เนื้อเยื่อพืชและการลำเลียงในพืช 2566 PDF

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

Document Details

BrightestJoy7064

Uploaded by BrightestJoy7064

จุฬาภรณ์ วลัยลักษณ์

ผ.ศ. ลินจง สุขลำภู

Tags

plant tissues plant biology plant transport botany

Summary

This document is about plant tissues and their function, including dermal, vascular, and ground tissues. It also covers the process of transport of nutrients and water within plants and examines the structure and function of xylem and phloem.

Full Transcript

เซลล์และเนือ ้ เยือ ่ พืช ล เ ย ผ.ศ. ลินจง สุขลำภู ำ ลี =pi foliat ตอนออกMisso ซ ร ดซ...

เซลล์และเนือ ้ เยือ ่ พืช ล เ ย ผ.ศ. ลินจง สุขลำภู ำ ลี =pi foliat ตอนออกMisso ซ ร ดซ :การ ·า นข ด้ ดู ระบบเนือ ้ เยือ ่ ระบบเนือ ้ เยือ ่ ห่อหุ ้มภำยนอก (Dermal Tissue System) Epidermis ระบบเนือ ้ เยือ ่ ท่อลำเลียง (Vascular Tissue System) ระบบเนือ้ เยือ ่ พืน้ ( Ground Tissue System ระบบเนือ ้ เยือ ่ ห่อหุ ้มภำยนอก (Dermal Tissue System) - เป็ นสว่ นทีอ ่ อกสุด ปกคลุมสว่ นอืน ่ ยูน ่ ๆทีอ ่ ยู่ ภำยใน - ป้ องกันอันตรำยแก่สว่ นทีอ ่ ยูภ ่ ำยใน - เอพิเดอมิสของพืชล ้มลุก และเปลือกไม ้ของ ไม ้ยืนต ้น Upper Epidermi Lowe Epidermis ดม Epider mi ถั พวก ไค มา โ ระบบเนือ ้ เยือ ่ พืน ้ (Ground Tissue System) -เป็ นระบบเนือ ่ สว่ นใหญ่ ้ เยือ -ถูกล ้อมรอบด ้วยระบบเนือ้ เยือ ่ ห่อหุ ้มภำยนอก -มีระบบเนือ ้ เยือ ่ ท่อลำเลียงแทรกอยูภ ่ ำยใน -พำเรงไคมำ คอลเลงไคมำและ สเกลอเรงไคมำ ~Mesophll Chloropla มี ระบบเนือ ้ เยือ ่ ท่อลำเลียง (Vascular Tissue System) - ทำหน ้ำทีล ่ ำเลียงน้ ำและอำหำร - เป็ นท่อต่อเนือ ่ งกันจำกรำกถึงปลำยยอดและ ใบ - ท่ออำหำร (Phloem) และท่อน้ ำ (Xylem) ·ล เ ย ·- อาหาร phloem มา า อ Style ท่ ำ ลี Epidermi Vascular m ↓ cabid ง ·the สม cortax เป ป อาหาร รา /Phloem -> xY lem monocot stem Dicot stem ลื Dicot root Monocot root เนือ ้ เยือ ่ พืช -แบ่งเนือ ้ เยือ ่ พืชออกเป็ น 2 กลุม่ ใหญ่ๆตำม หน ้ำที่ แหล่งกำเนิด ตำแหน่งทีอ ่ ยู่ องค์ประกอบของเซลล์ทม ี่ ำรวมกันเป็ น เนือ ้ เยือ ่ วเค ยสขนาดให ่ , ผ ง เซล บา ง ด หน เ เนือ ้ เยือ ่ เจริญ ( Meristematic Tissue) : เป็ นเนือ ้ เยือ ่ ทีม ่ ก ี ำรแบ่งตัวอยูต ่ ลอดเวลำ Mitosi เนือ้ เยือ ่ ถำวร (Permanent Tissue) : เป็ นเนือ ้ เยือ ่ ทีเ่ จริญเต็มทีแ ่ ล ้วมีกำร เปลีย ่ นแปลงรูปร่ำงให ้เหมำะสมกับหน ้ำที่ ต่ำงๆ นิ ล์ สู ล็ ยื ยุ่ นั ลี ญ่ เนือ ้ เยือ ่ เจริญ (Meristematic Tissue) ปลาย Apical meristem - ปลำยยอด ·เจ ญ ่วนปล · เพ ็มความ - ปลำยรำก า Lateral meristem - cork cambium+เ ่อเจ ญ า - vascular cambium#ราก Intercalary meristem เจ ญเหนื เจอ ใน ชใบเ ้ยเ => - ข้ ด้ ริ พื ริ ริ ส่ มื ลี Apical meristem #ราก อย ู่บ น Epiderm เป Ep" W Root hai r & ขน าง ดยา เจอ เ อเ เ ↑ ออก กา รแป ง ต - ปลา กราก ม ดยาว ยื ร่ ยื มื นื้ ลี่ เ ยว , ดี่ Lateral meristem ไ ส า งเป อก ใ นเป อกไ cork cambium cambium vascular :: วนให ญ่ใบเล ี ร้ ส่ ลื ลื Lateral meristem vascular cambium Intercalary meristem -เนือ ้ เยือ ่ เจริญทีอ ่ ยู่ ระหว่ำงเนือ ้ เยือ ่ ถำวร ห า า -=> ข้ อ่ ยื ญ้ ล้ ·- ไ สามาร ถแป งเซ ลล เนือ ่ ถำวร (Permanent Tissue) ้ เยือ เนือ ้ เยือ ่ เจริญทีม ่ ก ี ำรปลีย ่ นแปลงรูปร่ำงให ้ เหมำะสมกับหน ้ำทีต ่ ำ่ งๆ -> ลง าง chyma, Epidermi ๐เนือ ่ ถำวรเชงิ เดีย ้ เยือ ่ ว (Simple Permanent tissue) 8 xylem polem ๐ เนือ ่ ถำวรเชงิ ซอน ้ เยือ ้ (Complex ล เ น อาห Permanent Tissue) - # ูกยกเ น parench y ma *เ อเ ่อถาวรเ น้ มื่ ำ ถู ำ นื่ ม่ ลี ว้ ท้ Simple Permanent Tissue ประกอบด ้วยกลุม ่ เซลล์ชนิดเดียวกันล ้วนๆ ทำหน ้ำทีอ ่ ย่ำงเดียวกัน hair /root ูด ○ เอพิเดอร์มส ิ => เป ยนแป าก ด ลงม - คาย cel ○ เพอริเดิมส ์ ○ พำเรงไคมำ => พบ มาก ○ คอลเรงไคมำ ○ สเกลอเรงไคมำ ดู สุ น้ สุ ำ ลี่ ก protodrem 5 เจ ญมาจาก เอพิเดอมิส (epidermis) เป็ นเนือ - ้ เยือ ่ พบอยู่ ชนั ้ นอกของใบ ดอกและสว่ นอืน ่ ๆของต ้น รำก ทีย ่ ังอ่อน ประกอบด ้วยเซลล์ทม ี่ คี วำมหนำของเซลล์ เพียงชน ั ้ เดียว ทำหน ้ำทีป ่ ้ องกันอันตรำย รักษำควำมชน ื้ ของ เนือ ้ เยือ ่ ทีอ ่ ยูภ ่ ำยใน บริเวณผนังเซลล์ด ้ำนนอกมีกำรสะสมสำรคิว ตินเรียกผนังชน ั ้ นอกนีว้ ำ่ คิวติเคิล (cuticle) ริ น> #ต ต้ เซลล์เอพิเดอมิสสำมำรถ เปลีย ่ นไปเป็ นขนรำก (root hair) ขนใบ (trichome) และเซลล์คม ุ (guard cell) ปาก ใน = 2 ระห า งเซล ล ว่ รู ที พำเรงไคมำ (parenchyma) สะสม อาหา ○ เป็ นเนือ้ เยือ ่ ทีป ่ ระกอบด ้วยเซลล์ทม ี วี ต ี่ ช ิ ผนัง เซลล์บำง สำมำรถเปลีย ่ นสภำพไปเป็ นเนือ ้ เยือ ่ อืน ่ ๆได ้ และมีรปู ร่ำงแตกต่ำงกันหลำยแบบ พบมำกบริเวณคอร์เท็กซ ์ มีโซฟิ ลล์ Pith สะสม อาหาร Parenchyma P Arenchyma ·อยู่ใต น ใบพืชบก ใบพืชนํา อั คอลเลงไคมำ (Collenchyma) ้าจ เป็ นเนือ ้ เยือ่ ทีป่ ระกอบด ้วยกลุม ่ เซลล์ทม ี วี ต ี่ ช ิ คล ้ำยพำเรงไคมำแต่มผ ี นังเซลล์หนำกว่ำ เป็ นเนือ้ เยือ่ ทีท่ ำหน ้ำทีค่ ้ำจุนอวัยวะทีก ่ ำลัง เจริญเติบโต - มักพบตำมมุมหรือเหลีย ่ มของลำต ้น ก ้ำนใบ เสน้ กลำงใบ ค้ Pectin สเกลอเรงไคมำ (Sclerenchyma) ผ งเซล ห นาม เป็ นเนือ ้ เยือ ่ ทีแ ่ ข็งแรงผนังเซลล์หนำมำก ผนังเซลล์มักสะสมลิกนิน (Lignin) ประกอบด ้วยเซลล์ 2 ชนิด ↳ ท ใ ใ พ าก - สเกลอรีด (Sclereid) > เซลห " ปร ไ เห - เซลล์เสนใย ้ (Fiber) วง "I น = า ล์ ล์ กั รู ห้ ม่ ค้ นั ทุ ำ Sclerenchyma Sclereid เป็ นเซลล์ทม ี่ ผ ี นังหนำ แต่ละเซลล์จะสน ั ้ รูปร่ำงไม่แน่นอน บำงเซลล์ รูปร่ำงกลม ทรงกระบอก คล ้ำยดำว พบในชน ั ้ เอพิเดอมิส คอร์เทกซ ์ เนือ ้ เยือ ่ ลำเลียง ทำหน ้ำทีค ่ ้ำจุนให ้ควำมแข็งแรงกับพืช Sclereid 00 แว คค พวก ค ล ค้ำจุ Fiber ทำหน ้ำทีช ่ ว่ ยค้ำจุน ให ้ควำมแข็งแรง ป้ องกันเนือ้ เยือ ่ ทีย ่ ังอ่อนอยูไ่ ม่ให ้เป็ นอันตรำย มีรปู ร่ำงยำวเรียวหัวท ้ำยแหลม ผนังเซลล์หนำ มี ลิกนินสะสม พบอยูใ่ นชน ั ้ คอร์เท็กซ ์ โฟลเอ็มและไซเลม Fiber เพอริเดิรม ์ (Periderm) เป็ นเนือ ้ เยือ ่ ชนั ้ นอกสุดของต ้นและรำกของพืช พวกไม ้ยืนต ้น ประกอบด ้วย -คอร์กหรือเฟลเลม (Phellem) -คอร์กแคมเบียม หรือเฟลโลเจน (Phellogen) -เฟลโลเดิรม ์ (phelloderm) epidermi I corte Complex Permanent Tissue * ม ความ บ อ เป็ นเนือ ้ เยือ ่ ทีป ่ ระกอบด ้วยกลุม ่ เซลล์หลำยๆ ชนิดมำรวมกันเพือ ่ ทำหน ้ำทีอ ่ ย่ำงเดียวกัน ได ้แก่เนือ ้ เยือ ่ ลำเลียง (vascular bundle) - ไซมเลม - โฟลเอ็ม มี ซั ซ้ / Xylem Xylem ประกอบด ้วย ๐ Tracheid ๐ Vessel ๐ Xylem fiber ๐ Xylem parenchyma Tracheids เซลล์เรียวยำว หัวท ้ำยแหลม ผนังปลำยสุดไม่ม ี รูทะลุ กำรลำเลียงน้ ำและแร่ธำตุผำ่ นทำงผนัง เซลล์ ผนังเซลล์มก ี ำรสะสมลิกนินทีห่ นำไม่สมำ่ เสมอมี หลำยลักษณะเชน ่ - แอนนูลำร์เทรคีด (Annular tracheids) - สไปรัลเทรคีด (Spiral tracheids) - สคำลำริฟอร์มเทรคีด (Scalariform tracheid) Annular tracheid หนา วง คล ายวงแหว Scalariform tracheids ห า / เป ็น น นไดเ ขั้ น้ บั Spiral tracheid หนา เก ย ลี /เ นท่อ Vessel element หรือ Vessel member เป็ นเซลล์ทม ี่ ลี ก ั ษณะเป็ นท่อสนั ้ อยูต ่ อ ่ กันหลำย เซลล์ เซลล์แต่ละเซลล์มรี ต ู อ ่ ทะลุถงึ กัน กำรลำเลียงน้ ำและแร่ธำตุจะผ่ำนทำงรูทผ ี่ นัง - ปลำยสุด และทำงรอยเว ้ำของผนังเซลล์ ด ้ำนข ้ำง ผนังเซลล์มก ี ำรสะสมลิกนินแบบต่ำงๆ เชน ่ เดียวกับเทรคีด ด ูตจาก างล & = า นช ข้ ดู ด้ ป็ "ส า ง อล เ ยง ไซเลมพำเรงไคมำ (Xylem parenchyma) - เป็ นเซลล์ทม ี วี ต ี่ ช ิ - ทำหน ้ำทีส ่ แป้ ง ไขมัน ่ ะสมอำหำร เชน - สะสมแทนนิน ผลึกสำร สำรอืน่ ๆ ท่ ลี ขั้ ร้ ำ เ มค. แ งแ ้ เซลล์เสนใยของไซเลม (Xylem fiber) - รูปร่ำงยำว ผนังเซลล์หนำ - มี 2 ชนิดคือ ้ ○ เสนใยเทรคี ด (Tracheid fiber) ้ ○ เซลล์เสนใยลิ บริฟอร์ม (Libriform fiber) - ชว่ ยให ้ควำมแข็งแรงกับพืช พ็ ข็ เก ิดจา ก เ อเ อ เจร์ญ เ อสร า ง อลเ เ ยงข วงปี (annual ring) tylem รอบนอก กระพี้ (sap wood) และ แก่นไม ้ (heart wood) · Primary xylem มื ร้ ื่ ลี พื ท่ นื่ Pholem Sieve element ทำหน ้ำทีล ่ ำเลียงอำหำร =เซลล อ ระห ์อ Companion cell เป็ นเซลล์ทม ี วี ต ี่ ช ิ Phloem parenchyma ทำหน ้ำทีส ่ ะสมอำหำร Phloem sclerenchyma ชว่ ยให ้ควำมแข็งแรง กับโฟลเอ็ม - Phloem fiber - Phloem sclereid ยู่ ตะแกรง ~ * เซลล์ขนา ดเล ็ ก วเ ทธธิพล อการล เ ย ของ sieve tub มี ำ มี อิ นั ลี ต่ Sieve element โครงสร ้ำงผลิตสำร (Secretory structure) ประกอบด ้วยเซลล์และเนือ ้ เยือ ่ ผลิตสำร สำรทีส ่ ร ้ำงขึน ้ มำจะเก็บสะสมไว ้ในชอ ่ งว่ำง แวคิวโอลหรือท่อหรือขับออกสูภ ่ ำยนอก สำรพวกชน ั (Resin) ผลึก (Crystal) ยำงสน (Terpenes) แทนนิน (Tanin) แบ่งออกเป็ น 2 กลุม ่ ได ้แก่ โครงสร ้ำงทีผ ่ ลิตสำร เพือ ่ ขับสูภ ่ ำยนอก และโครงสร ้ำงผลิตสำรเพือ ่ เก็บสะสมไว ้ภำยใน โครงสร ้ำงทีผ ่ ลิตสำรเพือ ่ ำยนอก ่ ขับสูภ Trichomes and glands โครงสร ้ำงผลิตสำรเพือ ่ สะสมภำยใน Citrus Oil gland #เล อ ม่ Crystal โครงสร ้ำงและหน ้ำทีข ่ องพืช กำรเคลือ่ นทีข ่ องโมเลกุลและไอออนของสำร น้ ำและกำรลำเลียงน้ ำของพืช กำรลำเลียงแร่ธำตุในดินของพืช กำรลำเลียงอินทรียส ์ ำรในพืช กำรคำยน้ ำของพืช ฮอร์โมนพืช กำรเคลือ ่ นทีข ่ องโมเลกุลและไอออนของสำร กำรแพร่ (Diffusion) ๐ เป็ นกำรเคลือ ่ นทีอ ่ ย่ำงอิสระโดยไม่มท ี ศ ิ ทำง ของโมเลกุลหรือไออนของสำรจำกบริเวณทีม ่ ี ควำมเข ้มข ้นมำกไปยังบริเวณทีม ่ ค ี วำมเข ้มข ้นตำ่ กว่ำ ๐ เป็ นกำรเคลือ ่ นทีข ่ องโมเลกุลหรือไออนของ สำรจำกบริเวณทีม ่ พ ี ลังงำนอิสระของสำรสูงไป ยังบริเวณทีม่ พ ี ลังงำนอิสระของสำรตำ่ กว่ำ กำรเคลือ ่ นทีข ่ องโมเลกุลหรือไอออนของสำรจะ ดำเนินต่อไปจนกระทั่งทัง้ 2 บริเวณมีควำม เข ้มข ้นของโมเลกุลหรือไอออนของสำรเท่ำกัน เรียกว่ำสภำวะสมดุลของกำรแพร่ (dinamic · equilibrium) ซงึ่ มีอต ั รำกำรแพร่ไปและกลับ เท่ำกัน ว กละล ตั ถู เซลล์พชื มีเยือ ่ เมมเบรนทีมค ี ณ ุ สมบัตใิ นกำร คัดเลือ1 ( กสำรทีแ ่ พร่ผำ่ นเข ้ำไปในเซลล์เรียกว่ำ differential permeable membrane โมเลกุลของสำรทีส ่ ำมำรถแพร่ผำ่ นเข ้ำไปได ้ ่ ออกซเิ จน คำร์บอนไดออกไซด์ อย่ำงอิสระ เชน กลูโคส และน้ ำ เป็ นต ้น ปั จจัยทีม ่ ผ ี ลต่อกำรแพร่ อุณหภูม ิ พลังงำนอิสระในโมเลกุลเพิม ่ ขึน ้ ควำมดัน พลังงำนอิสระในโมเลกุลเพิม่ ขึน้ ขนำดของโมเลกุลหรือไอออนของสำร ควำมเข ้มข ้นของสำร ตัวถูกละลำย (solute) ตัวพำ (Facilitated กำรแพร่แบบมี% diffusion) เป็ นกำรเคลือ ่ นทีข ่ องสำรจำกบริเวณทีม ่ ค ี วำม เข ้มข ้นสูงไปยังบริเวณทีม ่ ค ี วำมเข ้มข ้นตำ่ กว่ำ โดยอำศย ั ตัวพำ (carrier protein)ในกำรลำเลียง ผ่ำนเยือ ่ หุ ้มเซลล์ กำรลำเลียงกลูโคสเข ้ำออกเซลล์ ซงึ่ จะเร็วกว่ำ วิธกี ำรแพร่แบบธรรมดำ ิ (Osmosis) ออสโมซส ่อเ อ อเ กำรเคลือ ่ นทีข 0เ ่ องน้ ำผ่ำนดิฟเฟอเรนเทียลเพอร์ม ิ เอเบิลเมมเบรนจำกบริเวณทีม ่ น ี ้ ำมำกหรือมี สำรละลำยเจือจำงกว่ำเข ้ำสูบ ่ ริเวณทีม ่ น ี ้ ำน ้อย หรือสำรละลำยทีเ่ ข ้มข ้นกว่ำ มื ลื พื ออสโม ส: มาก -> น - สาร อ สาร มาก # # น น มา น้ น้ ้ำ ำ ำ ซิ น้ สาร มาก มาก อ สาร น น # สาร # น ม * สาร อยู่ ู น้ น้ น้ ำ ำ ที ปกติมวลของน้ ำจะมีพลังงำนสะสมอยูเ่ รียกว่ำวอ เตอร์โพเทนเซย ี ล (water potential,Ψ ) มีหน่วยเป็ น ควำมดันเรียกว่ำ บำร์ (Bar) หรือเมกะพัสคำร์ (megapascals) น้ ำบริสท ุ ธิม ์ ค ี ำ่ วอเตอร์โพเทนเซย ี ลเท่ำกับศูนย์ น้ ำทีม ี งิ่ เจือปนอยูจ ่ ส ่ ะมีคำ่ วอเตอร์โพเทนเซย ี ลลดลง หรือมีคำ่ น ้อยกว่ำศูนย์ น้ ำจะเคลือ ่ นทีจ ่ ำกบริเวณทีม ่ ค ี ำ่ Ψ สูงไปยังบริเวณที่ มีคำ่ Ψ ตำ่ กว่ำ ค่ำวอเตอร์โพเทนเซย ี ลของน้ ำทีล ่ ดลงเรียกว่ำ ออสโมติกโพเทนเซย ี ล (Ψ o) หรือแรงดัน ออสโมติก สำรละลำยทีม ่ ค ี วำมเข ้มข ้นสูงจะมีคำ่ ออสโมติก โพเทนเซล ี สูง น้ ำบริสท ุ ธิจ์ ะมีคำ่ ออสโมติกโพเทนเซย ี ลตำ่ สุด ึ ษำกระบวนกำรออสโมซส กำรศก ิ ในเซลล์พช ื เห อนก Isotonic solution มื มาก Hypertonic solution สาร มา น น ออสโม ↑ ามา น้ บั น้ ำ ซิ Hypertonic solution Plasmolysis ต Hypotonic solution สาร : ↓น น น้ น้ ต่ ำ Hypotonic solution Plasmoptysis แอคทีฟแทรนสปอร์ต (active tranport) เป็ นกระบวนกำรลำเลียงแร่ธำตุจำกบริเวณทีม ่ ี ~ ่ วำมเข ้มข ้นสูงโดยอำศย ควำมเข ้มข ้นตำ่ ไปสูค พลังงำนในรูปของ ATP ว ั Carrier transport เป็ นสำรจำพวกโปรตีนซงึ่ เป็ นองค์ประกอบของเยือ ่ หุ ้มเซลล์ของรำกพืช Carrier–ion complex ตั ช่ ิ (Dialysis) ไดแอลิซส เป็ นกำรแพร่ของตัวถูกละลำยผ่ำนเยือ ่ เซลล์ทม ี่ ี คุณสมบัตทิ เี่ รียกว่ำ differential permeable membrane) โดยแพร่จำกบริเวณทีม่ ค ี วำมเข ้มข ้นของตัวถูก ละลำยสูงไปยังบริเวณทีม ่ ต ี ัวถูกละลำยตำ่ กว่ำ Na+ Cl- กลูโคส กรดอะมิโน ป อิมบิบช ั (Imbibition) ิ น เป็ นปรำกฏกำรณ์ทข ี่ องเหลวหรือก๊ำซ (imbibed substance)เชน่ น้ ำหรือไอน้ ำ แพร่เข ้ำไปใน ของแข็งหรือสำรกึง่ แข็ง (imbibant) เชน ่ โปรตีน แป้ ง เซลลูโลส ไม ้ น้ ำและกำรลำเลียงน้ ำของพืช ควำมสำคัญของน้ ำในกำรเจริญของพืช เป็ นองค์ประกอบทีส่ ำคัญของเซลล์และสำร ต่ำงๆในเซลล์ เป็ นตัวกลำงในกำรเกิดปฏิกริ ยิ ำทำงเคมีตำ่ งๆ ชว่ ยละลำยแร่ธำตุในดิน ิ ในกำรสงั เครำะห์แสงในพืช เป็ นวัตถุดบ 630, + 6H20 "รช อ Colte 20 6 + ชื่ กำรเคลือ ่ องน้ ำจำกดินเข ้ำสูร่ ำกพืช ่ นทีข -สว่ นของรำกที่ มี บทบำทสำคัญในกำรดูด น้ ำคือรำกขน -น้ ำในดินจะเคลือ ่ นทีเ่ ข ้ำ สูร่ ำกโดยอำศยั ควำม แตกต่ำงของค่ำวอเตอร์ โพเทนเซย ี ลของรำกกับ น้ ำในดิน กำรเคลือ ่ องน้ ำเข ้ำสูไ่ ซเลม ่ นทีข สรุป น้ ำ ขนรำก อิพเิ ดอมิส คอร์เทกซ ์ เอนโดเดอมิส เพอริไซเคิล ไซเลม กำรเคลือ ่ องน้ ำเข ้ำสูไ่ ซเลมของรำกแบ่ง ่ นทีข ออกเป็ น 2 ระบบ -Apoplast ผ่ำนชอ ่ งว่ำงระหว่ำงผนังเซลล์ -Symplast ผ่ำนทำงโพรโทพลำสซม ึ หรือ แวคคิวโอลของเซลล์รำกพืช : กำรลำเลียงน้ ำในพืช แรงดันรำก (root pressure) - แรงแคลพิลลำรี ( capillary force) แรง ด แค ล ลล า พิ ใบ แรงดึงจำกกำรคำยน้ ำ & (Transpiration pull) & กำรลำเลียงแร่ธำตุในดิน แร่ธำตุมค ี วำมสำคัญต่อพืช แร่ธำตุในดินอำจอยูใ่ นรูปทีเ่ ป็ นไอออนอิสระที่ ละลำยน้ ำในดินได ้แก่ไอออนทีม ่ ป ่ ี ระจุลบเชน NO-3, SO42-, Cl- อำจยึดเกำะอยูก ่ บ ั ผิวของอนุภำคดินได ้แก่ ไอออนทีม ่ ป ี ระจุบวก เชน่ Ca+2, Mg+2, K+, Na+ กลไกกำรลำเลียงแร่ธำตุของพืชในดิน ○ กำรแพร่ (diffusion) ○ แมสโฟล (mass flow) แลกเป ย ยน i ลี่ กำรแลกเปลีย ่ นไอออน (ion exchange) A TP แอคทีฟแทรนสปอร์ต (active transport) กำรลำเลียงอินทรียส ์ ำรในพืช เกิดจำกใบหรือยอดของพืชสูล่ ำต ้นและรำกทำง ท่อลำเลียงอำหำร (phloem) สำรละลำยทีพ ่ บในท่อของโฟลเอมประกอบด ้วย น้ ำตำลสว่ นใหญ่ ได ้แก่ซโู ครส นอกจำกนัน ้ พบ กลูโคส ฟรุกโตส แรฟิ โนส เป็ นต ้น เพียง เล็กน ้อย รวมทัง้ สำรประกอบไนโตรเจนและ สำรอินทรียต ์ ำ่ งๆ ทิศทำงกำรลำเลียงมี 2 ลักษณะคือ bidirectional movement และ lateral movement กลไกกำรลำเลียงอินทรียส ์ ำรในโฟลเอม กำรแพร่ (diffusion) กำรไหลเวียนของไซโทพลำสซมึ (cytoplasmic streaming) กำรไหลของมวลสำรเนือ ่ งจำกแรงดัน (pressure flow) ใบ งเคราะ แ chlorophyl สั ห์ กำรคำยน้ ำของพืช (Transpiration อัตรำกำรคำยน้ ำของพืชชนิดต่ำงๆ ชนิดของพืช อัตรำกำรคำยน้ ำของพืช (ลิตร/วัน) แคดตัส 0.02 มะเขือเทศ 1 ต ้นแอปเปิ้ ล 19 มะพร ้ำว 75 Date plam 450 โครงสร ้ำงของใบทีม ่ ค ี วำมสำคัญต่อกำรคำยน้ ำ เอ บไ การค · ~C าน ม่ ด้ ดื มี ล่ Stomatal transpiration : กำรคำยน้ ำในรูปของ ไอน้ ำผ่ำนทำงปำกใบ = Cuticular transpiration : กำรคำยน้ ำทำงผิวใบ และลำต ้นอ่อนๆ - Lenticular transpiration : กำรคำยน้ ำออกมำ ทำงรอยแตกหรือรูเล็กๆตำมลำต ้น - - โครงสร ้ำงของปำกใบ กำรกระจำยตัวของปำกใบ ปำกใบของพืชแต่ละชนิดมีควำมแตกต่ำงกัน -ขนำด - รูปร่ำง -จำนวนและกำรกระจำยของปำกใบ โดยทั่วไปมีจำนวนปำกใบเฉลีย ่ ระหว่ำง 1,000- 100,000 สว่ นใหญ่มจี ำนวนปำกใบด ้ำนบนผิวน ้อยกว่ำด ้ำนล่ำง Amphistomatic leaf ห งใ Hypostomatic leaf เจอ เยอ ฯ ก Epistomatic leaf ว่ ลั กลไกกำรปิ ดเปิ ดของปำกใบ #+ # างนอ กมา + ปาก ใบ บิ ข้ ปั จจัยทีม ่ ผ ี ลต่อกำรคำยน้ ำ ปั จจัยทีเ่ กีย ่ ่ วข ้องกับพืช เชน  ลักษณะและโครงสร ้ำงของใบ แบ่งพืชตำมพืน ้ ฐำนควำมต ้องกำรน้ ำ - Mesophyte - Hydrophyte -Xerophyte Xerophyte Sunken stoma Mesophyte Typical stoma Hydrophyte Raised stoma กำรจัดเรียงตัวของใบในต ้นพืช - ใบพืชตัง้ ตัวตำมแนวระดับมีโอกำสได ้รับ แสงมำกกว่ำแนวดิง่ จำนวนปำกใบ - ถ ้ำมีปำกใบมำกกำรคำยน้ ำเกิดขึน ้ ได ้ มำก ่ วข ้องกับสงิ่ แวดล ้อม ปั จจัยทีเ่ กีย  ลม ชว่ ยทำให ้ไอน้ ำทีพ ่ ชื ระเหยออกมำ จำกใบและอยูร่ อบๆใบให ้พ ้นไปยังผิวใบ  อุณหภูม ิ อุณหภูมส ิ งู ทำให ้น้ ำ จำกเซลล์ภำยในใบระเหยเป็ นไอได ้ง่ำย  สภำพของดิน บริเวณทีด ่ น ิ มีน้ ำน ้อย รำกพืชดูดน้ ำขึน ้ ดินมำใชได ้ ้น ้อย อัตรำกำรคำย น้ ำทำงใบก็จะลดลง  แสงสว่ำง มีผลทำให ้ปำกใบเปิ ด กว ้ำงขึน ้ เนือ ่ งจำกมีน้ ำตำลทีเ่ กิดจำกกำร สงั เครำะห์แสงในเซลล์คม ุ มำกขึน ้ น้ ำจำกเซลล์ ข ้ำงเคียงแพร่เข ้ำไปในเซลล์คม ุ ทำให ้เซลล์คมุ พองตัวเต่งชน ึ้  ควำมชน ื้ ถ ้ำควำมชน ื้ ในบรรยำกำศ สูง กำรคำยน้ ำจะเกิดขึน ้ น ้อยและชำลง ้ ควำมสำคัญต่อกำรคำยน้ ำ ผลต่อกำรเคลือ ่ นทีข ่ องน้ ำในพืช ผลต่อกำรดูดแลกำรลำเลียงแร่ธำตุ ผลต่อกำรลดอุณหภูมข ิ องใบพืช ชว่ ยทำให ้เซลล์ในใบเปี ยกชน ื้ กำรคำยน้ ำในรูปของหยดน้ ำ (Guttation) เกิดขึน ้ เมือ ่ รำกมีอต ั รำกำรดูดน้ ำสูงและ สภำพแวดล ้อมภำยนอกไม่เหมำะสมกับกำรคำย น้ ำอย่ำงธรรมดำ แรงดันรำก (root pressure) จะ ดันน้ ำจำกรำกไปสูส ่ ว่ นอืน ่ ๆของพืชและจะดันให ้ น้ ำทีม ่ มี ำกเกินพอออกทำงท่อไซเลมบริเวณ ปลำยสุดของเสนใบ ้ (hydrathode) ม แร งด นมากก ปก ต ↓ ดั มี

Use Quizgecko on...
Browser
Browser