรับไวตามกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา ๓๙๑ ที่ศาลอุทธรณวินิจฉัยในประเด็นขอนี้มานั้น ศาลฎีกา เห็นพองดวยในผล ฎีกาของจําเลยฟงไมขึ้น" พิพากษายืน หมายเหตุ ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา ๓๙๑ เมื่อคูสญ ั ญาฝายหนึ่งไดใชสิทธิเลิกสัญญาแลว คูสัญญาแต ละฝายจําตองใหอีกฝายหนึ่งไดกลับคืนสูฐานะดังที่เปนอยูเดิม แตทั้งนี้จะ ใหเปนที่เสื่อมเสียแกสิทธิของบุคคลภายนอกหาไดไม สวนเงินอันจะตองใชคืนในกรณีดงั กลาวมาในวรรคตนนั้น ทานใหบวก ดอกเบี้ยเขาดวย คิดตั้งแตเวลาที่ไดรับไว สวนที่เปนการงานอันไดกระทําใหและเปนการยอมใหใชทรัพยนั้น การที่ จะชดใชคืน ทานใหทําไดดวยใชเงินตามควรคาแหงการนั้น ๆ หรือถาใน สัญญามีกําหนดวาใหใชเงินตอบแทน ก็ใหใชตามนั้น การใชสิทธิเลิกสัญญานั้นหากระทบกระทั่งถึงสิทธิเรียกรองคาเสียหายไม หลักสุจริตในที่นี้หมายถึงหลักสุจริตทั่วไปตามประมวล กฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา ๕ หลักสุจริตมีอยู ๒ แงมุม – ในแงภาววิสัย(objective) =หลักสุจริตทั่วไป เปนหลักใหญในระบบกฎหมาย ถือเปนบทครอบจักรวาลใชกํากับความ ประพฤติของมนุษยในสังคมเมื่อมีการใชสิทธิหรือมีการชําระหนี้ (มาตรา ๕) – ในแงอัตวิสัย(subjective) = หลักสุจริตเฉพาะเรื่อง เปนเรื่องสภาพจิตใจของผูกระทําวารูหรือไมรูขอเท็จจริง ซึ่งอาจมีผล ทางกฎหมายแตกตางกันขึ้นอยูกับวากระทําโดยสุจริตหรือกระทําโดยไม สุจริต ใชกันในกฎหมายลักษณะทรัพยและในกฎหมายอื่น หลักสุจริตทั่วไป หลักสุจริตคือ “หลักแหงความซื่อสัตยและความไววางใจ” (Treu und Glauben) หมายความวาบุคคลแตละคนตองมี ความประพฤติในทางที่สามารถแสดงออกถึงความซื่อสัตยตอกัน และสามารถไววางใจซึ่งกันและกันได หลักนี้ ศาลเริ่มนํามาใชมากขึ้นเรื่อยๆ ในแตละประเทศ และ สามารถใชอุดชองวางหรือในกรณีที่เปนที่สงสัยเมื่อพิจารณาถึง “ตัวบทกฎหมาย” ในมาตราตางๆ ที่บัญญัติไวไดเปนอยางดี (ระบบบูรณาการในกฎหมายมีมานานแลว และสามารถนํามา ปรับใชไดเสมอ) หลักสุจริตทั่วไป มาตรา 5 ในการใชสิทธิแหงตนก็ดี ในการชําระหนี้กด็ ี บุคคล ทุกคนตองกระทําโดยสุจริต มาตรา 6 ใหสันนิษฐานไวกอ นวา บุคคลทุกคนกระทําการโดย สุจริต มาตรา 11 ในกรณีที่มีขอสงสัย ใหตีความไปในทางที่เปนคุณ แกคูกรณีฝายซึ่งจะเปนผูตองเสียในมูลหนี้นั้น มาตรา 368 สัญญานั้นทานใหตคี วามไปตามความประสงค ในทางสุจริต โดยพิเคราะหถงึ ปกติประเพณีดวย หลักสุจริตทั่วไป : ภารกิจ ๔ ดาน 1) เปนเกณฑกํากับในการชําระหนีต้ ามสัญญา 2) เปนหนาที่ขา งเคียงของคูสญ ั ญานอกเหนือไปจากกรณีที่ไดตกลงกัน โดยชัดแจงไวแลวในสัญญา เชน หนาที่ในการใหคําแนะนําวาถาตอ เรือตามแบบแลวจะไมเปนไปตามประโยชนใชสอยที่ผวู าจางตองการ 3) เปนขอจํากัดการใชสิทธิตามสัญญามิใหใชสิทธิในทางไมสุจริต เพื่อ ปรับความสมดุลระหวางคูสัญญาใหเกิดขึ้นอยางแทจริง 4) เปนที่มาของสิทธิในการเปลี่ยนแปลงไมตองปฏิบัติตามสัญญาที่ตก ลงไวแตเดิมหากมีสถานการณที่เปลี่ยนแปลงไปโดยไมสามารถ คาดหมายได (clausula rebus sic stantibus) เชน ประมวล กฎหมายแพงโปรตุเกส มาตรา ๔๓๗ สําหรับศาลเยอรมันใชหลัก สุจริตมานานแลวสําหรับกรณีคาเงินมารคชวงหลังสงครามและกรณี การรวมเยอรมันตะวันออก เปนเกณฑกาํ กับในการชําระหนี้ตามสัญญา ตามที่จะไดศึกษาจากตัวอยางในคํา พิพากษาตางๆ ที่จะกลาวตอไป เปนหนาที่ขางเคียงของคูสัญญานอกเหนือไปจากกรณีที่ไดตกลงกันโดย ชัดแจงไวแลวในสัญญา ในประเทศฝรั่งเศส แตเดิม มีการบัญญัติกฎหมายกําหนดเปนหนาที่ขางเคียงในการให ขอมูลตามบทกฎหมายเฉพาะของผูมีวิชาชีพตามหลักกฎหมายพิเศษเฉพาะเรื่องเฉพาะราว เปนเรื่องๆ ไป เชน หนาที่ในการใหขอมูลของผูประกอบการตอผูบริโภคตามประมวล กฎหมายผูบริโภค มาตรา L111-1 ถึงมาตรา L111-3 หนาที่ของผูผลิตในสัญญาซื้อขาย สินคาที่ใหสทิ ธิเสนอขายเปนกรณีพิเศษตามประมวลกฎหมายพาณิชย มาตรา L330-3 มาตรา R330-1 และมาตรา R330-2 หนาที่ของอนุญาโตตุลาการตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพง มาตรา ๑๔๕๖ วรรคสอง และมาตรา ๑๕๐๖ วรรคสอง เปนตน ตอมา ในยุคปจจุบนั ไดมีการออกรัฐกําหนดเลขที่ ๒๐๑๖-๑๓๑ ลงวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ ค.ศ. ๒๐๑๖ วางหลักเกณฑเพิ่มเติมในประมวลกฎหมายแพง มาตรา ๑๑๑๒-๑ กําหนดเปน หนาที่กอ นสัญญาในการใหขอมูลแกคูกรณีอีกฝายหนึ่งในลักษณะที่เปนหลักเกณฑทั่วไป เพื่อปรับใชในกรณีตา งๆ เปนการทั่วไปแลว ตั้งแตขั้นตอนการเจรจาตอรองหรือขัน้ ตอน กอนสัญญาที่จะนําไปสูข้นั ตอนการทําสัญญาตอกันตอไปในอนาคต ดังนั้น ในปจจุบัน จึงได มีพัฒนาการในระบบกฎหมายฝรั่งเศสที่มกี ารใชหลักสุจริตเปนฐานของความรับผิดกอน สัญญา (pre-contract) และนําไปสูการบัญญัติกฎหมายลายลักษณอักษรตามมานั่นเอง เปนขอจํากัดการใชสิทธิตามสัญญามิใหใชสิทธิในทางไมสุจริต เพื่อปรับความสมดุลระหวางคูสัญญาใหเกิดขึ้นอยางแทจริง กรณีตัวอยางของประเทศฝรั่งเศสจํานวน ๓ กรณีศึกษาดังนี้ 1. ในการชําระหนี้ตามสัญญาคูสัญญาทุกฝายลวนมีหนี้ที่ตอ งชําระ หนี้ตอกันโดยมีหนาที่เตือนหรือแจงใหอกี ฝายหนึ่งไดทราบถึง ขอเท็จจริงหรือเหตุการณที่ควรทราบเพื่อประโยชนในการชําระ หนี้ของตน 2. คูกรณีมีหนาที่ใหความรวมมือกันในกรณีที่เปนสัญญาที่ไมสมดุล 3. คูสัญญามีหนาที่เจรจากันใหมในกรณีที่มีเหตุการณใหมเกิดขึ้นใน ภายหลังที่ไมอาจคาดหมายไดในขณะทําสัญญา ตัวอยางที่หนึ่ง ศาลยุติธรรมสูงสุดของประเทศฝรั่งเศสตัดสินตามหลักสุจริตวาในการชําระหนี้ตามสัญญา คูสญ ั ญาทุกฝายลวนมีหนี้ที่ตองชําระหนี้ตอกันโดยมีหนาที่เตือนหรือแจงใหอีกฝายหนึ่งได ทราบถึงขอเท็จจริงหรือเหตุการณที่ควรทราบเพื่อประโยชนในการชําระหนี้ของตนใน ลักษณะเดียวกับที่มหี ลักเกณฑตามกฎหมายเฉพาะเชนในเรื่องการลงทุนทางการเงิน โดย กําหนดเปนหลักเกณฑที่มีลักษณะทั่วไปดวย ไมจํากัดเพียงในลักษณะเฉพาะเทานั้น เนื่องจากเปนหนาที่ขั้นต่ําที่จะตองแจงคูสญ ั ญาใหทราบถึงขอเท็จจริงหรือเหตุการณที่ เปลี่ยนแปลงไปซึ่งอาจมีผลกระทบถึงการปฏิบัติการชําระหนี้ตามสัญญาหรืออาจเปนเหตุให การชําระหนี้มีขอบกพรองเกิดขึ้นได เชนในกรณีที่ผูใหเชาที่พักอาศัยซึ่งอาจเรียกเก็บคาใช น้ําประปาจากผูเชาตามหลักเกณฑปกตินั้น เมื่อผูใหเชาไมแจงรายละเอียดของผูเชาจํานวน สองอาคารจากจํานวนทั้งหมดนับสิบอาคารอันเปนเหตุใหมคี าใชจายทบทวีคณ ู เปน เวลานานจนกระทั่งคดีใกลจะขาดอายุความการประปาฯ จึงเรียกเก็บคาใชน้ําประปา ทั้งหมดรวมทั้งคาปรับชําระหนี้ลา ชา ผูใหเชาไมอาจเรียกเก็บคาใชน้ําและคาปรับจากผูเชา ทั้งสองอาคารนั้นไดอีก ตัวอยางที่สอง เพื่อใหเกิดความสมดุลระหวางคูสัญญาและเกิดผลความพอใจ ในการไดรับชําระหนี้ของคูสัญญาทุกฝาย ศาลฝรั่งเศสไดใชหลัก สุจริตเปนแนวทางวินิจฉัยวาคูกรณีมีหนาที่ใหความรวมมือกัน ในกรณีที่เปนสัญญาที่ไมสมดุล และในเวลาตอมา จึงไดมีการ แกไขเพิ่มเติมมาตรา ๑๑๓๔ วรรคสามแหงประมวลกฎหมาย แพงฝรั่งเศสเพื่อใหสอดคลองกับแนวทางดังกลาว ตัวอยางที่สาม ในกรณีที่มีเหตุการณใหมเกิดขึ้นในภายหลังที่ไมอาจคาดหมาย ไดในขณะทําสัญญา ศาลยุติธรรมสูงสุดของประเทศฝรั่งเศส ตัดสินโดยขยายความหลักสุจริตใหคูสัญญามีหนาที่เจรจากัน ใหมในกรณี clausula rebus sic stantibus ในคดี Huard และคดี Chevassus-Marche หลังจากที่ศาลฝรั่งเศสจํากัดที่ ใชของหลักการนี้เฉพาะในเรื่องกฎหมายปกครองเทานั้น แตไม ยอมปรับใชหลักการ clausula rebus sic stantibus ในเรื่อง ทางกฎหมายแพงมานานถึงเกือบ ๑๕๐ ป คดี Huard ในคดีน้ี ศาลตัดสินวาบริษัทน้ํามันมิไดกระทําการโดยสุจริตกับ คูสัญญาซึ่งเปนผูประกอบกิจการปมน้ํามัน ขอเท็จจริงปรากฏวา สัญญาระหวางบริษัทน้ํามันและประกอบกิจการปมน้ํามันมี กําหนด ๑๕ ป ตั้งแตป ๑๙๗๓ ถึงป ๑๙๘๘ ตอมาในป ๑๙๘๓ มีการประกาศลอยตัวราคาน้ํามันขายปลีก แตบริษทั น้ํามันไม ยอมเจรจาใหม ยังคงยืนยันใชหลักเกณฑเดิมตามที่กาํ หนดใน สัญญา เปนเหตุใหผูประกอบกิจการปมน้ํามันไดรับความ เสียหาย เนื่องจากไมอาจขายน้ํามันในราคาที่สามารถแขงขัน กับผูประกอบการรายอื่นได คดี Chevassus-Marche ในคดีนี้ ศาลตัดสินวา สัญญาระหวางผูผลิตสินคาโยเกิรต เบียร และน้ําแรเครื่องหมายการคาหนึ่งกับตัวแทน จําหนายไดกําหนดสิทธิและหนาที่ของคูสัญญาไว แต ตอมา เมื่อมีการประกาศใชบังคับกฎหมายการแขงขันทาง การคาโดยเสรี คูสัญญาฝายผูผลิตไดดําเนินการขายสินคา โดยตรงแกรานคาปลีก โดยไมเปดชองใหมีมาตรการเชิง รูปธรรมใหตัวแทนจําหนายซึ่งเปนคูสัญญามาแตเดิมมี ชองทางทําการคาโดยมีราคาที่สามารถแขงขันได หลักสุจริตทั่วไป ยังมีที่ใชครอบคลุมไปถึงกรณีตางๆ โดยทั่วไปทั้งระบบกฎหมาย ในตางประเทศ ใชหลักสุจริตเปนฐานของความรับผิดกอนสัญญา (pre- contract) เชน ประมวลกฎหมายแพงอิตาเลียน มาตรา ๑๓๓๗ ประมวล กฎหมายแพงโปรตุเกส มาตรา ๒๒๗ สวนในขณะที่ประเทศฝรั่งเศสยังไมมี บทบัญญัติเฉพาะแตศาลปรับใชหลักสุจริตใหจาย ๔ ลานแฟรงคแกบริษทั ที่ ลงทุนศึกษาเบื้องตนไปแลวแตกลับยุติการเจรจากลางคันโดยถือวาเปนความผิด ของผูไมสุจริต การใชสิทธิดําเนินกระบวนพิจารณาโดยไมสุจริต การใชสิทธิที่ขัดแยงกับการกระทํากอนๆ ของตน มีผลทําใหอาง สิทธิตามกฎหมายแพงบรรพตางๆ ไมได เชน บรรพ ๔ อางวาตนเปนเจาของ ทรัพยไมได ประมวลกฎหมายแพงเนเธอรแลนด ใชคาํ วา “ความซื่อสัตยและความเปน ธรรม” ฯลฯ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 1687/2551 ครบกําหนดชําระหนี้ที่เกิดจากการใชบัตรเครดิตวันที่ 6 พฤศจิกายน 2538 หลังจากนั้นไม ปรากฏวาธนาคารยอมใหจําเลยใชบัตรเครดิตอีก แสดงวาธนาคารกับจําเลยถือวาสัญญาที่ มีตอกันเปนอันสิ้นสุดลงในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2538 ธนาคารยอมบังคับสิทธิเรียกรองของ ตนไดตั้งแตวันที่ 7 พฤศจิกายน 2538 แตจําเลยนําเงินมาชําระใหธนาคารวันที่ 10 กรกฎาคม 2539 จํานวน 5,000 บาท อันเปนการรับสภาพหนี้ทําใหอายุความสะดุดหยุดลง และเริ่มนับอายุความใหมตั้งแตวันดังกลาว ซึ่งจะครบกําหนดอายุความ 2 ป ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2541 การที่ธนาคารนําเงินจํานวน 6.68 บาท จากบัญชีออมทรัพยของจําเลยมา หักชําระหนี้บัตรเครดิตเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2541 หลังจากจําเลยผิดนัดชําระหนี้ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2538 โดยปลอยเวลาใหผานไปถึง 2 ปเศษ และคิดดอกเบี้ยกับคาเบี้ยปรับ ชําระหนี้ลาชาตลอดมา นอกจากจะเปนการไมใชสิทธิของธนาคารตามขอตกลงในสัญญา แลว ยังเปนการกระทําที่แสดงใหเห็นวา ธนาคารอาศัยสิทธิที่มีอยูตามกฎหมาย เปนชองทางใหธนาคารไดรับประโยชนแตเพียงฝายเดียวโดยไดดอกเบี้ยและคา เบี้ยปรับชําระหนี้ลาชาระหวางนั้นและเพื่อใหอายุความสะดุดหยุดลง โดยไม คํานึงถึงความเสียหายที่คูสัญญาอีกฝายหนึ่งจะไดรับ ยอมเปนการใชสทิ ธิโดยไม สุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 5 จึงไมทําใหอายุความสะดุดหยุดลง เมื่อโจทกซึ่งเปนผูรบั โอนสิทธิจากธนาคารนําคดีมาฟองเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2543 จึงเกิน 2 ป นับแตวันที่เริ่ม นับอายุความใหมวันที่ 10 กรกฎาคม 2539 คดีโจทกจึงขาดอายุความ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 1687/2551 (คําอธิบาย) จําเลยนําบัตรเครดิตไปใชครั้งสุดทายเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2538 กําหนดชําระเงินวันที่ 6 พฤศจิกายน 2538 จําเลยนําเงินมาชําระหนี้ใหธนาคารเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2539 จํานวน 5,000 บาท แลวคางชําระหนี้ ธนาคารหักเงินจากบัญชีดังกลาวเพื่อชําระหนี้บัตรเครดิตของจําเลยเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2541 จํานวน 6.68 บาท และหักชําระหนี้ครั้งสุดทายเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2541 จํานวน 1,000 บาท แตไดเงินไมพอชําระหนี้ การที่ธนาคารนําเงินจํานวน 6.68 บาท จากบัญชีออมทรัพยของจําเลยมาหักชําระหนี้บัตรเครดิตเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2541 หลังจากจําเลยผิดนัดชําระหนี้ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2538 โดยปลอยเวลาใหผา นไปถึง 2 ปเศษ และคิดดอกเบี้ยกับคาเบี้ยปรับ ชําระหนี้ลาชาตลอดมา พฤติการณดังกลาวนอกจากจะเปนการไมใชสิทธิของธนาคารตามขอตกลงในสัญญา แลว ยังเปนการกระทําที่แสดงใหเห็นวา ธนาคารอาศัยสิทธิที่มีอยูตามกฎหมายเปนชองทางใหธนาคาร ไดรับประโยชนแตเพียงฝายเดียวโดยไดดอกเบี้ยและคาเบี้ยปรับชําระหนี้ลาชาระหวางนั้นและเพื่อใหอายุ ความสะดุดหยุดลง โดยไมคํานึงถึงความเสียหายที่คูสัญญาอีกฝายหนึ่งจะไดรับ เชนนีย้ อมเปนการใชสิทธิ โดยไมสุจริตตาม ปพพ. มาตรา 5 จึงไมทําใหอายุความสะดุดหยุดลง สวนที่จําเลยนําเงินมาชําระหนี้บางสวนโดยใหธนาคารหักเงินจากบัญชีครั้งสุดทายเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2541 จํานวน 1,000 บาท นั้น เปนการชําระหนี้ภายหลังจากสิทธิเรียกรองขาดอายุความแลว จึงเพียงแตทําใหลูกหนี้เรียกเงินคืนไมไดตาม ปพพ. มาตรา 193/28 วรรคหนึ่งเทานั้น ไมเปนการรับสภาพหนี้อันจะทําใหอายุความสะดุดหยุดลงตาม ปพพ. มาตรา 193/14 (1) เมื่อโจทกซึ่งเปนผูรับโอนสิทธิจากธนาคารนําคดีมาฟองเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2543 จึงเกิน 2 ป นับแต วันที่เริ่มนับอายุความใหมวันที่ 10 กรกฎาคม 2539 คดีโจทกจึงขาดอายุความ คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 5523/2550 แมตามหนังสือยินยอมมอบเงินฝากเปนประกันหนี้ของผูอื่นจะใหสิทธิแกโจทกท่ี จะหักเงินจากบัญชีเงินฝากของจําเลยที่ 2 และที่ 3 เพื่อชําระหนี้ไดตั้งแตวันที่ 22 พฤษภาคม 2540 ซึ่งเปนวันถัดจากวันที่ครบกําหนดตามสัญญากูยมื เงินก็ ตาม แตเหตุที่ไมมีการหักเงินจากเงินฝากของจําเลยที่ 2 และที่ 3 ตั้งแตเดือน พฤษภาคม 2540 เนื่องจากนาย ว. ซึ่งเปนบุตรของจําเลยที่ 2 และที่ 3 และ ขณะนั้นเปนผูจัดการธนาคารโจทก สาขาที่จําเลยทั้งสามทําสัญญากูและค้ํา ประกัน ไมยอมดําเนินการ เพราะนาย ว. ไมตองการใหจําเลยที่ 2 ซึ่งกําลังปวย อยูกระทบกระเทือนทางจิตใจ อันแสดงวาเหตุที่โจทกไมใชสิทธิหักเงินจากบัญชี เงินฝากของจําเลยที่ 2 และที่ 3 ตั้งแตวันถัดจากวันที่ครบกําหนดตามสัญญา กูยืมเงินนั้น มิใชเปนเรื่องที่โจทกเพิกเฉยปลอยเวลาใหลวงเลยไปโดยมิไดใชสิทธิ ตามกฎหมายที่มีอยูเพื่อใหโจทกไดรับประโยชนแตเพียงฝายเดียวโดยไมคํานึงถึง ความเสียหายที่ฝายจําเลยจะพึงไดรับ กรณีไมอาจถือไดวา การกระทําของโจทก เปนการใชสทิ ธิไมสุจริต คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 4310/2550 สัญญากูเงินที่โจทกและจําเลยทําไวตอกันมีขอตกลงเรื่องดอกเบี้ยระบุไวใน สัญญาขอ 1 และขอ 2 วรรคแรกระบุวา ผูกูยอมเสียดอกเบี้ยใหแกผูใหกูใน อัตรา เอ็ม.แอล.อาร. ตอป (ปจจุบนั รอยละ 13.75 ตอป) วรรคสอง ระบุวา หากภายหลังจากวันทําสัญญาผูใหกูไดเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย ผูกูยอมให ผูใหกูคิดดอกเบี้ยในจํานวนหนี้ที่ผูกูยังคางชําระหนี้อยูตามสัญญาตามที่ผูใหกู กําหนด แตไมเกินอัตราดอกเบี้ยสูงสุดตามประกาศธนาคารแหงประเทศไทยที่ กําหนดใหธนาคารพาณิชยเรียกเก็บจากลูกคา โดยเพียงแตผูใหกูแจงใหผูกู ทราบเทานั้น สวนสัญญาขอ 2 ระบุไวในยอหนาสุดทายวา ผูกูตกลงวาหากผูกู ผิดนัดชําระหนี้งวดใดงวดหนึ่งผูกูยินยอมใหผูใหกูคิดดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ย สูงสุดตามประกาศธนาคารแหงประเทศไทยที่กําหนดใหธนาคารพาณิชยเรียก เก็บจากลูกคาได โดยใหคิดดอกเบี้ยจากยอดหนี้ที่คงคางทั้งจํานวน ดังนี้ จึงเห็น ไดวา สัญญาขอ 1 เปนขอตกลงกําหนดอัตราดอกเบี้ยกอนผิดนัดโดยใชอตั รา เอ็ม.แอล.อาร. และใหสิทธิแกโจทกที่จะเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยที่กําหนดกัน ไวแตแรกได สวนสัญญาขอ 2 เปนเรื่องที่ใหโจทกมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราที่ สูงขึ้นในกรณีที่จําเลยผิดนัดซึ่งโจทกไดกลาวมาในคําฟองแลววาโจทกใชสิทธิคิด ดอกเบี้ยจากจําเลยกรณีผิดนัดในอัตรารอยละ 14.5 ตอป โดยถือวาจําเลยผิดนัด ตั้งแตวันที่ 2 ธันวาคม 2540 เปนตนมา คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 4310/2550 (ตอ) ตามสัญญากูเงินเพื่อที่อยูอาศัยขอ 2.1 กําหนดใหจําเลยมีหนาที่ตองผอนชําระ ตนเงินพรอมดอกเบี้ยใหแกโจทกเปนรายเดือนไมนอยกวาเดือนละ 5,300 บาท โดยตองชําระหนี้ใหเสร็จสิ้นภายในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2553 แมจะมีขอตกลง กําหนดไวในขอ 4 วาหากจําเลยผิดนัดในขอใดขอหนึ่งหรือสวนใดสวนหนึ่งของ สัญญาใหถือวาผิดนัดทั้งหมด และจําเลยยอมใหโจทกเรียกหนี้ทั้งหมดคืนได ทันทีก็ตามก็หาใชเปนการบังคับวาเมื่อจําเลยผิดนัดแลวโจทกจะตองฟองเรียก หนี้คืนจากจําเลยทันทีไม จึงเปนเรื่องที่โจทกผอนผันใหโอกาสแกจําเลยผอน ชําระหนี้ ไมอาจถือไดวาเปนการใชสิทธิโดยไมสุจริต ทั้งมิใชเปนกรณีที่ศาล ชั้นตนใชดุลพินจิ ลดอัตราดอกเบี้ยกรณีผิดนัด เพราะเห็นวาเปนเบี้ยปรับที่สูงเกิน สวน ดังนั้น เมื่อปรากฏตามสําเนาประกาศธนาคารแหงประเทศไทยและสําเนา ประกาศของโจทกวา ดอกเบี้ยอัตรารอยละ 14.5 ตอป ที่โจทกคิดจากจําเลย กรณีผิดนัดนับแตวันที่ 2 ธันวาคม 2540 เปนตนมานั้นไมสูงเกินกวาอัตรา ดอกเบี้ยสูงสุดที่โจทกประกาศกําหนดโดยอาศัยอํานาจตามประกาศธนาคารแหง ประเทศไทย โจทกจึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตรา ดังกลาว นับแตวันที่ 2 ธันวาคม 2540 ไดตามสัญญา คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 505/2551 ผูรอ งบรรยายคํารองวาที่ดินตามหนังสือรับรองการทําประโยชน (น.ส.3ก.) ที่โจทกนํายึดมิใชสินสมรสของจําเลย แตเปนสินสวนตัวของ ผูรอ งไดรบั มาจากบุพการี โจทกมิไดฟองผูรองดวยจึงไมมีอํานาจยึด ที่ดนิ พิพาท ขอใหปลอยทรัพยที่ยดึ ผูรอ งรูเห็นและยินยอมในการที่จําเลยนําที่ดินพิพาทไปเปนหลักประกัน ตัวผูตองหา เมื่อจําเลยผิดสัญญาประกันและศาลพิพากษาใหจําเลย ชําระหนี้ตามสัญญาประกันแตจําเลยไมชําระ โจทกมีอํานาจยึดที่ดิน พิพาทบังคับชําระหนี้ไดไมวาทรัพยพิพาทเปนสินสมรสหรือสินสวนตัว ผูรอ งจะอางวาที่ดินพิพาทเปนสินสวนตัวและจะใชสิทธิรองขอใหปลอย ที่ดนิ พิพาทหาไดไม ผูรองจึงไมมีอํานาจฟอง เพราะเปนการใชสิทธิโดย ไมสุจริตเปนการไมชอบดวย ปพพ. มาตรา 5 คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 137/2551 ผูรอ งฟองจําเลยเปนคดีแพงและทําสัญญาประนีประนอม ยอมความกันเพื่อจะใหผูรองเขามาขอเฉลี่ยทรัพย เปน การสมคบกับจําเลยเพื่อจะมิใหมีการนําเงินที่ไดจากการ ขายทอดตลาดทรัพยของจําเลยไปชําระหนี้ใหโจทก เปน การใชสิทธิโดยไมสุจริต ศาลยกคํารอง คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 4809/2548 สัญญาระหวางโจทกจําเลยไมมีขอกําหนดตอนใดที่แสดงวาคูสัญญาไดตกลงซื้อ หรือเชาซื้อทรัพยสินที่เชา และใหถือเอาคาเชาที่ชําระเปนสวนหนึ่งของราคา ทรัพยที่เชา รวมทั้งไมมีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพยสินที่เชาใหแกกันมา ตั้งแตเริ่มแรกดังสัญญาเชาซื้อ จึงเปนสัญญาเชาทรัพยแบบหนึ่ง มิใชเปนสัญญา เชาซื้อ สัญญาเชาทรัพยเปนสัญญาตางตอบแทนที่โจทกกับจําเลยที่ 1 ตกลงกันดวย ความสมัครใจใหขอกําหนดของสัญญาบางขอแตกตางไปจากบทบัญญัติของ กฎหมาย อันเปนการรักษาสิทธิและประโยชนของตนที่ชอบในเชิงธุรกิจ แมอาจ มีขอที่ไดเปรียบหรือเสียเปรียบกันบางและแตกตางไปจากบทบัญญัติของ กฎหมาย แตก็มใิ ชกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดี ของประชาชน สัญญาดังกลาวใชบังคับได คูสัญญาจึงตองผูกพันตามขอสัญญา นั้น การที่โจทกฟองบังคับจําเลยทั้งสามตามสัญญ?

Use Quizgecko on...
Browser
Browser