ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ PDF 2561

Summary

This document is a regulation from the National Anti-Corruption Commission of Thailand (NACC) regarding a committee to promote and support the participation of the public and government agencies in preventing and combating corruption. It covers areas such as responsibilities, duties, and qualifications of committee members.

Full Transcript

หนา้ ๔ เลม่ ๑๓๕ ตอนที่ ๖๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๑ ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ว่าด้วยคณะกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนและหน่วยงานของรัฐมีสว่ นร่วม ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต...

หนา้ ๔ เลม่ ๑๓๕ ตอนที่ ๖๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๑ ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ว่าด้วยคณะกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนและหน่วยงานของรัฐมีสว่ นร่วม ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 โดยที่เป็นการสมควรให้มีระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ว่าด้วยคณะกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนและหน่วยงานของรัฐมีส่วนร่วมในการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๓๓ และมาตรา 143 (7) ประกอบมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติจึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ว่าด้วยคณะกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนและหน่วยงานของรัฐมีส่วนร่วมในการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561” ข้อ 2 ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ข้อ ๓ ในระเบียบนี้ “คณะกรรมการ สปท.” หมายความว่า คณะกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชน และหน่วยงานของรัฐมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต “ประธานกรรมการ” หมายความว่า ประธานกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนและ หน่วยงานของรัฐมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต “กรรมการ” หมายความว่า กรรมการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนและหน่วยงานของรัฐ มีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ข้อ ๔ ให้ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติรักษาการตามระเบียบนี้ ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการบังคับใช้หรือการปฏิบัติตามระเบียบนี้ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอานาจตีความและวินิจฉัยชี้ขาด คาวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้เป็นที่สุด หมวด ๑ บททั่วไป ข้อ ๕ ให้คณะกรรมการ สปท. ประกอบด้วย (๑) ประธานกรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธาน (๒) กรรมการ ป.ป.ช. ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมายจานวนหนึ่งคน เป็นกรรมการ (3) เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. เป็นกรรมการ หนา้ ๕ เลม่ ๑๓๕ ตอนที่ ๖๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๑ (๔) ประธานกรรมการการอุดมศึกษา เป็นกรรมการ (๕) ผู้อานวยการสานักงบประมาณ เป็นกรรมการ (6) ผู้แทนจากภาคเอกชนและภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปราม การทุจริตจานวนไม่เกินสี่คน เป็นกรรมการ (7) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจานวนไม่เกินสามคน เป็นกรรมการ (8) เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นกรรมการและเลขานุการ ให้เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นผู้ช่วยเลขานุการไม่น้อยกว่าสองคน ข้อ ๖ ให้คณะกรรมการ สปท. มีหน้าที่และอานาจในการให้คาเสนอแนะ ช่วยเหลือ และ ร่วมมือกันดาเนินการกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในเรื่อง ดังต่อไปนี้ (๑) ส่งเสริมให้ประชาชนรวมตัวกันเพื่อมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้าน หรือชี้เบาะแส โดยได้รับความคุ้มครอง รวมทั้งจัดให้มีช่องทางการแจ้งข้อมูล เบาะแส หรือพยานหลักฐานสาหรับ การกระทาความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยช่องทางดังกล่ าวต้องมี วิธีการที่ง่าย สะดวก ไม่มีขั้น ตอนยุ่งยาก และไม่ก่อผลร้ายกับผู้แจ้งดังกล่าว รวมทั้งดาเนินการ เพื่อป้องกันการทุจริต ตลอดจนเสริมสร้างทัศนคติและค่านิยมเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริต (๒) ให้ ค วามช่ ว ยเหลื อ และสนั บ สนุ น หน่ ว ยงานของรั ฐ ในการจั ด ให้ มี ก ลไกการแจ้ ง เตื อ น กรณีพบว่ามีพฤติการณ์ที่ส่อว่าอาจมีการทุจริตในหน่วยงานของตน (๓) ส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับอันตรายของการทุจริต รวมถึงค่านิยมที่เน้นการพึ่งพาระบบอุปถัมภ์ในสังคม เพื่อให้เกิดการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ อย่างกว้างขวาง ในการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการ สปท. จะเชิญบุคคลหรือเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการ ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงหรือแสดงความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาก็ได้ ข้อ ๗ การประชุมของคณะกรรมการ สปท. ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ของจานวนกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ ในการประชุม ให้ประธานกรรมการมีหน้าที่และอานาจในการดาเนินการประชุม ถ้าประธานกรรมการ ไม่อยู่ในที่ประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติห น้ าที่ได้ ให้ที่ประชุมเลือกกรรมการหนึ่งคนทาหน้าที่ประธาน ในที่ประชุม การลงมติของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด ข้อ ๘ ให้คณะกรรมการ สปท. ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนเฉพาะเดือนที่มีการประชุม ในอัตรา ดังนี้ (๑) ประธานกรรมการ หนึ่งหมื่นบาท (๒) กรรมการ แปดพันบาท หนา้ ๖ เลม่ ๑๓๕ ตอนที่ ๖๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๑ (3) กรรมการและเลขานุการ แปดพันบาท (4) ผู้ช่วยเลขานุการ หนึ่งพันหกร้อยบาท ข้อ ๙ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบนี้ คณะกรรมการ สปท. อาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ หรือคณะบุคคลขึ้นเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ สปท. ด้วยก็ได้ ให้คณะอนุกรรมการหรือคณะบุคคลตามวรรคหนึ่งมีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมโดยให้สานักงาน ป.ป.ช. เบิกจ่ายเป็นรายครั้งตามระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการแต่งตั้ง คณะกรรมการ คณะบุคคล และเบี้ยประชุม หมวด ๒ คุณสมบัติและการสรรหากรรมการตามข้อ 5 (6) และ (7) ส่วนที่ ๑ คุณสมบัติของกรรมการตามข้อ 5 (6) และ (7) ข้อ ๑0 ผู้ซึ่งจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการตามข้อ 5 (6) ต้องเป็นผู้แทนจากภาคเอกชน ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่ไม่ใช่หน่วยงานภาครัฐโดยมีลักษณะของการดาเนินงานหรือกิจกรรมที่ เกี่ยวข้องกับ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต หรือเป็นผู้แทนจากภาคประชาสังคมที่เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มคน หรือประชาชนที่มีวัตถุประสงค์ร่วมกันในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และต้องมีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ ก. คุณสมบัติ (1) มีสัญชาติไทย (2) มีอายุไม่ต่ากว่ายี่สิบห้าปีบริบูรณ์ (3) สาเร็จการศึกษาไม่ต่ากว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า (4) มีสุขภาพที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (5) เป็ น ผู้ มี ค วามรู้ ความสามารถ ความเชี่ ย วชาญ และมี ผ ลงานเป็ น ที่ ป ระจั ก ษ์ และเป็นประโยชน์ในงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ข. ลักษณะต้องห้าม (1) เป็นคนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ คนวิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือน ไม่สมประกอบ (2) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช (3) เป็นข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นในหน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หนา้ ๗ เลม่ ๑๓๕ ตอนที่ ๖๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๑ (4) เป็นผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง หรือผู้ดารงตาแหน่งหน้าที่ใด ๆ ในพรรคการเมือง ยกเว้นสมาชิกพรรคการเมือง (5) เป็ น ผู้ บ ริ ห ารท้ อ งถิ่ น คณะผู้ บ ริ ห ารท้ อ งถิ่ น รองหรื อ ผู้ ช่ ว ยผู้ บ ริ ห ารท้ อ งถิ่ น สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือที่ปรึกษาหรือเลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น (6) เป็นผู้มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ (7) เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต (8) เป็ น คู่ สั ญ ญาหรื อ มี ส่ ว นได้ เ สี ย ในกิ จ การที่ เ ป็ น คู่ สั ญ ญาหรื อ มี ธุ ร กิ จ เกี่ ย วข้ อ งกั บ สานักงาน ป.ป.ช. ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม (9) ต้ อ งค าพิ พ ากษาให้ จ าคุ ก แม้ ค ดี นั้ น จะยั ง ไม่ ถึ ง ที่ สุ ด หรื อ มี ก ารรอการลงโทษ หรือเคยได้รับโทษจาคุกโดยคาพิพากษาอันถึงที่สุดให้จาคุก เว้นแต่ในความผิดที่ได้กระทาโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ (10) เคยต้องคาพิพากษาหรือคาสั่งของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ารวย ผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ (11) เคยถูกให้ออก ปลดออก หรือไล่ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือหน่วยงานเอกชน เพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง หรือถือว่ากระทาการทุจริตและประพฤติมิชอบ ในวงราชการ (12) เคยถูกวุฒิสภามีมติถอดถอนออกจากตาแหน่ง (13) เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตหรือถูกลงโทษเนื่องจากประพฤติผิดจรรยาบรรณในวิชาชีพ กรณีเป็นผู้ประกอบวิชาชีพที่มีองค์กรควบคุมวิชาชีพ ข้อ ๑1 ผู้ซึ่งจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการตามข้อ 5 (7) ต้องมีคุณสมบัติ และไม่มี ลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ ก. คุณสมบัติ (1) มีสัญชาติไทย (2) มีอายุไม่ต่ากว่าสี่สิบห้าปีบริบูรณ์ (3) สาเร็จการศึกษาไม่ต่ากว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า (4) มีสุขภาพที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (5) เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์และเป็นประโยชน์ ในงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ข. ลักษณะต้องห้าม (1) เป็นหรือเคยเป็นข้าราชการการเมือง ผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือกรรมการหรือที่ปรึกษาของพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง หนา้ ๘ เลม่ ๑๓๕ ตอนที่ ๖๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๑ หรือผู้ดารงตาแหน่งหน้าที่ใด ๆ ในพรรคการเมือง ยกเว้นสมาชิกพรรคการเมือง เว้นแต่ จะได้พ้นจาก ตาแหน่งดังกล่าวไม่น้อยกว่าสิบปี (2) ลักษณะตามข้อ 10 ข. เว้นแต่ (๓) และ (๔) ข้อ ๑2 กรรมการตามข้อ 5 (6) และ (7) พ้นจากตาแหน่งเมื่อ (๑) ครบวาระการดารงตาแหน่ง (๒) ตาย (๓) ลาออก (๔) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามข้อ ๑0 และข้อ ๑1 (5) คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้พ้นจากตาแหน่งเพราะบกพร่องต่อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสีย ฝ่าฝืนจริยธรรมหรือศีลธรรมอันดี หรือหย่อนความสามารถ ส่วนที่ ๒ การสรรหากรรมการตามข้อ 5 (6) และ (7) ข้อ ๑3 ให้ สานั กงาน ป.ป.ช. จัด ทาประกาศรับสมัครบุคคลที่ประสงค์จะเป็นกรรมการ ตามข้อ 5 (6) โดยให้ผู้ที่ประสงค์จะสมัครเข้ารับการคัดเลือกยื่นใบสมัครและเอกสารต่าง ๆ ตามที่ สานักงาน ป.ป.ช. กาหนด ผู้สมัครเป็นกรรมการตามวรรคหนึ่งให้มีหนังสือรับรองหรือได้รับความเห็นชอบจากองค์กร ภาคเอกชนหรือภาคประชาสังคมที่มีคุณสมบัติ ดังนี้ (๑) เป็นองค์กรที่ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ทางการเมือง (๒) เป็นองค์กรที่ไม่ได้กอ่ ตั้งโดยผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง หรือ ผู้ดารงตาแหน่ง หน้าที่ใด ๆ ในพรรคการเมือง ยกเว้นสมาชิกพรรคการเมือง (๓) เป็นองค์กรที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเมือง (๔) เป็นองค์กรที่ได้ขึ้นทะเบียนกับสานักงาน ป.ป.ช. หรือสานักงาน ป.ป.ท. ข้อ ๑4 ให้ประธานกรรมการ ป.ป.ช. และกรรมการ ป.ป.ช. เสนอชื่อ บุคคลผู้ที่เหมาะสม เป็นกรรมการตามข้อ 5 (7) ซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามข้อ ๑1 โดยได้รับความยินยอม เป็นลายลักษณ์อักษรจากบุคคลดังกล่าว ต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ข้อ ๑5 ในการคัดเลือกกรรมการตามข้อ 5 (6) และ (7) ให้สานักงาน ป.ป.ช. ดาเนินการ ดังต่อไปนี้ (1) ตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อตามข้อ 10 และข้อ 11 (2) จั ด ท าทะเบี ย นบั ญ ชี ร ายชื่ อ ประวั ติ และผลงานโดยย่ อ ของผู้ ที่ ไ ด้ รั บ การเสนอชื่ อ พร้อมทั้งทาความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หนา้ ๙ เลม่ ๑๓๕ ตอนที่ ๖๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๑ ข้อ ๑6 ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เลือกผู้ที่เหมาะสมเป็นกรรมการตามข้อ 5 (6) จานวน ไม่เกินสี่คน และกรรมการตามข้อ 5 (7) จานวนไม่เกินสามคน จากบัญชีรายชื่อตามข้อ ๑5 (2) ข้อ 17 ให้สานักงาน ป.ป.ช. จัดทาคาสั่งแต่งตั้งผู้ได้รับการคัดเลือกเป็นกรรมการตามข้อ 5 (6) และ (7) เสนอต่อประธานกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อลงนามในคาสั่งแต่งตั้ง และแจ้งผลการคัดเลือก และแต่งตั้งให้ผู้นั้นทราบด้วย พร้อมทั้งประกาศเผยแพร่ไว้ ณ ที่ทาการ และเว็บไซต์ของสานักงาน ป.ป.ช. ด้วย ข้อ 18 ให้กรรมการตามข้อ 5 (6) และ (7) มีวาระการดารงตาแหน่งคราวละสามปี ในกรณีที่กรรมการตามวรรคหนึ่งพ้นจากตาแหน่งด้วยเหตุอื่นนอกจากการพ้นตาแหน่งตามวาระ แต่ยังไม่ได้มีการแต่งตั้งใหม่ ให้กรรมการที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป เว้นแต่มีกรรมการเหลืออยู่ไม่ถึง กึ่งหนึ่งของจานวนกรรมการทั้งหมด ทั้งนี้ ต้องมีกรรมการตามข้อ 5 (6) เหลืออยู่อย่างน้อยหนึ่งคน และข้อ ๕ (7) เหลืออยู่อย่างน้อยหนึ่งคนด้วย ข้อ 19 ในกรณี ที่ ก รรมการตามข้อ 5 (6) และ (7) พ้ น จากต าแหน่ งก่ อนครบวาระ ให้สานักงาน ป.ป.ช. ดาเนินการตามข้อ ๑3 หรือข้อ ๑4 แล้วแต่กรณี ภายในสามสิบวันนับแต่ วันพ้นจากตาแหน่ง เพื่อเสนอชื่อให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่งตั้งเป็นกรรมการแทนตาแหน่งที่ว่างลง ข้อ ๒0 ให้ ก รรมการตามข้ อ 5 (6) และ (7) ซึ่ ง ได้ รั บ แต่ ง ตั้ ง แทนต าแหน่ ง ที่ ว่ า ง มีวาระการดารงตาแหน่งเท่ากับเวลาที่เหลืออยู่ของตาแหน่งที่ว่างลงนั้น ประกาศ ณ วันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ พลตารวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

Use Quizgecko on...
Browser
Browser