Analog Communications บทที่ 2 PDF
Document Details

Uploaded by EffusiveLiberty1418
Tags
Summary
เอกสารนี้กล่าวถึงการสื่อสารในระบบอนาลอก (Analog Communications) โดยเน้นที่การมอดูเลตสัญญาณ (signal modulation) เพื่อส่งสัญญาณได้ไกลและมีปริมาณมากขึ้น มีการอธิบายถึงการผสมสัญญาณที่ต้องการส่งเข้ากับสัญญาณพาหะ (carrier) และผลที่เกิดขึ้นกับการย้ายความถี่ของสัญญาณ
Full Transcript
- 37 - บทที่ 2 การสื่อสารในระบบอนาลอก (Analog communications) การสื่อสารโดยใช สัญญาณอนาลอกนัน้ มีวิธีการที่จะทําให สงสัญญาณไดระยะทางไกลและสงไดปริมาณ มากขึ้น ดวยการมอดูเลตสัญญาณ (signal modulation)...
- 37 - บทที่ 2 การสื่อสารในระบบอนาลอก (Analog communications) การสื่อสารโดยใช สัญญาณอนาลอกนัน้ มีวิธีการที่จะทําให สงสัญญาณไดระยะทางไกลและสงไดปริมาณ มากขึ้น ดวยการมอดูเลตสัญญาณ (signal modulation) คือการผสมสัญญาณทีต่ องการสงเขากับสัญญาณพาหะ (carrier) มี ผลใหสัญญาณที่ ผสมแลวมี สเปกตรัมความถี่ อยูที่ความถี่ พาหะการมอดูเลตจึงเปน การยายความถี่ ของสัญญาณให ไปอยู ที่ความถีพ่ าหะซึง่ ทําใหไดชองสัญญาณเพิ่มขึน้ คือ ถาสงสัญญาณไปโดยไม มอดูเลตจะสงไป ได สัญญาณเดียวในแต ละเวลา เนื่องจากสัญญาณมี สเปกตรัมความถี่ชวงเดียวกัน แตเมื่อมอดูเลตสัญญาณให ปอ ยูที่ ความถี่พาหะที่ ตางกันก็ สามารถสงไปได พร อมกันโดยไมรบกวนกัน ตัวอยางเชน สถานีวทิ ยุ กระจายเสียงตางๆ เปนตน นอกจากเพิ่มจํานวนชองของสัญญาณแลว การมอดูเลตโดยใชคลื่นพาหะที่สงู ขึ้นทําใหไดขนาดของ ชองสัญญาณที่กวางขึ้นเนื่องจากวงจรฟลเตอร ที่ใช ในการเลือกสัญญาณไมไดเปนแบบอุดมคติคาแบนดวิดทจะมี ความสัมพันธกันคา Q ของวงจรคือ B=f/Q0 เปน 3-dB bandwidth f0 เปนความถี่ กลางของฟลเตอร ในวงจรทีด่ ี เราก็ตองการคา Q สูงเพื่อความสามารถในการและความถี่ (selectivity) ทีดีการที่ จะได แบนดวิดท ที่ สูงขึ้นดวยจึง จําเปนตองใช ที่ ความถี่สงู f0 โดยปกติคาแบนดวิดทที่ใชกันคือประมาณ 10% ของความถี่ f0 หรือความถี่ พาหะ อีก เหตุผลหนึ่ งของการมอดูเลตสัญญาณคือทําให การสื่อสารโดยใช คลื่นแมเหล็ กไฟฟาผานอากาศสามารถทําไดอยาง มีประสิทธิภาพเมื่อขนาดของสายอากาศใกล เคี ยงกับความยาวคลื่น นั่นคือสามารถลดขนาดของสายอากาศไดเมื่อ ใช ความถี่สูงขึ้น พิจารณาสัญญาณแบบซายนซึ่งสามารถเขียนในรูปทั่วไปไดดังสมการ 2.1 [2.1] เมื่อ Ac ωc ϕ c เปนขนาดความถี่เชิงมุมและมุมเฟสของพาหะตามลําดับการทีจ่ ะใชพาหะในการสงสัญญาณทําได โดยให พาหะมี การเปลี่ยนแปลงตามสัญญาณที่ ตองการสงนัน้ แบงออกเปนสองกลุมคือการเปลีย่ น ขนาด Ac ให แปรตามสัญญาณที่ตองการสง เปนการมอดูเลตเชิงเสน (linear modulation) เรียกวา amplitude modulation สวน การเปลี่ยน θ c ตามสัญญาณที่ ตองการสงนัน้ เปนการมอดูเลตเชิงมุม (angle modulation) แต การเปลี่ยน θ c นัน้ ทําไดสองแบบคือ การเปลี่ยนความถี่ เชิงมุมของพาหะ ( ωc ) จะเรียกวา frequency modulation และการเปลี่ยนมุม เฟสของพาหะ ( ϕ c ) เรียกวา phase modulation การเปลี่ยนแปลงคาตางๆ ของพาหะดังกลาวทําใหทางดานรับ ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงนัน้ ได เปนสัญญาณที่ตองการสงมาได 2.1 การมอดูเลตเชิงเสน (Linear modulations) ในการมอดูเลตโดยขนาดนัน้ เฟสของสัญญาณพาหะจะเปนศูนย หรือคงที่ ในขณะที่ ขนาดจะเปลี่ยนตามสัญญาณ เขา เขียนเปนสมการได ดังนี้ [2.2] - 38 - x (t) เปนสัญญาณที่ ตองการมอดูเลต cosωct เปนพาหะ xc ( t ) เปนสัญญาณที่มอดูเลตแลวเมื่อทําฟูเรียรทรานส ฟอรม xc ( t ) จะได [2.3] รูปสัญญาณและสเปกตรัมแสดงในรูปที่ 3.1 รูปที่ 2.1 รูปสัญญาณทางเวลาและทางความถี่ของสัญญาณที่มอดูเลต จะเห็นวาสัญญาณเดิมมีความถี่ใกลศนู ยมีแบนดวิดท W เรียกวาเปนสัญญาณเบสแบนด (baseband) เมื่อ มอดูเลตแลวจะมี ความถี่ รอบๆ ωc และ - ωc โดยสัญญาณสวนที่ เปนความถี่ ลบเดิมจะปรากฏในความถีบ่ วกดวย ทําให แบนดวดิ ท ของสัญญาณเปน 2W เรียกวาเปน double sideband โดยสวนกวาง W ที่ อยูทคี่ วามถี่ สูงกวา ωc จะเรียกวาเปน upper sideband และสวนที่อยูท ี่ความถีต่ ํ่ากวา ωc เรียกวา lower sideband ในการใช งานสามารถ จะสงสัญญาณไปไดหลายลักษณะโดยสามารถนําสัญญาณเดิมกลับคืนมาได ไดแก 1. Double Sideband Large Carrier,DSB-LC หรือสัญญาณ AM ที่ ใช ในวิทยุกระจายเสียงจะสงทัง้ สอง sideband รวมทั้งเฉพาะพาหะไปดวยเพื่อใหเครื่องรับงายแกการนําสัญญาณเดิมกลับคืนมา 2. Double Sideband Suppressed Carrier, DSB-SC สงทั้งสอง sideband เหมือน AM แต ไมสงพาหะไป ดวยเนื่องจากจะ สูญเสียกําลังมากในการสงเฉพาะพาหะไปดวยแตก็จะยุงยากในการนําสัญญาณกลับคืนมามักจะ ใชกับวิทยุเคลือ่ นที่ ที่เรื่องกําลังเปนเรื่องสําคัญ - 39 - 3. Single Sideband, SSB จะสง sideband เดียวแตไดสัญญาณครบถวนและทําใหแบนดวิดทตํ่าเหมาะแก การสงในชวงความถีท่ ี่มี การใชงานหนาแนน 4. Vestigial Sideband, VSB เปนการสง sideband หนึง่ รวมกับบางสวนของอีก sideband ไปดวย เพื่อจะ ไดสวนสัญญาณที่ ความถี่ตาํ่ และเปนการลดกําลังของพาหะดวยจะใช ในการสงสัญญาณโทรทัศนที่สัญญาณ ความถี่ตาํ่ มีความสําคัญ 2.1.1 การมอดูเลตแบบ AM (DSB-LC) สัญญาณของการมอดูเลตแบบ AM นี้ สามารถเขียนไดตามสมการ [2.4] ซึ่งเมื่อนําไปหาความหนาแนนสเปกตรัมของสัญญาณ AM จะได เปน [2.5] รูปสัญญาณและความหนาแนนสเปกตรัมแสดงในรูปที่ 2.2 จากสมการจะเห็นวาสัญญาณ AM จะประกอบดวย สัญญาณ DSB คือ x ( t ) cosωct และสวนพาหะ Acosωct ปรากฏเปนอิมพัลสที่ความถี่ ωc ในสเปกตรัม รูปที่ 2.2 สัญญาณ DSB-LC (AM) ทางเวลาและความถี่ จากสมการ 2.4 เขียนใหม ได เปน [2.6] - 40 - ขนาดของสัญญาณ AM เปนผลรวมของขนาดสัญญาณ DSB-SC กับขนาดของพาหะซึง่ เปลี่ยนไปตามสัญญาณที่ นํามามอดูเลตเมื่อใหขนาดของพาหะคงที่ จึงเห็นเหมือนกับสัญญาณที่ ขี่ อยู บนพาหะ เปนลักษณะที่ เรียกวา envelope ดังรูปที่ 2.3 เมื่อขนาดของสัญญาณ DSB-SC มี คาสูงขึ้นมากกวาขนาดของพาหะจะทําให เกิดการเพี้ยน ของสัญญาณได แฟคเตอรที่จะบอกอัตราสวนของขนาดทั้งสองเรียกวาmodulation index, m ซึ่งนิยามเปนอัตราสวน ระหวาง peak ของ DSB-SC ตอ peak ของพาหะ [2.7] รูปที่ 2.3 สัญญาณ DSB-LC แสดงใหเห็นเมื่อสัญญาณที่เขามามอดูเลตมีขนาดสูงกวาพาหะในกรณีสัญญาณที่ นํามามอดูเลตเปนสัญญาณเสียงความถีเ่ ดียว (one tone) คือ cosω mt สัญญาณ AM ไดเปน [2.8] ผลของการมอดูเลตดวย m คาตางๆ แสดงในรูปที่ 3.4 โดยทั่วไปก็จะนิยามเปน percent of modulation สําหรับ DSB-LC เปน [2.9] - 41 - รูปที่ 2.4 สัญญาณ AM ที่ มอดูเลตดวยดั ชนี มอดูเลตตางกัน 2.1.1.1 กําลังของพาหะและกําลังของ sideband ใน AM สัญญาณ AM นัน้ จะมีสว นที่เปนเฉพาะ พาหะโดยไมมขี าวสารใดๆ ที่ เกี่ยวของกับ x(t) อยู ดวยสวนนี้เปนการสูญเสียกําลังโดยไมไดใชในการสงสัญญาณใดๆ แตก็ตองยอมเสียในกรณีที่ตอ งการใหเครื่องรับงายแกการสรางและทําใหมีราคาถูกไดพิจารณาสัญญาณ AM จาก สมการ 2.4 เมื่อผานโหลด 1 โอหม กําลัง เฉลี่ยไดจากคากําลังสองเฉลี่ ย [2.10] โดยทัว่ ไปแลว x (t) จะเปลี่ยนแปลงชามากเมื่อเทียบกับ ωct คาเฉลี่ ยของ x(t) เทากับศูนยทําให ได [2.11] ถาใหกําลังทัง้ หมดเปน Pt สามารถเขียนในรูปผลบวกของกําลังพาหะ Pc และกําลังของ sideband Ps [2.12] อัตราสวนกําลังใน sideband กับกําลังทัง้ หมดจะได [2.13] เมื่อลองนําไปพิจารณาการมอดูเลตสัญญาณความถี่เดียวทีม่ ี modulation index (m) จะไดวา - 42 - [2.14] คา μ บอกประสิทธิภาพในการสงในกรณีนี้ m มีคานอยกวาหรือเทากับ 1 ประสิทธิภาพที่ดที ี่สุดของ AM คือ 33% ที่ m=1 กลาวคือกําลังใน sideband เปนสวนที่ ใช สําหรับสงขาวสารมี คาเพี ยง 33% ของกําลังที่สง ไปทั้งหมด 2.1.2 การมอดูเลตแบบ DSB-SC สัญญาณที่ มอดูเลตแบบ DSB-SC นี้ เขียนได ดังสมการที่ 3.15 เปนการมอดูเลตแบบ AM โดยที่ [2.15] ไมสงสัญญาณพาหะไปดวยจึงมีแตสวนที่เปน sideband กําลังทั้งหมดจึงอยูใน sideband ประสิทธิภาพจะเทากับ 100% เปนการประหยัดพลังงานในการสงเนื่องจากกําลังที่สงไปถูกใช ไปใน sideband บรรจุขาวสารอยูแตการที่ไม สงพาหะไปดวยทําใหทางเครื่องรับมีความยุงยากในการรับอาจเกิดการผิดเพี้ยนของสัญญาณ และเมื่อวงจรจะยุงยาก ก็ทําให มี ราคาแพงขึน้ เพื่อใหการรับงายขึน้ และไมใหเกิดการผิดเพี้ยนของสัญญาณโดยที่กาํ ลังสูญเสียในเครื่องสง ไมมากนักก็จะเพิ่มความถี่ทเี่ หมือนพาหะขนาดเล็กๆ สงไปดวยเรียกวา pilot carrier ทางเครื่องรับสามารถสราง สัญญาณพาหะขึ้นไดจาก pilot carrier นี้ เพื่อใชในการดีเทคสัญญาณทําใหเครื่องรับสรางงายขึน้ และไมเกิดการ เพี้ยนของสัญญาณในขณะที่เครื่องสงก็ประหยัดพลังงาน โดยที่ประสิทธิภาพจะลดลงเพียงเล็กนอย 2.1.3 การมอดูเลตแบบ SSB ในการมอดูเลตแบบ DSB สัญญาณที่มอดูเลตแลวจะถูกสงไปทัง้ สอง sideband มีแบนดวิดทเปนสองเทาของแบนด วิดทของสัญญาณเดิมทําใหเสียชวงความถี่ไปมากในชวงความถีท่ ี่มคี วามตองการสงสัญญาณมากชองสัญญาณการ ลดแบนดวิดทจึงเปนเรื่องสําคัญการสงดวย sideband เดียวและไดขาวสารครบถวนจึงเปนทางออกในกรณี นี้ เรียก การมอดูเลตแบบนี้วา single sideband ,SSB พิจารณารูปที่ 2.5 จะเห็นวาการสงสัญญาณไปเฉพาะ sideband เดียวไมวา จะเปน upper หรือ lower sideband ก็ตามสามารถที่จะได สัญญาณเดิมกลับคืนมาในขั้นตอนการดีมอดู เลตเชนเดียวกัน - 43 - รูปที่ 2.5 สเปกตรัมของสัญญาณ SSB แตปญหาก็คือการที่จะไดสัญญาณเฉพาะ side band เดียวเพื่อจะสงไปนั้นปกติกจ็ ะสรางสัญญาณ DSB กอนแลวใชฟล เตอร ตัดเอาเฉพาะ sideband เดียว ฟลเตอรที่ใชจะตองมีการตัดความถี่ ที่คมมากเพื่อจะตัด sideband หนึง่ ออกไปในขณะที่ ตองรักษาขอมูลใน sideband ที่ ตองการไวได ครบถวนคือลักษณะของฟลเตอร ในอดุมคตินั่นเองในทางปฏิบัติสําหรับกรณีของการสงสัญญาณเสียงนัน้ ชวงความถี่ ตํ่ามากใกลความถี่ 0 ของ สัญญาณเสียงหรือรอบๆ ความถี่ ωc สําหรับสัญญาณที่ มอดูเลตแลวจะไมคอยมีความสําคัญนักสามารถตัดทิง้ ไปได โดยที่ยงั สามารถรับรูขอความได ฟลเตอร ในทางปฏิบัติ จึงถูกนํามาใชได ดังแสดงในรูปที่ 2.6 รูปที่ 2.6 SSB modulator ใช การกรองสวน upper sideband - 44 - 2.1.4 การมอดูเลตแบบ VSB ในการมอดูเลตสัญญาณแบบ SSB นั้นการที่จะทําใหมีแบนดวิดทกวางนัน้ ทําไดยากเนื่องจากฟลเตอร ตองมี ความคมมาก และในกรณี ที่ ตองการสงสัญญาณความถี่ ตํ่าไปดวยนัน้ การมอดูเลตแบบ vestigial sideband นีจ้ ะ เปนวิธีที่ประนีประนอมระหวาง DSB กับ SSB จะมี sideband หนึ่ งกับอีกบางสวนของอีก sideband ดวยสวนที่เปน ความถี่ตาํ่ จึงถูกสงไปไดทรานสเฟอรฟง กชนั ของฟลเตอรที่ใช รูปที่ 2.7 ทรานสเฟอร ฟ งก ชั นของวงจรกรองสําหรับ VSB สัญญาณ VSB จะมีรูปสมการเปน [2.16] เปนการนําสัญญาณ DSB ผานฟลเตอรที่มีทรานสเฟอรฟงกชนั เปน Hv (ω ) ซึ่งอาจมีสว นของพาหะเชนเดียวกับใน AM หรืออาจไมjมีพาหะสงไปดวยดังใน DSB-SC การมอดูเลตแบบนี้ใชในการสงสัญญาณวิดีโอของสถานีโทรทัศน สเปกตรัมของสัญญาณโทรทัศนแสดงในรูปที่ 2.8 รูปที่ 2.8 สเปกตรัมของสัญญาณโทรทัศน 2.1.5 การสรางสัญญาณมอดูเลตเชิงขนาด จะเห็นวาสัญญาณมอดูเลตเชิงขนาดนัน้ เปนการคูณกันระหวางสัญญาณที่ตองการมอดูเลตกับพาหะ ซึ่ง วิธีการที่ จะได สัญญาณมอดูเลตเชิงขนาดออกมานัน้ อาจแบงออกเปน 3 แบบ คือ 1. มอดูเลตแบบผลคูณ (Product modulation) - 45 - 2. มอดูเลตโดยใช คุ ณสมบั ติ ความไม เปนเชิงเสนของอุปกรณ 3. มอดูเลเตอร แบบสวิตชิง (Switching modulator,chopper modulator) 2.1.5.1 มอดูเลตแบบผลคูณ (Product modulation) เปนวงจรคูณสัญญาณระหวางสัญญาณที่ ตองการ มอดูเลตกับพาหะ ดังแสดงในรูปที่ 2.9 เปนการสรางสัญญาณ DSB-LC ถาเปน DSBSCก็เพี ยงแต ไม ตองมี ขั้นตอน การบวกพาหะเทานัน้ ในรายละเอียดวงจรนั้นแลวแตวา จะใช อุปกรณ ใดเปนวงจรคูณสัญญาณนี้ รูปที่ 2.9 บล อกไดอะแกรมการสรางสัญญาณ DSB-LC 2.1.5.2 มอดูเลตโดยใชคณ ุ สมบัติความไมเปนเชิงเสนของอุปกรณในอุปกรณ เชน ไดโอดจะมี ความ ไม เปนเชิงเสนระหวางคาเขากับคาออก คือคาออกอาจเปนดังสมการ [2.17] เมื่อใหสัญญาณขาเขาเป x(t ) + cos ωct เปนระบบเชิงเสนควรจะได สัญญาณออก xo (t ) = a1 x(t ) + a1 cos ωct แต เนื่องจากความไมเปนเชิงเสนจึงทําให ได เทอมกําลังสองออกมาดวย บางครั้ งจึงเรียก การมอดูเลตแบบนี้วา การมอ ดูเลตแบบกฎกําลังสอง (square law modulation) คือ [2.18] ในเทอมสุดทายก็คือสัญญาณ DSB-LC หรือ AM สั ญญญาณ AM นี้ จะถูกแยกออกมาโดยการใช ฟลเตอรในชวง ωc วงจรแสดงในรูป 2.10 สัญญาณตกครอม R คือสัญญาณตามสมการ 2.18 เมื่อผานฟลเตอรแลวก็จะไดสัญญาณ ที่ มอดูเลตแลวแบบ DSB-LC รูปที่ 2.10 วงจรกรองสําหรับสัญญาณ AM - 46 - สําหรับการมอดูเลตแบบ DSB-SC ดวยวิธนี ี้ ทําได โดยการใช วงจรลักษณะนี้ สองวงจรให สัญญาณเขา กลับกัน แลวนําสัญญาณออกมารวมกันก็ จะได สัญญาณ DSB-SC ดังไดอะแกรมในรูปที่ 2.11 และวงจร ในรูปที่ 2.12 เรียก วงจรมอดูเลตแบบนี้วา บาลานซมอดูเลเตอร (balance modulator) รูปที่ 2.11 การสรางสัญญาณ DSB-SC จาก AM รูปที่ 2.12 วงจรบาลานซ มอดูเลตเตอร ที่ ใช อุปกรณ ไมเปนเชิงเสน 2.1.5.3 มอดูเลเตอรแบบสวิตชิง (Switching modulator, chopper modulator) จากวิธีการมอดูเลตที่ ได กลาวไปแลว สัญญาณที่ มอดูเลตแลวยั งมี ขนาดตํ่าตองมี การขยายสัญญาณให สูงขึ้น เมื่อตองการกําลังสงสูงๆ เชน ในสถานี สง แต การใชวงจรขยายกําลังสูงที่ความถีส่ ูงนี้ อาจทําให เกิดการเพี้ยนของสัญญาณ เนื่องจากความไม เปนเชิงเสนของวงจรขยาย มี ผลทําให เกิดความถี่ ที่ ไม ตองการไปปรากฏนอกแถบความถี่ ที่ ใช งาน เปนการ รบกวนระบบหรือสถานี อื่นได การมอดูเลตแบบสวิตชิงนี้ สัญญาณที่ ตองการมอดูเลตจะถูกขยายให มี กําลังสูงกอน แลวจึงถูกตัด-ตอ (switch, chop) ใหเปนพัลสสี่เหลี่ยมดวยความถีพ่ าหะ แลวจึงผานฟลเตอร ก ็จะได ส ัญญาณท ี่ มอดูเลตแลวมีกําลังสูงตามตองการดังวงจรแสดงในรูปที2่.13 - 47 - รูปที่ 2.13 วงจรมอดู เลเตอร สัญญาณ DSB แบบ chopper ที่ ใช สวิ ตซ แมเหล็ก และใช ไดโอดเปนสวิตซ และถาเปนสัญญาณ AM ทําได โดยการบวกแรงดั น DC ไปกอนที่ จะทําการตั ด-ตอสัญญาณ ดังรูปที่ 2.14 รูปที่ 2.14 วงจรมอดูเลตเตอร สัญญาณ AM แบบ chopper สําหรับสัญญาณ SSB และ VSB นั้นสรางได จากสัญญาณ DSB-SC หรือ DSB-LC โดยใชฟลเตอร กรอง เอาเฉพาะ sideband ที่ ตองการใน SSB ก็ จะเอาเฉพาะ sideband เดียวสําหรับ VSB ก็จะใชฟลเตอร ที่ มี ทรานส เฟอรฟงกชั น HV (ω ) ถาสรางจากสัญญาณ DSB-SC ก็ จะไม มี สวนของพาหะ แต ถาสรางจากสัญญาณ DSB- LC ก็ จะมี สวนของพาหะอยู ดวย ทางเครื่องรับก็ จะได สัญญาณกลับคืนมางายขึ้นดังที่ ใช กันในการสงสัญญาณ โทรทั ศน โดยทั่วไป นอกจากการสรางโดยใช สัญญาณ DSB แลวฟลเตอร เอาเฉพาะ sideband เดียวแลว สัญญาณ SSB ยั งสามารถสรางได จากวิธีการเลื่ อนเฟสของสัญญาณ ดังแสดงในรูปที่ 2.15 - 48 - รูปที่ 2.15 การสรางสัญญาณ SSB โดยวิธีเลื่อนเฟส 2.1.6 การดีมอดูเลตสัญญาณเชิงขนาด (Amplitude demodulations) ขบวนการที่ไดสัญญาณเดิมกลับคืนมาจากสัญญาณที่ มอดูเลตเชิงขนาดนั้นทําได 2 แบบ คือ เอ็นเวลโลปดี เทคชัน (envelope detection) และ ซิงโครนัสดีเทคชัน (synchronous detection) 2.1.6.1 เอ็นเวลโลปดีเทคชันเปนการกรองเอาเอ็นเวลโลปของสัญญาณ AM เปนวิธที งี่ ายและสะดวก ในการ สรางวงจรมากดังแสดงในรูปที่ 2.16 สัญญาณที่ มอดูเลตแลวคือสัญญาณ RF เมื่อผานไดโอดแลวจะถูกตั ดเหลื อเฉพาะสวนที่ เปนบวกเมื่อผานวงจร RC ทําหน าที่ เปนฟลเตอร แบบความถี่ ตํ่าผานสัญญาณที่ ได ก็ จะเปน สัญญาณ baseband โดยที่ RC ตองมี คาเหมาะสม การดีเทคสัญญาณแบบนี้ ใชได กับการมอดูเลตแบบที่ สงพาหะ มาดวยเทานัน้ คือ DSB-LC หรือสัญญาณ AM รูปที่ 2.16 เอ็ นเวลโลปดีเทคเตอร 2.1.6.2 ซิงโครนัสดีเทคชัน ถาไมไดสงพาหะมากับสัญญาณ RF ดวยการจะได สัญญาณเดิมกลับคืนมาตอง ใช การคูณสัญญาณเพื่อใหไดสัญญาณเบสแบนดขบวนการนี้ คล ายกับการมอดูเลตสัญญาณอีกครั้ ง คือเมื่อคูณ สัญญาณที่ มอดูเลตแลวดวยพาหะจะทําให เกิดการยายความถี่ ไปดังสมการเมื่อสัญญาณ DSB-SC ถูกคูณดวย ความถี่ Wc - 49 - [2.19] ทําฟูเรียรทรานสฟอรมจะได [2.20] นั่นคือจะได X (ω ) คืนมา สวนสองเทอมหลั งมี ความถี่ อยู รอบๆ ความถี่ 2ω จะถูกกรองออกโดยงายแตถา สัญญาณที่ นําไปคูณดวยมี ความถี่ และเฟสตางจะพาหะแลวจะทําให เกิดการผิดเพี้ยนขึ้นได สมมติวาสัญญาณมี ความถี่ ตางไปเทากับ Δω และเฟสตางไป θ o สมการ 2.18 จะเปน [2.21] แทนที่ จะได x(t) กลับคืนมาจะได เปน [2.22] การจะได สัญญาณ x(t) กลับคืนมาโดยไม ผิดเพี้ยน สัญญาณที่ จะนําไปคูณจะตองมีความถี่และเฟสตรงกับพาหะ ซิ งโครนั สดีเทคชั น (synchronous detection) เปนการสรางสัญญาณที่ ซิ งโครไนซ กับพาหะ นําไปคูณหรือผสม (mix) กับสัญญาณที่ มอดูเลตแลวเพื่อ ให ได สัญญาณที่ ความถี่ เบสแบนด คืนมา เนื่องจากการใช สัญญาณที่ เหมือนกับพาหะ บางครั้ งจึงเรียกวา โคฮีเรนตดีเทคชัน (coherent detection) รูปที่ 2.17 แสดงวิธกี ารนี้ - 50 - รูปที่ 2.17 การดี มอดูเลตสัญญาณ DSB-SC สัญญาณ cosωct จะสรางจากตัวกําเนิ ดสัญญาณที่ เรียกวา synchronized oscillator ถาหากใช ตัวกําเนิด สัญญาณเพี ยงตัวเดียวสรางสัญญาณมี ความถี่ เทากับพาหะจะทําให ได สัญญาณเบสแบนดในขั้นตอนเดียววิธกี าร นี้ เรียกวาเปนแบบ homodyne ตัวกํ าเนิ ดสัญญาณนี้ อาจสรางสัญญาณที่ เหมือนพาหะขึ้นจากการนําเอา pilot carrier ที่ สงมากับสัญญาณ RF ไปใช ในการสราง แต ถาใช ตัวกํ าเนิ ดสัญญาณสรางความถี่ ไม เทากับความถี่ พาหะแต เมื่อนําไปผสมกับสัญญาณ RF แลวทําให สัญญาณยายความถี่ ไปอยูที่ความถี่คงที่คาหนึ่งเรียกวาความถี่ IF (intermediate frequency) แลวจึงdemodulate สัญญาณที่อยูรอบๆ ความถี่ IF นี้ เพื่อ ให ได สัญญาณเบสแบนด วิธีการผสมสัญญาณทําให ได ความถี่ IF นี้ เรียกวา heterodyning เครื่องรับ ที่ ใช ระบบนี้ จึงถูกเรียกวาเปนแบบ superheterodyne ดังแสดงในรูปที่ 2.18 - 51 - รูปที่ 2.18 เครื่องรับวิ ทยุ (ก) แบบ TRF (ข) แบบ Superheterodyne 2.1.7 Frequency-Division Multiplexing:FDM เปนการสงสัญญาณหลายๆ สัญญาณไปในชองสัญญาณเดียวกันโดยการมอดูเลตแตละสัญญาณดวยพาหะ ที่มีความถี่ตา งกัน สัญญาณที่ จะสงตองมี แบนดวิดท จํากัดและความถี่ พาหะจะตองหางกันอยางนอยสองเทาของ แบนดวิดท ทางดานรับอาจเปนการเลื อกรับที ละสัญญาณดังในวิทยุ กระจายเสียง หรืออาจรับที เดียวพรอมกันแลว นําไปแยกแตละสัญญาณออกมารูปที่ 2.19 แสดงระบบ FDM ทั้ง สองแบบ - 52 - รูปที่ 2.19 การมั ลติ เพล็ กซ ทางความถี่ (FDM) 2.2 การมอดูเลตเชิงมุม (Angle modulations) ในการมอดูเลตเชิงมุม ขนาดของสัญญาณจะคงที่ ในขณะที่ มุมของพาหะเปลีย่ นตามสัญญาณที่ตองการมอดูเลตคือ θ c ในสมการ 2.1 พิจารณาเฟสเซอร ขนาดคงที่ แต ให มุม θ ( t ) เปลี่ยน ซึ่งจะเปลี่ยนเนื่องจาก ความถี่ เชิงมุม ω ( t ) เปลี่ยน หรือมุมเฟส ϕ c เปลี่ยนความสัมพันธ ของความถี่ เชิงมุมกับมุม θ (t ) ที่ เวลา t ใดๆ เทากับการอินที เกรตความถีเ่ ชิงมุมตัง้ แต เวลา 0 ถึ ง t บวกกับมุมเฟสเริม่ ต นดังสมการ 2.23 [2.23] θ (t ) คือ มุมของพาหะ ณ เวลาใดๆ และ [2.24] ωi ( t )เปนความถี่เชิงมุม ณ เวลาใดๆ สิ่งที่ เปนไปไดในการมอดูเลตเชิงมุมคือ 1. การเปลี่ยนแปลงของมุมเฟสตามสัญญาณที่ ตองการมอดูเลตเรียกวา phase modulation (PM) - 53 - [2.25] 2.การเปลี่ยนแปลงของความถี เชิงมุมตามสัญญาณที่ ตองการมอดูเลตเรียกวา frequency modulation (FM) [2.26] สัญญาณ FM และ PM แสดงในรูปที่ 2.20 kp ,kf เรียกวา modulation sensitivity มีหนวย rads-1V-1,kHz mV-1 ตามลําดับลักษณะการมอดูเลตแบบ FM และ PM นี้คลายกันมาก ในที่นี้จะกลาวถึงแบบ FM ในรายละเอี ยดกอน สวน PM ก็ จะคลายกันซึ่งจะได กลาวถึงในภายหลั ง รูปที่ 2.20 สัญญาณ PM และ FM เมื่อมอดูเลตดวยสัญญาญสี่เหลี่ยม 2.2.1 การมอดูเลตแบบ FM (Frequency Modulation) ให สัญญาณที่ ตองการมอดูเลตเปน [2.27] แทนคาในสมการ 2.26 - 54 - [2.28] Δω โดยที่ Δω = kAm เปนการเปลี่ยนแปลงความถี่ เชิงมุมสูงสุ ด และ β= เรียกวา modulation index จากสมการ ωm 2.28 สามารถเขียนไดเปน [2.29] ซึ่งจะพบวาการวิเคราะหทางความถีน่ นั้ ไมเปนรูปแบบงายๆ เหมือนการมอดูเลตแบบ AM แลวกลาวคือเปนการมอดู เลตที่ไม เปนเชิงเสนไมสามารถใชวิธกี าร superposition ได 2.2.1.1 Narrow-band Frequency Modulation (NBFM) ในกรณี ที่ β มี คานอย ( β < 0.2 ) ทําให สามารถประมาณคา [2.30] สมการ FM จะเขียนได เปน จะได [2.31] จะเห็นวาเมื่อวิเคราะหดูแลวจะพบวามีลกั ษณะคลายกับสัญญาณ AM กลาวคือสเปกตรัมจะเปนพัลส ที่ ความถี่ fc-fm และ fc+fm และเฟสเซอร ไดอะแกรมแสดงในรูปที่ 2.21 สําหรับสัญญาณ AM เปนการรวมกันระหวาง สัญญาณที่ ตองการมอดูเลตกับพาหะดวยเฟสตรงกัน สวนสัญญาณ NBFM จะรวมกันดวยมุมที่ แตกตางกันของ สัญญาณทั้งสอง - 55 - รูปที่ 2.21 (ก) เปรียบเทียบสเปกตรัม AM และ NBFM รูปที่ 2.21 (ตอ) (ข) เฟสเซอร ไดอะแกรมของ AM (ค) เฟสเซอร ไดอะแกรมของ NBFM 2.2.1.2 NBFM bandwidth จากสเปกตรัมของสัญญาณ NBFM พบวามี แบนดวิดท B fm = 2 เปนการมอดูเลต สัญญาณแบบ FM ที่มีแบนดวิดทแคบดวยขอจํากัดที่ β < 0.2 ทําใหงา ยแกการวิเคราะหและการสรางเนื่องจากมี ลักษณะคล ายสัญญาณ AM 2.2.1.3 Wide-band Frequency Modulation (WBFM) ในกรณี ที่ β มากกวา 0.2 ขึ้นไปจะไม สามารถ ประมาณคาดังสมการ 2.30 ได แตสามารถกระจายเป น็ อน กุ รมของเบสเซลฟงกชันได ดังนี้ โดยที่ Jn( β ) เปนเบสเซลฟงกชัน (Bessel function) อันดับที่ n ของ β เปนฟงกชันที่มักจะจะพบในการแกปญหา ทางฟสกิ สฟง กชันนี้ จะมีคาเปนตารางและรูปกราฟดังแสดงในรูปที่ 2.22 จะเห็นวาเปนฟงกชนั ทีม่ กี ารเปลี่ยนแปลง เปนคาบและลดลงเมื่อ β มากขึ้นโดย จะมีคา เริ่มตนที่ 0 ยกเวน J0 เริ่มที่ คา 1 - 56 - รูปที่ 2.22 เบสเซลฟ งก ชั นที่ คา β และ n ตางๆ จากการแทนคาดวยอนุ กรมของเบสเซลฟ งก ชั นนี้ จะทําให ได สัญญาณ FM โดยแทนคาในสมการ 2.29 จะได ดังนี้ [2.32] ในกรณี ของ WBFM จะตางจาก NBFM กลาวคือจะมี sideband มากกวาหนึ่ งคู ดังสเปกตรัมแสดงในรูปที่ 2.23 เปนเสนสเปกตรัมที่มีระยะหางเทากับ fm มีการกระจายออกทัง้ สองขางเทากันแตละคาจะมีทั้งบวกและลบ - 57 - รูปที่ 2.23 เสนสเปกตรัมสัญญาณ FM ที่ β คาตางๆ เมื่อพิจารณาขนาดของสเปกตรัมของ WBFM นี้ โดยแบงเปนสองกรณี คือ Δf คงที่ และ fm คงที่ ดังแสดงใน รูปที่ 2.24 จะเห็นความสัมพั นธ ระหวาง β , Δf , fm จะเห็นวาที่ β มี คาน อยๆ สเปกตรัมจะคลาย AM คือมีพาหะ เห็นไดชั ดเจนในขณะที่ β สูงขึน้ สเปกตรัมจะกระจายออกทัง้ สองข างสมมาตรกันพาหะจะมี ขนาดเล็ กลงไป อาจ เปนศูนย ที่ β บางคาได และรูปแบบของขนาดสเปกตรัมที่ การกระจายออกนัน้ จะขึ้นอยู กับลักษณะของสัญญาณที่ นํามามอดูเลต ในรูปที่ 2.25 แสดงรูปแบบของขนาดสเปกตรัมของสัญญาณ WBFM เมื่อสัญญาณที่นาํ มามอดูเลต เปนสัญญาณซายนสัญญาณสี่เหลี่ยม และสัญญาณสามเหลี่ยม - 58 - รูปที่ 2.24 เสนสเปกตรัมสัญญาณ FM ที่ β คาตางๆ (ก) Δf คงที่ (±5kHz) (ข) fm คงที่ (2kHz) - 59 - รูปที่ 2.25 รูปแบบสเปกตรัมเมื่อมอดูเลตดวยสัญญาณตางกัน 2.2.1.4 WBFM bandwidth จากรูปสเปกตรัมสัญญาณ WBFM จะเห็นวาจุดตัดของแบนดวิดทไมชั ดเจน เหมือนของ AM หรือ NBFM แต เมื่อพิจารณาแลวจะพบวาขนาดของสเปกตรัมจะลดลงอยางรวดเร็วที่ความถี่เปลี่ยน จากความถี่ พาหะมากกวา ±Δf จึงอาจกลาวได วาแบนดวิดทของสัญญาณWBFM มี คาเทากับ 2Δf ได แต โดยทัว่ ไปจะมี การนิยามที่ดกี วานี้คือ ชวงความถี่ ที่ ผาน 98% กําลังของสัญญาณเรียกวาเปน แบนดวิดทของคารสัน (carson bandwidth) ในการนี้ จะตองมี เสนสเปกตรัมเปนจํานวน 2 ( β + 1) เสนอยู ในแบนดวิดท นี้ เสมอ และ เนื่องจากแตละเสนสเปกตรัมหางกัน fm จะไดแบนดวิดท [2.33] ยังมีนิยามแบนดวิดทของ WBFM อีกแบบคือ 1% bandwidth คือแบนดวิดท ที่ขนาดของสเปกตรัมลดลงไปเปน 1% ของเสนสเปกตรัมที่สูงที่สุดซึ่งจะกวางกวาแบนดวิดทของคารสัน 2.2.2 การมอดูเลตแบบ PM (Phase modulation) คลายการมอดูเลตแบบ FM มากในกรณีทสี่ ัญญาณที่ตองการมอดูเลตเปน A t m m cosω สัญญาณ PM จะเปน [2.34] โดยที่ β p เรียกวา phase modulation index และเชนเดียวกับ FM จะมีการเปลี่ยนแปลงเฟสสูงสุด (maximum phase deviation , Δϕ ) สัญญาณ PM จะเขียนได ในรูปทัว่ ไปเมื่อสัญญาณที่นาํ มามอดูเลตเปน cosω mt [2.35] ซึ่งแยกพิจารณาได เชนเดียวกับ FM คือเปน NBPM และ WBPM 2.2.2.1 Narrow-band Phase Modulation (NBPM) ในเงื่อนไข β p ≤ 0.2 ( Δϕ < 11° ) จะได - 60 - [2.36] เชนเดียวกับ NBFM ตางกันที่ NBPM sideband จะมี phase shift ไป π / 2 [2.37] เชนเดียวกับ WBFM ตางกันทีเ่ ฟส เทานัน้ 2.2.3 การสรางสัญญาณ FM,PM 2.2.3.1 การสรางโดยตรงเนือ่ งจากการมอดูเลตแบบ FM คือการเปลี่ยนแปลงความถี่ของพาหะตาม สัญญาณที่ตองการ มอดูเลตวงจรมอดูเลตก็จะตองมีคุณสมบัติ คือกําเนิดความถี่ที่สามารถเปลี่ยนแปลงไดซึ่งจะทําไดหลายวิธี 1. Varactor tunner circuit จากวงจรนีจ้ ะได ความถี่ขาออกของวงจรเปน [2.38] ถา L หรือ C มี คาเปลี่ยนไป fc จะมี คาเปลี่ยนตามเปนสัดสวนกันโดยที่การเปลี่ยนแปลงมีคา ไมมากเมื่อเที ยบกับคา L หรือ C เดิมการที่ จะเปลี่ยนคา C ตามสัญญาณที่ตองการมอดูเลตนั้นมี อุปกรณตัวหนึ่งที่เรียกวา varactor diode (variable reactor) มี คา C ที่รอยตอ (junction capacitance) แปรตามแรงดันไบอัสกลับ (reverse bias) ดังนั้นเมื่อ ใช varactor นี้ ในวงจร tune แลวป อนสัญญาณเปนแรงดันที่ varactor นี้ ความถีข่ าออกก็จะเปลี่ยนตามสัญญาณที่ ปอนเขาไปไดวงจรตัวอยางแสดงในรูปที่ 2.26 รูปที่ 2.26 วงจรสรางความถี่ พาหะโดยใช varactor 2. VCO (Voltage control oscillator) เปนวงจรกําเนิดความถี่ ที่สามารถควบคุมความถี่ ไดดวยแรงดัน โดย ใชหลักการของการ charge และ discharge ของ C เชนเดียวกับวงจร multivibrator อัตราการ charge และ discharge จะขึ้นอยู กับคา R, C และแรงดันอางอิง เมื่อเลือกคา R, C คงที่ คาหนึ่ งจะได ความถี่ fc คาหนึง่ เมื่อ - 61 - มอดูเลต ตัวอยาง IC และวงจรแสดงในรูปที่ 2.27 รูปที่ 2.27 วงจรมอดูเลตที่ ใช VCO (IC 566) 2.2.3.2 การสรางโดยทางออมจากสัญญาณ NBFM ที่ มีลักษณะคล ายสัญญาณ AM นัน้ สามารถใชการมอ ดูเลตแบบ AM จะไดสัญญาณ NBFM มี คา β ตํ่ากอนแลวจึงคูณสัญญาณใหมีคา β สูงขึ้นซึง่ ทําให ความถี่สูงตาม ไปดวยจากนัน้ จึงเลื่อนความถี่ลงโดยวิธกี ารที่เรียกวา down conversion การทํางานในลักษณะนี้ เราเรียกวา the Armstrong method ดวยวิธกี ารนี้ จะไดสัญญาณ WBFM ที่มี stability ดี กวาบลอกไดอะแกรมของวงจรแสดงในรูป ที่ 2.28 - 62 - รูปที่ 2.28 Armstrong Modulator สําหรับความถี่ VHF 2.2.4 การดีเทคสัญญาณ FM (FM detectors) เนื่องจากสัญญาณ FM ได จากการเปลี่ยนความถี่ ตามขนาดสัญญาณที่นาํ มามอดูเลตเมื่อตองการดีมอดูเลตหรือดีเทค สัญญาณกลับคืนมาก็ อาจใช วิธีการกลับกัน คือใช วงจรที่ เปลี่ยนขนาดสัญญาณขาออกตามความถี่ของสัญญาณขา เขาก็ จะไดสัญญาณที่มีขนาดเปลี่ยนไปคือสัญญาณ AM นัน่ เองจากนัน้ จึงใช เอ็นเวลโลปดีเทคเตอร นําสัญญาณ เบสแบนด ออกมาได นั่นก็ คือการดีเทคโดยการเปลี่ยนสัญญาณ FM เปนสัญญาณ AM กอนสวนอีกลักษณะคือการได สัญญาณเดิมกลับออกมาโดยตรงอาจใช zero crossing detector หรือการดีเทคโดยใชเฟสลอคลูป 2.2.4.1 การดีเทคโดยการเปลี่ยนเปนสัญญาณ AM ตัวที่ จะเปลี่ยนการเปลี่ยนแปลงของความถี่ ของ สัญญาณ FM ไปเปนการเปลี่ยนแปลงขนาดนัน้ จะตองใช การตอบสนองแตละความถี่ ที่ไมเทากันแต เปนเชิงเสนดัง แสดงในรูปที่ 2.29 ซึ่งเราเรียก วิธีการเชนนี้ วา discriminator action จะเห็นวาที่ความถี่ ωc มี การตอบสนองเทากับ ศูนย ที่ ความถี่ สูงขึ้นการตอบสนองจะเพิม่ ขึ้นนัน่ คือสัญญาณขาออกจะมีขนาดสูงขึ้น ในขณะที่ ความถี่ ตํ่าลงการ ตอบสนองน อยลงขนาดของสัญญาณขาออกจะตํ่าลง ผลที่ ไดคือสัญญาณ AM เมือ่ ผานเอ็ นเวลโลปดีเทคเตอร ก็ จะไดสัญญาณเบสแบนดกลับคืนมา วงจรที่ ใชหลักการ discriminator นั้นสรางไดหลายแบบ คือ - 63 - 1. Differenciating circuit 2. Tune circuit 3. Raito detector 4. Quadrature detector รูปที่ 2.29 Discriminator Action 2.2.4.2 Zero crossing detection ใช หลักการที่ สัญญาณตองมี การตัดผานจุดศูนยทกุ รอบของสัญญาณ อัตราการผานจุดศูนยก็คือความถี่ของสัญญาณนัน่ เองถาความถี่สูงขึน้ การตัดผานจุดศูนยจะมากขึ้นในเวลาหนึง่ เพื่อ ความเขาใจพิจารณารูปที่ 2.30 สัญญาณที่ ไดจะมีคาบเทากันแตความกวางของพัลสจะเปลี่ยนไปตามความถี่ และ เมื่อเฉลี่ยแลวจะไดเปนระดับของสัญญาณที่เปลี่ยนตามความถี่ รูปที่ 2.30 รูปคลื่นแสดงการเปรียบเทียบเฟส คาเฉลี่ยของผลคูณสัญญาณจะแปรตามการเปลีย่ นแปลงเฟส - 64 - 2.2.4.3 การดีเทคโดยเฟสลอคลูป (Phase lock loop) เปนวงจรที่ lock VCO โดยการปอนกลับดวยผลตาง เฟสของสัญญาณที่ เขามาการเปลี่ยนแปลงของเฟสนีท้ ําให ไดสัญญาณขาออกที่มกี ารเปลี่ยนแปลงขนาดตาม ความถี่ บลอคไดอะแกรมแสดงในรูปที่ 2.31 รูปที่ 2.31 วงจร Phase -locked loop