ชีววิทยาของผึ้ง การเลี้ยงผึ้งและการอนุรักษ PDF
Document Details
Uploaded by SprightlyCherryTree3408
Mahasarakham University
Tags
Summary
This document details the biology of bees, encompassing beekeeping and conservation practices. It explores the historical significance of bees and their relationship with humans, touching upon various aspects such as the different types of bees and their distribution, and the role of bees in pollination and the economy.
Full Transcript
ชีววิทยาของผึ้ง การเลี้ยงผึ้งและการอนุรักษ 1 บทที่ 1 บทนํา 1.1 บทนํา ผึ้งและมนุษยมีความสัมพันธเกี่ยวของกันมาชานานทั้งทางตรงและทางออม ผลิตภัณฑที่ได จากผึ้งนั้นไมวาจะเปนน้าํ ผึง้...
ชีววิทยาของผึ้ง การเลี้ยงผึ้งและการอนุรักษ 1 บทที่ 1 บทนํา 1.1 บทนํา ผึ้งและมนุษยมีความสัมพันธเกี่ยวของกันมาชานานทั้งทางตรงและทางออม ผลิตภัณฑที่ได จากผึ้งนั้นไมวาจะเปนน้าํ ผึง้ เรณูผึ้ง นมผึ้ง ไขผึ้ง หรือแมแตพิษผึ้ง ลวนเปนประโยชนตอ มนุษยทงั้ สิน้ นอกจากนี้ผึ้งยังชวยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรโดยการเขาไปผสมเกสรใหแกพืชพันธุตางๆ ทําให มนุษยมีอาหารและรายไดเพิ่มขึ้น ดอกไมและผึ้งเปนของคูกัน กวีนิพนธเกือบทุกภาษาในโลกมักเปรียบเทียบดอกไมกับผึ้ง เสมือนความรักของหนุมสาว นอกจากนั้นกวีบางทานยังมีการเปรียบเทียบน้ําผึ้งกับความรักและคูรัก เพราะน้ําผึ้งนั้นมีความหอมหวานชวนรับประทานเปนอยางยิ่ง คนนิยมเรียกการไปฉลองความรักวา ฮันนีมูน (honeymoon หรือ น้ําผึ้งพระจันทร คือการไปดื่มด่ํากับความรักหลังแตงงาน) และเรียก คนที่ตนเองรักวา “honey” นอกจากนี้ยังมีการใชประโยชนจากผึ้งในทางการแพทย เชน การใช น้ําผึ้งเปนสวนผสมของยา หรือแมแตการใชพิษผึ้งในการรักษาโรคบางชนิด 1.2 ความสําคัญและประวัติ ผึ้งและน้ําผึ้งมีมาเปนระยะเวลายาวนานประมาณ 10-20 ลานปแลว ซึ่งมีมากอนที่มนุษย จะถือกําเนิดเสียอีก จึงถือไดวาน้ําผึ้งอาจเปนสารใหความหวานอันดับตนๆ ที่มนุษยรูจักและนํามาใช ประโยชนเปนอาหาร ในตางประเทศมีหลักฐานเกี่ยวกับความสัมพันธระหวางคนกับผึ้งหลายอยาง เชน ภาพวาดผนังถ้ําและบนกอนหินที่พบทางใตของประเทศแอฟริกาที่แสดงใหเห็นภาพผึ้งและรังผึง้ และบางภาพยังแสดงใหเห็นถึงอุปกรณที่ใชในการตีผึ้งดวย เชน บันได การใชควัน เปนตน (ภาพที่ 1.1) ในประเทศสเปนพบภาพวาดบนกอนหินที่แสดงใหเห็นถึงการปนบันไดเพื่อตีรังผึ้ง ซึ่งภาพวาด ดังกลาวคาดวาวาดขึ้นเมื่อประมาณ 10,000-15,000 ป กอนคริสตกาล (ภาพที่ 1.2) อีกภาพที่พบใน ประเทศสเปนคนพบเมื่อป ค.ศ. 1924 เปนภาพแสดงคนกําลังแบกถุงในขณะที่ตีผึ้ง (ภาพที่ 1.3) และนอกจากนี้ยังพบภาพอื่นที่มีลักษณะเชนนี้ในบริเวณใกลเคียงกันอีกหลายภาพ ซึ่งคาดวาวาดขึ้น เมื่อประมาณ 7,000 ป กอนคริสตกาล (Crane, 1980) 2 ชีววิทยาของผึ้ง การเลี้ยงผึ้งและการอนุรักษ ภาพที่ 1.1 ภาพวาดการตีผึ้งที่พบบนผนังถ้ําในประเทศแอฟริกา (ที่มา: Crane, 1980) ภาพที่ 1.3 ภาพวาดการตีผึ้งที่พบบนผนังถ้ํา ในประเทศสเปนโดยในภาพแสดงการถื อ ถุ ง สําหรับใสน้ําผึ้ง (ที่มา: Crane, 1980) ภาพที่ 1.2 ภาพวาดการตีผึ้งที่พบบนผนังถ้ําในประเทศสเปน โดยในภาพแสดงการใชบันไดในการปนขึ้นไปเก็บน้ําผึ้ง (ที่มา: Crane, 1980) ชีววิทยาของผึ้ง การเลี้ยงผึ้งและการอนุรักษ 3 ในอดีตน้ําผึ้งไดมาจากรังธรรมชาติที่สวนใหญผึ้งมักสรางรังในโพรงไม ตอมาไดมีบันทึกไว วาเริ่มมีการเลี้ยงผึ้งเพื่อเก็บเกี่ยวน้ําผึ้งตั้งแตประมาณ 2,400 ป กอนคริสตกาล โดยในประเทศอียิปต มีภาพวาดการเลี้ยงผึ้งในหมอดิน (mud hive) (ภาพที่ 1.4) หลังจากนั้นจึงไดมีการพัฒนาวิธีการ เลี้ยงเรื่อยมา (Crane, 1980) ภาพที่ 1.4 ภาพวาดการเลี้ยงผึ้งในภาชนะทีส่ ามารถเคลื่อนยายไดในประเทศอียิปต (ที่มา: Crane, 1980) วิธีการเก็บน้ําผึ้งในยุคแรก ๆ ของคนยุโรปตะวันตกนั้นคลายกันกับที่อื่น ๆ คือ การจับผึ้ง จากรังผึ้งในธรรมชาติ (ภาพที่ 1.5) ตอมาไดมีการเลี้ยงผึ้งในรัง หรือภาชนะที่เคลื่อนยายได เชน รัง ผึ้งโบราณ (skep) (ภาพที่ 1.6) โดยจับกลุมผึ้งที่กําลังแยกรัง (swarm) จากธรรมชาติใสไวใน skep (ภาพที่ 1.7) จากนั้นไดมีการพัฒนาหีบเลีย้ งผึ้งเพื่อใหสามารถเลี้ยง จัดการ และเก็บเกี่ยวน้ําผึ้งไดงา ย แบบที่เห็น ในปจจุบัน เรียกวา Langstroth hive (ภาพที่ 1.8) (Crane, 1980) โดยรายละเอี ยด เกี่ยวกับรังผึ้งสมัยใหมจะกลาวอีกครั้งในบทที่ 8 การเลี้ยงผึ้งและการจัดการฟารมผึ้ง ภาพที่ 1.5 ภาพวาดการตีผงึ้ ในยุโรปตะวันตก (ที่มา: Crane, 1980) 4 ชีววิทยาของผึ้ง การเลี้ยงผึ้งและการอนุรักษ ภาพที่ 1.6 ภาพวาดการเลี้ยงผึ้งใน skep ภาพที่ 1.7 ภาพวาดการจับผึ้งในธรรมชาติไปเลี้ยง (ที่มา: Crane, 1980) (ที่มา: Crane, 1980) ภาพที่ 1.8 รังเลี้ยงผึ้งแบบ Langstroth hive (ที่มา: ภาพโดย ปยมาศ นานอก โสภาลดาวัลย) การศึกษาชีววิทยาของผึ้งไดเริ่มมีมาหลายทศวรรษแลว แตยังมีความเขาใจพฤติกรรมทาง เพศของผึ้งผิดกันอยู โดยในสมัยกอนคริสตกาล อริสโตเติลและนักธรรมชาติวิทยาคนอื่นเขาใจวารัง ผึ้งถูกปกครองดวยราชาผึ้ง (king bee) แตตอมามีผูศึกษาพบวา ผึ้งที่ทําหนาที่ปกครองรังคือผึ้งเพศ เมีย หรือผึ้งนางพญา (queen bee) โดยนักวิทยาศาสตรไดสนใจศึกษาชีววิทยาของผึ้ง ตั้งแตกอน ค.ศ. 1930 จนถึงปจจุบัน (สิริวัฒน วงษศิร,ิ 2555) ชีววิทยาของผึ้ง การเลี้ยงผึ้งและการอนุรักษ 5 ความสนใจในเรื่องผึ้งของคนไทยก็มีมานานหลายรอยปเชนกัน ดังมีหลักฐานจากหลักศิลา จารึกในสมัยพอขุนรามคําแหง ที่มีพยัญชนะ “ผ” แลว นอกจากนี้ยังมีการกลาวถึงเรื่องฝูงผึ้ง ใน นิทานชาดกตั้งแตสมัยกรุงสุโขทัย (พ.ศ. 1890-1920) ซึ่งในสมัยตนกรุงรัตนโกสินทรไดมีการเขี ยน รูป รังผึ้งไวที่บานประตู หนาตาง ของพระที่นั่ งหมูพระวิ มานในวังหนา ณ พิพิธภัณฑสถานแห งชาติ กรุงเทพมหานคร จํานวนหลายภาพ (ภาพที่ 1.9) และยั งพบว าตํารายาไทยหลายขนานที่เขี ยนไวที่ กํ าแพงโบสถวั ดโพธิ์ (วั ดพระเชตุ พนวิ มลมั งคลาราม) ได กล าวถึ งการผสมสมุ นไพรกั บน้ํ าผึ้ ง เป น องคประกอบที่สําคัญ แสดงใหเห็นวาคนสมัยนั้นตัดรังผึ้งเพื่อนําน้ําผึ้งมาบริโภคกันมาชานานแลว และ มีการนําไขผึ้ง (หรือที่เรียกกันทั่วไปวาขี้ผึ้ง) มาหลอมทําเทียนเพื่อประกอบพิธีศาสนกิจตางๆ (สิริวัฒน วงษศิริ และคณะ, 2549) ภาพที่ 1.9 ภาพวาดรังผึ้งและดอกไมที่พบ ณ บานประตู หนาตาง ของพระที่นงั่ หมูพระวิมาน ในวังหนา ณ พิพิธภัณฑสถานแหงชาติ (ที่มา: ภาพโดย ปยมาศ นานอก โสภาลดาวัลย) ดวยเหตุที่ผึ้งมีความสําคัญทางเศรษฐกิจ และมีความสําคัญตอชีวิตของมนุษยไมวาจะเปน อาหาร เปนสวนผสมของยา และประโยชนอันมหาศาลอีกประการหนึ่ง คือ ความอุดมสมบูรณของ พืชพันธุธัญญาหารที่มาจากผลงานซึ่งผึ้งชวยถายเรณูใหพืชนานาชนิดติดลูกผลดกเปนจํานวนมาก ดังนั้นการศึกษาชีววิทยาของผึ้งจึงเปนสิ่งจําเปนอยางมากไมวาจะเปนการรูจักชนิด การแพรกระจาย โครงสรางของผึ้ง สังคมของผึ้ง พฤติกรรมของผึ้ง โรคและศัตรูของผึ้ง การเลี้ยงและการจัดการฟารม ผึ้ ง การขยายพั นธุผึ้ ง รวมไปถึ งการอนุ รั กษ ผึ้ ง เนื่ อ งจากผูเลี้ ยงผึ้ งประสบป ญหาในการเลี้ยงผึ้ ง มากมาย หากผูเ ลี้ยงผึ้งเขาใจธรรมชาติและชีววิทยาของผึ้งแลว ความรูเหลานี้จะชวยใหลดปญหาใน การเลี้ยงผึ้งไดมาก 6 ชีววิทยาของผึ้ง การเลี้ยงผึ้งและการอนุรักษ 1.3 อนุกรมวิธานของผึ้ง ผึ้ งเป น แมลงสัง คมแท ชั้ น สู ง ที่ มีวิ วั ฒนาการสู ง สุ ดในกลุ ม ของแมลง ถู ก จั ดไว ในอั น ดั บ (order) เดียวกันกับแมลงพวก ตอ แตน มด แมลงภู การจัดเรียงลําดับขั้น (classification) ของผึ้งมี ดังตอไปนี้ Phylum Arthropoda Class Insecta Order Hymenoptera Superfamily Apoidea Family Apidae Subfamily Apinae Genus Apis (Ruttner, 1988) ลักษณะของแมลงกลุมผึ้งโดยสังเขปคือ มีปกที่เปนแผนบาง 2 คู โดยมีเสนปก (vein) ที่ สําคัญเห็นไดชัดเจน ปกคูหนามีขนาดใหญกวาปกคูหลังและมีเสนปกมากกวา มีสวนที่มีลักษณะเปน ตะขอ เรียกวา hamuli ที่บริเวณขอบบนของปกคูหลัง ใชสําหรับยึดปกคูหนาและคูหลังใหติดกันใน ขณะที่บิน เพื่อใหกระพือปกไปพรอมกันทําใหบินไดเร็ว มีปากเปนแบบกัดเลีย ที่หัวมีหนวดรูปหัก ขอศอก (geniculate) มีตาเดี่ยวและมีตาประกอบขนาดใหญ ขาหลังทั้งสองขางของผึ้งงานมีอวัยวะ ที่ใ ช สําหรับเก็บ เรณูเรียกว า ตะกร า เก็ บ เรณู (pollen basket) ผึ้ ง เพศเมี ยมี เหล็ กใน (sting) ใช สําหรับ ตอยซึ่งเปนอวัยวะที่ดัดแปลงมาจากอวัยวะวางไข (ovipositor) (สิ ริวัฒน วงษ ศิริ, 2532; Winston, 1987) การเลี้ยงผึ้ง 7 1.4 ลักษณะและวิธีการที่ใชในการวินิจฉัยและจัดจําแนกชนิดของผึ้ง 1.4.1 ลักษณะการสรางรัง (nest architecture) การสรางรังของผึ้ง มี 3 แบบคือ 1. รังขนาดเล็ก เปนรวงรังชั้นเดียวมีเสนผานศูนยกลางของรังประมาณ 10-20 เซนติเมตร มักสรางรังในที่โลงบนตนไม มีกิ่งไมเปนแกน หรือสรางรังในพุมไม (ภาพที่ 1.10 A) ผึ้งที่ มีการสรางรังลักษณะนี้ ไดแก ผึ้งมิ้ม (Apis florea) และ ผึ้งมิ้มดํา หรือ ผึ้งมาน (A. andreniformis) ถึงแมวาผึ้งสองชนิดนี้มีลักษณะการสรางรังที่คลายคลึงกัน แตลักษณะของการสรางหลอดรวง (cell) ของรังนั้นตางกัน จึงสามารถจําแนกผึ้งทั้งสองชนิดนี้ไดโดยสังเกตจากพฤติกรรมและลักษณะของรัง คือ รวงรังของผึ้งมิ้มมีลักษณะคอนขางกลมมน (ภาพที่ 1.11 A) ในขณะที่รังของผึ้งมิ้มดํามีรวงรัง คอนขางรี และผึ้งงานบริเวณดานลางของรวงรังเกาะกันในลักษณะที่ยอยแหลมลงมาคลายหางเรียกวา tail (ภาพที่ 1.11 B) และโครงสรางรวงรังของผึ้งทั้ง 2 ชนิดมีความแตกตางกัน โดยบริเวณหัวคอนที่ใช เก็บน้ําผึ้งของผึ้งมิ้มไมมีสวนที่เปนแกนกลางที่เรียกวา mid rib ซึ่งหมายถึงเสนกึ่งกลางที่เปนจุดกําเนิด ของการสรางหลอดรวงทุกหลอด ดังนั้นหลอดรวงของรังผึ้งมิ้มที่บริเวณหัวคอนจะเริ่มสรางจากกิ่งไมที่ เปนแกนของรวงรังโดยตรง (ภาพที่ 1.12 A) ในขณะที่รวงรังของผึ้งมิ้มดํานั้นมีสวนที่เรียกวา mid rib ชัดเจน (ภาพที่ 1.12 B) 2. รัง ขนาดใหญ เป น รวงรั ง ชั้ น เดีย วมี เส นผา นศู น ย ก ลางของรั งมากกว า 50 เซนติเมตร มัก สรา งรัง ในที่โลงบนต นไม สู ง หน า ผา หรื อ บนอาคารสูง เช น รั ง ของผึ้ ง หลวง (A. dorsata) (ภาพที่ 1.10 B) 3. รั งซ อนกันหลายชั้ นขนานกั น มักทํ ารังในโพรงไมหรือที่ปดมิดชิด เช น ใต หลังคาบาน ในโองน้ําที่ไมใชแลว ในลําโพง (ภาพที่ 1.10 C) ไดแก รังของผึ้งโพรง (A. cerana) และ ผึ้งพันธุ (A. mellifera) 10 ซม. 50 ซม. 10 ซม. A B C ภาพที่ 1.10 การสรางรังของผึ้ง (A) รังผึ้งมิ้ม (A. florea) (B) รังผึ้งหลวง (A. dorsata) และ (C) รังผึ้งโพรง (A. cerana) (ทีม่ า: ภาพโดย ปยมาศ นานอก โสภาลดาวัลย) 8 การเลี้ยงผึ้ง A B ภาพที่ 1.11 การสรางรังของผึ้งมิ้ม (A. florea) (A) และ การสรางรังของผึ้งมิ้มดํา (A. andreniformis) (B) (ที่มา: Wongsiri et al., 1996) mid rib A B ภาพที่ 1.12 ลักษณะการสรางหลอดรวงของรังผึ้งมิ้ม (A. florea) (A) และ การสรางหลอดรวงของ ผึ้งมิ้มดํา (A. andreniformis) ที่มีสวนที่เรียกวา mid rib (B) (ที่มา: ดัดแปลงจาก Oldroyd and Wongsiri, 2006) การเลี้ยงผึ้ง 9 1.4.2 ลักษณะทางสัณฐานวิทยาของผึ้ง (morphology) ลักษณะทางสัณฐานวิทยา เชน ความยาวของลําตัว ปก ขา ลิ้น (ภาพที่ 1.13) และลักษณะ ของอวัยวะสืบพันธุเพศผู (ภาพที่ 1.14) เปนตน โดยในสวนของปกสามารถวินิจฉัยไดจากความยาว ความกวางของปก มุมของเสนปก ตําแหนงของเสนปก จํานวนตะขอที่บริเวณขอบบนของปกหลัง หรือ hamuli เปนตน (ภาพที่ 1.13 A) สวนของลิ้น (proboscis) สามารถวินิจฉัยไดจากการวัดความ ยาวของลิ้น (ภาพที่ 1.13 B) และสวนของขา (leg) สามารถวัดความยาวของสวนประกอบตางๆ ของ ขา คือ coxa, trochanter, femur, tibia และ tarsus นอกจากนี้ลักษณะขาหลังของเพศผูในผึ้งมิ้ม และผึ้งมิ้มดํา หรือ ผึ้งมาน ยังมีลักษณะที่แตกตางกันอยางชัดเจน (ภาพที่ 1.13 C) (Oldroyd and Wongsiri, 2006) วิธี การวั ดลักษณะทางสั ณฐานวิ ทยาในรู ปแบบของตั วเลข อั ตราส วน องศาของมุ ม ฯลฯ เหลานี้ แลวนําขอมูลที่ไดจากการวัดมาวิเคราะหผลทางสถิติ เพื่อจําแนกความแตกตางหรือวินิจฉัยชนิด ของสิ่งมีชีวิตหรือวัตถุที่กําลังทําการศึกษาอยู เรียกวา มอรโฟเมตริก (morphometric) (Koutecky, 2015) A B C ภาพที่ 1.13 อวัยวะที่ใชในการวินิจฉัยชนิดของผึ้ง ไดแก สวนปก (A) สวนลิ้น (B) และ สวนขาของผึ้งเพศผู (C) (ทีม่ า: Oldroyd and Wongsiri, 2006) 10 ชีววิทยาของผึ้ง การเลี้ยงผึ้งและการอนุรักษ สําหรับลักษณะสัณฐานวิทยาของอวัยวะสืบพันธุของผึ้งเพศผูแตละชนิดก็มีความแตกตาง กัน ดังภาพที่ 1.14 ทั้งนี้เพื่อปองกันการผสมพันธุขามชนิด A. andreniformis A. florea A. dorsata A. cerana ภาพที่ 1.14 อวัยวะสืบพันธุเพศผูของผึ้งมิ้มดํา (A. andreniformis) ผึ้งมิ้ม (A. florea) ผึ้งหลวง (A. dorsata) และผึ้งโพรง (A. cerana) (ที่มา: ภาพโดย สิริวัฒน วงษศิริ) 1.4.3 พฤติกรรมในการผสมพันธุ (mating behavior) กอนที่ผึ้งเพศผูจะผสมพันธุกับผึ้งนางพญา ผึ้งเพศผูจะบินมารวมกันที่ตําแหนงที่เรียกวา Drone Congregation Area (DCA) ซึ่งระดับความสูงของตําแหนงดังกลาวในผึ้งแตละชนิดมีความ แตกตางกัน นอกจากนี้ชวงเวลาในการบินออกมาผสมพันธุของผึ้งแตละชนิดก็แตกตางกัน ทั้งนี้เพื่อ ปองกันการผสมพันธุขามชนิด โดยรายละเอียดของพฤติกรรมการผสมพันธุจะกลาวในบทที่ 5 เรื่อง พฤติกรรมของผึ้ง (Hadisoesilo and Otis, 1996; Koeniger et al., 1994; 1996; 1988; Koeniger and Koeniger, 2000; Koeniger and Wijayagunasekara, 1976; Rinderer et al., 1993) 1.4.4 การใชขอมูลทางอณูพันธุศาสตร (molecular genetics) ในปจจุบันนิยมใชวิธีการนี้กันมาก เนื่องจากรวดเร็วและแมนยํา แตขอดอยของวิธีการนี้คือ คาใชจายสูงมาก โดยการวินิจฉัยชนิดของผึ้งนั้นสามารถทําไดตั้งแตการศึกษาโปรตีน (allozyme), nuclear DNA, mitochondrial DNA แ ล ะ DNA sequences ( Crozier and Pamilo, 1996; Deowanish et al., 1996; Estoup et al., 1995, Rattanawannee et al., 2020) ชีววิทยาของผึ้ง การเลี้ยงผึ้งและการอนุรักษ 11 1.5 ชนิดของผึ้งและการกระจาย มีรายงานวาพบผึ้งในสกุลเอปส (Apis) ทั้งหมด 9 ชนิด (species) โดยแบงออกเปน 3 กลุม คือ 1) กลุมผึ้งเล็ก (dwarf honey bees) ไดแก Apis florea และ A. andreniformis, 2) กลุมผึ้ง ใหญ (giant honey bees) ไดแก A. laboriosa และ A. dorsata และ 3) กลุมผึ้งที่สรางรังในโพรง ( cavity- nesting honey bees) ไ ด แ ก A. mellifera, A. koschevnikovi, A. nuluensis, A. nigrocincta และ A. cerana (Koeniger and Koeniger, 2000; Oldroyd and Wongsiri, 2006) ดังรายละเอียดตอไปนี้ 1.5.1 กลุมผึ้งเล็ก (dwarf honey bees) ผึ้งเล็ก ไดแก ผึ้งมิ้ม (red dwarf honey bee, A. florea) และ ผึ้งมิ้มดํา หรือผึ้งมิ้มเล็ก หรือผึ้งมาน (small dwarf honey bee, A. andreniformis) ผึ้งในกลุม นี้เปนผึ้งที่พบไดทั่วไปใน ทวีปเอเชีย โดยมักจะสรางรังบนตนไมและในพุมไมที่ไมสูงจนเกินไป ลักษณะรวงรังเปนรวงรังชั้น เดียว ผึ้งเล็กทั้ง 2 ชนิดนี้มีลักษณะที่คลายคลึงกันมาก ในระยะแรกมักเรียกรวมเปนผึ้งชนิดเดียวกัน วา Micrapis จนกระทั่งป 1987 Wu และ Kuang ไดจําแนกผึ้งทั้ง 2 ชนิดนี้ออกจากกัน 1. ผึ้งมิ้ม (A. florea) ลักษณะลําตัวของผึ้งงานมีปลองสีขาวคาดสม และสวนปลายทองเปนสีขาวสลับดํา (ภาพที่ 1.15) พบไดทั่วไปในประเทศไทยและทุกประเทศในแถบตะวันออกของภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉี ยงใตขึ้นไปถึงจี นตอนใต พมา อิ นเดีย ศรีลังกา ปากี สถาน จนถึ งประเทศโอมาน (ภาพที่ 1.17) (Oldroyd and Wongsiri, 2006; Ruttner, 1988; Wongsiri et. al. 1990) A B ภาพที่ 1.15 ผึ้งงานของผึ้งมิ้ม (A. florea) (A) และรังของผึ้งมิม้ (B) (ที่มา: ภาพโดย ปยมาศ นานอก โสภาลดาวัลย) 12 ชีววิทยาของผึ้ง การเลี้ยงผึ้งและการอนุรักษ 2. ผึ้งมิ้มดํา หรือ ผึ้งมาน หรือ ผึ้งมิ้มเล็ก (A. andreniformis) ผึ้งมิ้มดํามีขนาดลําตัวเล็กกวาผึ้งมิ้ม (A. florea) บริเวณทองของผึ้งงานมีแถบสี ขาวสลับดํา (ภาพที่ 1.16) แตในบางรังพบวามีผึ้งงานที่มีสีสมสลับดําอยูดวย ทั้งนี้อาจเกิดจากการมี ภาวะพหุสัณฐาน (polymorphism) ภายในชนิด นั่น เอง การกระจายของผึ้ งมิ้ มดํ า พบในประเทศ ฟ ลิป ปนส (เกาะ Palawan) อิ น โดนี เ ซี ย มาเลเซี ย ไทย ไปจนถึ ง ประเทศพม า และตอนใต ข อง ประเทศจีน (ภาพที่ 1.17) ในประเทศไทยนั้นมีรายงานวาพบที่จังหวัดจันทบุรี เชียงใหม (อ. เชียง ดาว) และตั้ ง แต จั ง หวั ด สงขลาลงไปจนถึ ง ประเทศมาเลเซี ย (Oldroyd and Wongsiri, 2006; Ruttner, 1988; Wongsiri et al., 1990) A B ภาพที่ 1.16 ผึ้งงานของผึ้งมิ้มดํา (A. andreniformis) (A) และรังของผึ้งมิ้มดํา (B) (ที่มา: Robinson, 2011) การเลี้ยงผึ้ง 13 A. florea A. andreniformis ภาพที่ 1.17 การกระจายของผึ้งมิ้ม (A. florea) และ ผึ้งมิ้มดํา (A. andreniformis) (ที่มา: Oldroyd and Wongsiri, 2006) 1.5.2 กลุมผึ้งใหญ (giant honey bee) มีรายงานการพบผึ้งใหญ 2 ชนิด ไดแก ผึ้งหลวง (giant honey bee, A. dorsata) และ ผึ้งหลวงหิมาลัย (himalayan giant honey bee, A. laboriosa) เปนผึ้งที่มีขนาดตัวและขนาดรัง ใหญที่สุด โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ผึ้งหลวง (A. dorsata) สามารถพบผึ้ง หลวงได ทั่ว ไปในประเทศไทย ขนาดเส น ผ านศู น ย กลางของรัง ประมาณ 0.5-1.5 เมตร ผึ้งหลวงมักจะทํารังบนตนไมสูง หรือตามหนาผาบนภูเขา โดยลักษณะของ รังเปนแบบรังเดี่ยวรูปครึ่งวงกลมไมมีที่ปกปด (ภาพที่ 1.18) ซึ่งแตกตางจากการสรางรังของผึ้งโพรง และผึ้งพันธุ โดยบางครั้งพบผึ้งหลวงทํารังเดี่ยวติดกัน หรือใกลกันจํานวน 50-60 รังบนตนไมตน เดียวกัน (ภาพที่ 1.19 A) โดยมักพบในตางจังหวัดที่มีสภาพปาที่สมบูรณ เชน จังหวัดแมฮองสอน เปนตน แตในพื้นที่ในชุมชนเมืองกลับพบผึ้งหลวงทํารังบนสิ่งกอสรางสูง (ภาพที่ 1.19 B) โดยทั่วไปผึง้ หลวงมักเกาะทํารังอยูนานเพียง 3-4 เดือนเทานั้น เมื่ออาหารขาดแคลน (ดอกไมบานหมดไป) ผึ้ง หลวงจะบินอพยพไปหาที่ อยูใหม ผึ้งหลวงสามารถอพยพเปนระยะทางไกลได ประมาณ 150-200 กิโลเมตร โดยจะอพยพเขาสูบริเวณปาเขาในฤดูแลงเนื่องจากอาหารในที่ราบของผึ้งหลวงมีนอย และ 14 ชีววิทยาของผึ้ง การเลี้ยงผึ้งและการอนุรักษ อพยพกลับมาที่บริเวณพื้นราบในชวงปลายฤดูฝนเมื่อดอกไมเริ่มบานอีกครั้ง ถาพื้นที่ใดอุดมสมบูรณผึ้ง หลวงจะมาเกาะทํารังบริเวณนั้นเปนประจําทุกป รังผึ้งหลวงบางรังมีขนาดใหญมากถึง 1.5 เมตร X 1 เมตร และอาจมีประชากรผึ้งงาน (workers) ในรังมากกวา 50,000 ตัว ลําตัวของผึ้งงานมีความยาว ประมาณ 17 มิลลิเมตร ปกมีความยาวประมาณ 12.5-14.5 มิลลิเมตร ผึ้งนางพญา (queen) มีลําตัว ยาวกวาผึ้งงานเล็กนอยคือ 20 มิลลิเมตร และผึ้งเพศผู (drone) มีความยาวของลําตัวประมาณ 16 มิลลิเมตร (Oldroyd and Wongsiri, 2006) A B ภาพที่ 1.18 ผึ้งงานของผึ้งหลวง (A. dorsata) (A) และรังของผึง้ หลวง (B) (ที่มา: ภาพโดย ปยมาศ นานอก โสภาลดาวัลย) A B ภาพที่ 1.19 การสรางรังผึ้งหลวงจํานวนหลายรังบนตนยวนผึง้ (A) (ที่มา: สิริวฒ ั น วงษศิริ และคณะ, 2549) และ การสรางรังผึ้งหลวงบนถังเก็บน้ําประปา (B) (ที่มา: Oldroyd and Wongsiri, 2006) ชีววิทยาของผึ้ง การเลี้ยงผึ้งและการอนุรักษ 15 ผึ้งหลวง ประกอบไปดวย 3 ชนิดยอย (subspecies) ไดแก 1.1 A. dorsata dorsata พบกระจายอยูทั่วไปในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต (ภาพที่ 1.21) 1.2 A. dorsata breviligula พบกระจายอยู บ ริ เวณเกาะ Luzon ประเทศ ฟลิปปนส (ภาพที่ 1.21) 1.3 A. dorsata binghami พบกระจายอยู บ ริ เ วณเกาะ Sulawesi และ Butang ประเทศอินโดนีเซีย (ภาพที่ 1.21) 2. ผึ้งหลวงหิมาลัย (A. laboriosa) ผึ้งใหญอีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคลายกับผึ้งหลวง (A. dorsata) (ภาพที่ 1.20) โดย ผึ้งชนิดนี้มีขนาดลําตัวใหญกวา สีของลําตัวเขมกวา A. dorsata เล็กนอย โดยผึ้ง A. laboriosa มัก ทํารังบริเวณหนาผา ยังไมมีรายงานวาพบในประเทศไทย มักพบผึ้งหลวงหิมาลัยทํารังในบริเวณที่สูง จากระดับน้ําทะเลมากกวา 1,200 เมตร โดยมีการกระจายตั้งแตแคว น Uttar Pradesh ประเทศ อินเดีย ประเทศเนปาล ประเทศภูฏาน ประเทศจีน และทางตอนเหนือของประเทศลาว (ภาพที่ 1.21) A B ภาพที่ 1.20 ผึ้งงานของผึ้งหลวงหิมาลัย (A. laboriosa) (A) และการสรางรังของผึ้งหลวงหิมาลัย บนหนาผา (B) (ที่มา: ภาพโดย สิรวิ ัฒน วงษศิริ) 16 ชีววิทยาของผึ้ง การเลี้ยงผึ้งและการอนุรักษ A. dorsata A. dorsata breviligula A. dorsata binghami A. laboriosa ภาพที่ 1.21 การกระจายของผึ้งหลวง (A. dorsata) และผึ้งหลวงหิมาลัย (A. laboriosa) (ที่มา: ดัดแปลงจาก Oldroyd and Wongsiri, 2006) 1.5.3 กลุมผึ้งที่สรางรังในโพรง (cavity-nesting honey bee) ผึ้งที่สรางรังในโพรง ได แก A. koschevnikovi, A. nuluensis, A. nigrocincta, A. cerana และ A. mellifera โดยผึ้ ง 4 ชนิ ดแรกเป นผึ้ งพื้ นเมื องของทวี ป เอเชี ย ส วน A. mellifera เป น ผึ้ ง พื้นเมืองของทวีปยุโรป (Oldroyd and Wongsiri, 2006; Ruttner, 1988) ลักษณะเดนของผึ้งกลุมนี้คือ ผึ้งงานมีขนาดลําตัวเล็กกวาผึ้งหลวงแตใหญกวาผึ้งมิ้ม ปกคูหนา มีความยาวประมาณ 7-10 มิลลิเมตร มักทํารังอยูในโพรงไม บางครั้งพบทํารังอยูใตหลังคาบาน หรือใน ที่ปดมิดชิดมีทางเขา-ออก 1-2 ทาง ลักษณะมีรวงรังหลายๆ ชั้น เรียงขนานกัน ขนาดรวงรังมีเสนผาน ศูนยกลางประมาณ 30 เซนติเมตร ผึ้งในกลุมนี้สามารถนํามาเลี้ยงในหีบเลี้ยงไดเชนเดียวกับผึ้งพันธุ (A. mellifera) รายละเอียดของผึ้งแตละชนิดมีดังนี้ 1. A. koschevnikovi เปน ผึ้งที่มีสีของลํ าตั วคอนข างแดง สวนของปากที่เรียกว า labrum มีสีอําพั น ลําตัวมีขนาดยาวกวาผึ้งโพรง (A. cerana) ประมาณรอยละ 10-15 การกระจายของผึ้งชนิดนี้พบได ทั่ว ไปในเกาะ Borneo, Java, Sumatra ประเทศอิ น โดนี เซีย คาบสมุ ท รมลายู และตอนใตของ ประเทศไทย ชีววิทยาของผึ้ง การเลี้ยงผึ้งและการอนุรักษ 17 2. A. nuluensis ผึ้งชนิดนี้พบไดในบริเวณพื้ น ที่ที่ สูงกว า 1,500 เมตร จากระดับ น้ํา ทะเล โดยมี รายงานวาพบในเมือง Mount Kinabalu ในเกาะบอรเนียว 3. A. nigrocincta เปนผึ้งที่มีลักษณะคลายผึ้งโพรง (A. cerana) แตมีขนาดลําตัวใหญและมีสีเหลือง กวาผึ้งโพรง โดยการกระจายของ A. nigrocincta พบในบริเวณเกาะ Sulawesi และเกาะ Sagihe เนื่องจาก A. nigrocincta และ A. cerana มีลักษณะที่คลายคลึงกันและมีการกระจายอยูในบริเวณ เดียวกัน ดังนั้นนอกจากการใชลักษณะสัณฐานวิทยาในการจําแนกชนิดแลว ยังสามารถจําแนกได จากชวงเวลาในบินออกมาผสมพันธุ (mating time) ไดคือ ผึ้ง A. cerana บินออกมาผสมพันธุเวลา ประมาณ 12.30-15.00 น. สวนผึ้ง A. nigrocincta บินออกมาผสมพันธุในเวลาประมาณ 15.00- 18.00 น. ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการผสมพันธุ ขามชนิดกัน นอกจากนี้ อีกวิ ธีหนึ่งที่ สามารถใช ในการ จําแนก A. cerana และ A. nigrocincta คื อลักษณะของการปดหลอดรวงของผึ้งเพศผู (drone cell) คือฝาปดหลอดรวงผึ้งเพศผูของ A. cerana มีความนูนขึ้นและมีรูอยูตรงกลาง (ภาพที่ 1.22) ในขณะที่หลอดรวงผึ้งเพศผูของ A. nigrocincta ไมมีรูตรงกลางหลอด 4. A. cerana ผึ้งโพรงมีการกระจายอยูเกือบทั่วทุกประเทศในทวีปเอเชีย (ภาพที่ 1.23) ดังนั้น จึงมีชื่อสามัญวาผึ้งพันธุอาเซียน (Asian honey bee) หรือบางครั้งเรียกวา Eastern honey bee ปจจุบันสามารถจําแนกผึ้งโพรงออกเปน 4 ชนิดยอย ไดแก 4.1 A. cerana cerana หรือ ผึ้งโพรงจีน เปนผึ้งโพรงที่มีขนาดใหญที่สุด สีไม เขมเหมือนผึ้งโพรงไทย มีเขตแพรกระจายในประเทศจีนขึ้นไปถึงตอนเหนือทวีปเอเชีย 4.2 A. cerana indica หรือ ผึ้งโพรงอิน เดีย หรือ ผึ้งโพรงไทย มีขนาดเล็ก ที่สุด และมีสี เข ม พบกระจายทั่ ว ไปในประเทศอิ น เดี ย ศรี ลั ง กา ไทย อิ น โดจี น มาเลเซี ย และ อินโดนีเซีย 4.3 A. cerana japonica หรือ ผึ้งโพรงญี่ปุน มีเขตกระจายอยูตามเกาะญี่ปุน และทะเลจีนเหนือ ผึ้งโพรงญี่ปุนมีขนาดเล็กกวาผึ้งโพรงจีนเล็กนอยมีสีเขมกวาผึ้งจีน 4.4 A. cerana himalaya หรือ ผึ้งโพรงหิมาลัย พบกระจายอยูแถบเชิงเขา ของเทือกเขาหิมาลัย 18 ชีววิทยาของผึ้ง การเลี้ยงผึ้งและการอนุรักษ ภาพที่ 1.22 หลอดรวงของผึ้งโพรง (A. cerana) เพศผู (ที่มา: ภาพโดย ปยมาศ นานอก โสภาลดาวัลย) ภาพที่ 1.23 การกระจายของผึ้งโพรง (A. cerana): 1) A. c. cerana, 2) A. c. indica, 3) A. c. himalaya, 4) A. c. japonica (ที่มา: Ruttner, 1988) ชีววิทยาของผึ้ง การเลี้ยงผึ้งและการอนุรักษ 19 5. A. mellifera ผึ้ งพั นธุ (Western honey bee) เป น ผึ้ ง พื้ น เมื อ งของทวี ป แอฟริ กาและยุ โ รป นิยมนํามาเลี้ยงเปนอุตสาหกรรมเนื่องจากมี พฤติ กรรมไมดุ เลี้ยงงา ย สามารถผลิตน้ํ าผึ้งได มาก มีขนาดรังพอเหมาะและไมทิ้งรังงายเหมือนผึ้งโพรงไทย มีรายงานวาพบผึ้งพันธุมากกวา 26 ชนิด ยอย (subspecies) โดยผึ้งพันธุที่นิยมนํามาเลี้ยงเปนอุตสาหกรรมมี 4 ชนิดยอย (สิริวัฒน วงษศิริ, 2555) ไดแก 5.1 A. mellifera mellifera หรื อผึ้ ง พั น ธุ สี เข ม (dark bees) เป น ผึ้ ง พั น ธุ ยุโรป มีลําตัวขนาดใหญ ลิ้นสั้น ทองกวาง ขนยาว ลําตัวมีสีน้ําตาลเขมจนเกือบดํา ไมมีสีเหลืองเขมที่ ปลองทอง พบเลี้ยงมากที่สุดในประเทศรัสเซีย 5.2 A. mellifera ligustica หรือผึ้งพันธุอิตาเลียน (Italian bees) มีถิ่นเดิม อยูในประเทศอิตาลี มีทองยาวเรียว ขนาดลําตัวเล็กกวาผึ้งพันธุสีเขมเล็กนอยแตมีลิ้นที่ยาวกวา สี ของลําตัวออกสีน้ําตาลออนและสีเหลืองจนมีชื่อวาผึ้งสีเหลือง (yellow bees) ปจจุบันเปนผึ้งที่นิยม เลี้ยงกันทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย เนื่องจากมีพฤติกรรมสงบ และตอยนอย 5.3 A. mellifera carnica หรือผึ้งพั น ธุ คารนิ โอลานส (Carniolans bees) เปนผึ้งที่นิยมเลี้ยงกันมากในประเทศเยอรมนี ฮังการี โรมาเนีย บัลแกเรีย อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา มีลักษณะคลายผึ้งอิตาเลียนมาก ขนาดเทากัน มีทองเรียวและลิ้นยาวแตมีสีเขมกวาผึ้งอิตาเลียน บางทีจึงเรียกวาผึ้งสีเทา (grey bees) มีพฤติกรรมสงบไมดุมากนัก มีผูนํามาเลี้ยงในประเทศไทย เชนเดียวกัน 5.4 A. mellifera caucasica หรือผึ้งพั น ธุ คอเคเซียน (Caucasians bees) เปนผึ้งยุโรปแถบรัสเซียตอนใต เลี้ยงแพรหลายมากที่สุดในรัสเซียและทางตอนเหนือของประเทศจีน มีลักษณะคลายผึ้งพันธุคารนิโอลานสมาก แตลิ้นยาวกวาและมีสีเทาเขม นอกจากผึ้งที่สําคัญทั้ง 4 ชนิดยอยนี้แลว ยังมีผึ้ง A. mellifera ในทวีปแอฟริกาที่สําคั ญอี ก ชนิดยอยหนึ่งคือ A. mellifera scutellata หรือผึ้งพันธุแอฟริกัน (African honey bees) โดยในป ค.ศ. 1956 ไดมีการนําผึ้งชนิดนี้เขาไปทดลองเลี้ยงในประเทศบราซิล เนื่องจากเปนผึ้งที่ขยัน แตในระหวางการ ทดลองเลี้ยงนั้น ผึ้งสายพันธุแอฟริกันดังกลาวไดแยกรังออกไป ตอมาไดไปผสมพันธุกับผึ้งพันธุยุโรปที่ เลี้ยงกันอยูทั่วไปในประเทศบราซิล ทําใหเกิ ดผึ้ งสายพั นธุผสม (hybrids) ขึ้นมา เรียกผึ้งลูกผสมนี้วา Africanized bees ซึ่งเปนผึ้งที่ใหไขดก มีประชากรมาก ทําใหไดผลผลิตน้ําผึ้งในปริมาณมาก แตขอเสีย คือผึ้งลูกผสมดังกลาวมีนิสัยที่ดุมาก มีรายงานวาผึ้งลูกผสมนี้สามารถตอยสัตวเลี้ยงขนาดใหญและคน 20 ชีววิทยาของผึ้ง การเลี้ยงผึ้งและการอนุรักษ ตายได จึงเรียกผึ้งลูกผสมนี้วา ผึ้งเพชฌฆาต (killer bees) (Howard, 2012) จากงานวิจัยของ Suppasat et al. (2007) และ Rattanawannee et al. (2020) ยังไมพบวามีผึ้งเพชฌฆาตปรากฏในประเทศไทย 1.6 สรุป ผึ้งมีบทบาทความสําคัญตอสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศทั้งทางตรงและทางออม ซึ่งในปจจุบัน มีการใชประโยชนจากผึ้งในหลายดาน ไดแก การใชเปนอาหาร ยารักษาโรค การชวยถายเรณูใหกับ พื ช ดอก รวมถึ งการเลี้ย งเพื่อ เก็ บ ผลิ ตภั ณ ฑ จ ากผึ้ ง เพื่ อ จํา หนา ยสร างรายได ให กั บ ผูเลี้ ย ง ซึ่ ง ใน ประเทศไทยพบผึ้งในสกุลเอปส ทั้งหมด 5 ชนิด ไดแก ผึ้งหลวง (A. dorsata) ผึ้งโพรงไทยหรือผึ้ง โพรงอินเดีย (A. cerana) ผึ้งมิ้ม (A. florea) ผึ้งมิ้มดําหรือผึ้งมิ้มเล็กหรือผึ้งมาน (A. andreniformis) และผึ้ ง พันธุ (A. mellifera) โดยผึ้ ง 4 ชนิ ดแรกนั้ นเปน ผึ้งพื้ น เมื องของประเทศไทย แต ผึ้ งชนิ ด สุ ด ท า ยคื อ ผึ้ ง พั น ธุ เ ป น ชนิด ที่ มี ก ารนํ า เข า จากต า งประเทศเพื่ อ ใช ใ นอุ ต สาหกรรมการเลี้ ย งผึ้ ง เนื่องจากเปนผึ้งที่เลี้ยงงาย ใหน้ําผึ้งและผลิตภัณฑอื่นในปริมาณมาก การเรียนรูชีววิทยาของผึ้งใน ดานตางๆ จะทําใหสามารถใชประโยชนจากผึ้งควบคูไปกับการอนุรกั ษผึ้งอยางยั่งยืน ************************************************************************** คําถามทายบท 1. จงบอกลักษณะและวิธีการในการจําแนกผึ้งสกุล Apis 2. ผึ้งสกุล Apis จําแนกออกเปนกี่กลุม อะไรบาง