เขียนแบบไฟฟ้าและอิเล็ก PDF
Document Details
Uploaded by Deleted User
Tags
Summary
รายงานเกี่ยวกับการเขียนแบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์. มันครอบคลุมวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือเขียนแบบและการบำรุงรักษา, สัญลักษณ์พื้นฐานทางไฟฟ้า, และการเขียนแบบบล็อกไดอะแกรม.
Full Transcript
ก ก คำนำ รายงานเล่มนี้จัดทาขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาเขียนแบบไฟฟ้าและ อิเล็กทรอนิกส์ 20107 – 2001 ช่างอิเล็กทรอนิกส์ 1/1 เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่อง การเ...
ก ก คำนำ รายงานเล่มนี้จัดทาขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาเขียนแบบไฟฟ้าและ อิเล็กทรอนิกส์ 20107 – 2001 ช่างอิเล็กทรอนิกส์ 1/1 เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่อง การเขียนแบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 20107 – 2001 และได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเป็น ประโยชน์กับการเรียน ผู้จัดทาหวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน หรือนักเรียน นักศึกษา ที่ กาลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนาหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทาขอน้อมรับไว้ และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ผู้จัดทา ข สำรบัญ เรื่อง หน้ำ คานา ก สารบัญ ข วัสดุอุปกรณ์เครื่องมือเขียนแบบและการบารุงรักษา 6 การเขียนรูปสัญลักษณ์พื้นฐานทางไฟฟ้า 12 การเขียนรูปสัญลักษณ์สวิตช์และขั้วต่อ 17 การเขียนรูปสัญลักษณ์อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และดิจิทัล 21 การเขียนแบบและอ่านแบบบล็อกไดอะแกรม 24 การเขียนแบบและอ่านแบบวายริงไดอะแกรม 28 การเขียนแบบและอ่านแบบพิกทอเรียลไดอะแกรม 31 การเขียนแบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ 32 อ้างอิง 36 1 เขียนแบบไฟฟ้ำและอิเล็กทรอนิกส์ การเขียนแบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มีความสาคัญอย่างยิ่งต่อการออกแบบ การติดตั้ง และการบารุงรักษาระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากระบบเหล่านี้มีความซับซ้อนและต้องการ ความถูกต้องแม่นยาสูง การเขียนแบบจึงเป็นเครื่องมือสาคัญที่ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถทาความ เข้าใจและทางานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาเทคโนโลยีไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ การทางานส่วนใหญ่จะ อาศัยความรู้และทักษะส่วนบุคคลโดยไม่มีรูปแบบหรือมาตรฐานที่ชัดเจน ทาให้เกิดปัญหาในการ สื่อสารและความผิดพลาดในการทางาน ต่อมาจึงมีการพัฒนาระบบการเขียนแบบโดยใช้สัญลักษณ์ และมาตรฐานเพื่อให้เข้าใจตรงกัน โดยเริ่มจากการวาดมือและใช้สัญลักษณ์พื้นฐานในการแสดง อุปกรณ์ไฟฟ้าและการเชื่อมต่อ ต่อมามีการกาหนด มาตรฐานสากล เพื่อให้การเขียนแบบมีความเป็นระบบและสามารถใช้ งานได้ทั่วโลก มาตรฐานที่สาคัญ ได้แก่ IEC (International Electrotechnical Commission) เป็นองค์กรที่กาหนดมาตรฐานด้าน ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในระดับสากล ซึ่งมีการกาหนดรูปแบบและสัญลักษณ์ที่ใช้ในการเขียนแบบ วงจรไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์อย่างชัดเจน IEEE (Institute of Electrical and Electronics Engineers) เป็นองค์กรที่พัฒนามาตรฐาน และแนวทางปฏิบัติด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ครอบคลุมการออกแบบ การติดตั้ง และ การบารุงรักษาระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 2 ANSI (American National Standards Institute) เป็นองค์กรที่กาหนดมาตรฐานใน สหรัฐอเมริกา โดยครอบคลุมถึงการออกแบบและการผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า JIS (Japanese Industrial Standards) เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่นที่ใช้ ในงานเขียนแบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี มีการนา โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยออกแบบ (CAD: Computer-Aided Design) เข้ามาช่วยในการเขียนแบบ ทาให้การออกแบบวงจรมีความถูกต้อง รวดเร็ว และสามารถปรับเปลี่ยนแบบได้ง่ายขึ้น โปรแกรมที่นิยมใช้ เช่น AutoCAD, SolidWorks และ EPLAN ซึ่งช่วยลดข้อผิดพลาดในการออกแบบและเพิ่มความสะดวกในการผลิตและติดตั้ง การเขียนแบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์แบ่งออกเป็นหลายรูปแบบตามวัตถุประสงค์ เช่น พิกทอเรียลไดอะแกรม (Pictorial Diagram): ใช้รูปภาพหรือสัญลักษณ์ที่คล้ายกับอุปกรณ์ จริง เพื่อให้เข้าใจง่าย เหมาะสาหรับงานติดตั้งและซ่อมบารุง ไลน์ไดอะแกรม (Line Diagram): แสดงการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ด้วยเส้นและสัญลักษณ์ อย่างเป็นระบบ เหมาะสาหรับงานออกแบบวงจรไฟฟ้า สเกมาติกไดอะแกรม (Schematic Diagram): แสดงความสัมพันธ์ระหว่างอุปกรณ์โดยเน้นที่ การทางานของวงจร การใช้มาตรฐานและรูปแบบการเขียนแบบที่เหมาะสมช่วยให้การทางานเป็นไปอย่างราบรื่น ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มความปลอดภัยในการทางาน การเขียนแบบยังเป็นเอกสารสาคัญที่ใช้ในการ วางแผนงานก่อสร้าง การซ่อมบารุง และการปรับปรุงระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 3 ดังนั้น การเขียนแบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์จึงเป็นรากฐานสาคัญที่ช่วยให้ระบบไฟฟ้า ทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในมาตรฐานการเขียน แบบ สัญลักษณ์ และการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการออกแบบและติดตั้งระบบ การออกแบบวงจรไฟฟ้าหรืออิเล็กทรอนิกส์ต้องคานึงถึงหลายปัจจัย เช่น กฎของโอห์ม (Ohm's Law): ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างแรงดัน (V), กระแส (I), และความ ต้านทาน (R) ซึ่งช่วยในการคานวณวงจรต่างๆ V=I×R กฎของคีร์ชอฟฟ์ (Kirchhoff's Laws): ใช้ในการวิเคราะห์วงจรที่ซับซ้อน: กฎของกระแส (Kirchhoff’s Current Law - KCL): กระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้าและออกจากจุด ใดๆ ต้องเท่ากัน 4 กฎของแรงดัน (Kirchhoff’s Voltage Law - KVL): ผลรวมของแรงดันในวงจรปิดต้อง เท่ากับศูนย์ การเลือกอุปกรณ์: การเลือกอุปกรณ์ต้องเหมาะสมกับการทางาน เช่น เลือกความต้านทานที่ เหมาะสม, เลือกอุปกรณ์ที่รองรับการจ่ายไฟฟ้าที่ถูกต้อง เป็นต้น ในการออกแบบวงจรไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ต้องเลือกใช้วัสดุและอุปกรณ์ที่เหมาะสม เช่น: การเลือกตัวต้านทาน (Resistors): ค่าความต้านทานจะต้องเลือกให้เหมาะสมกับกระแสและ แรงดันในวงจร ตัวเก็บประจุ (Capacitors): ต้องเลือกขนาดที่เหมาะสมเพื่อให้วงจรทางานได้ดี แหล่งจ่ายไฟ (Power Supply): ต้องเลือกแหล่งจ่ายไฟที่มีแรงดันและกระแสที่เหมาะสมกับ วงจร 5 ขั้นตอนการเขียนแบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 1. กาหนดวัตถุประสงค์และขอบเขตของวงจร 2. เลือกใช้อุปกรณ์และวัสดุที่เหมาะสม 3. ออกแบบวงจรโดยใช้หลักการไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 4. เขียนแผนผังวงจรด้วยสัญลักษณ์มาตรฐาน 5. ตรวจสอบความถูกต้องของแบบและทาการแก้ไข เครื่องมือและซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการเขียนแบบ AutoCAD Electrical: สาหรับออกแบบระบบไฟฟ้าอุตสาหกรรม EPLAN: สาหรับออกแบบและจัดทาเอกสารระบบไฟฟ้า KiCad: สาหรับออกแบบวงจรพิมพ์ (PCB) LTspice: สาหรับการจาลองการทางานของวงจรอิเล็กทรอนิกส์ 6 1. วัสดุอุปกรณ์เครื่องมือเขียนแบบและกำรบำรุงรักษำ กำรเขียนแบบ มีความหมาย คือ การเขียนรูปลงในกระดาษเขียนแบบ ซึ่งมีคาอธิบายไว้ใน แบบอย่างพร้อมมูล โดยการเขียนรูปสัญลักษณ์ หรือเส้นลงไว้ในแบบ ซึ่งทาให้ผู้นาเอาไปสร้างของจริง ขึ้นมาได้ การเขียนแบบเทคนิค เป็นวิชาชีพหนึ่งที่ต้องมีความรู้ทางทฤษฎีประกอบ เช่น ช่างอุตสาหกร รมทุกสาขา คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ วิทยาศาสตร์ และอื่นๆมาประยุกต์เป็นรูปแบบภาพลายเส้นที่มี สัญลักษณ์ประกอบ เพื่อนามาแสดงให้ผู้อ่านแบบงานได้เข้าใจความหมายได้รวดเร็ว โดยไม่ต้องมีคา บรรยายประกอบมากมาย ทาให้การทางานได้รวดเร็วขึ้น ผู้เขียนแบบจะต้องเป็นผู้ถ่ายทอดความคิด หรือเสนอความคิดของตนเอง และเขียนภาพสเก็ตซ์จากวิศวกร สถาปนิก และนักวิทยาศาสตร์ให้มา เป็นภาพเขียนแบบเทคนิคที่จะนามาใช้ในการผลิตและสร้างในการสเก็ตซ์ภาพหรือเขียนแบบที่ กาหนดให้มีมาตราส่วนและแสดงรายละเอียด บางครั้งผู้เขียนแบบอาจจะต้องคานวณความแข็งแรง คุณภาพ ปริมาณ และราคาวัสดุ ก่อนที่จะเริ่มเขียนแบบ เราควรจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือ อุปกรณ์ในสาหรับเขียนแบบ และวิธีใช้ให้ดี เพื่อให้ได้ผลงานเรียบร้อยรวดเร็ว ประหยัดเวลาในการ ทางาน ตลอดจนการบารุงรักษาเครื่องมือเขียนแบบให้มีสภาพดีอยู่ได้นาน การใช้เครื่องมืออุปกรณ์การเขียนแบบ เครื่องมือเขียนแบบและหน้ำที่วิธีกำรใช้ มีดังนี้ 1. โต๊ะเขียนแบบ หรือกระดำนเขียนแบบ ( Drawing Board ) ใช้รองกระดาษเขียนแบบ ในกรณีที่ไม่มีโต๊ะเขียนแบบ ให้ใช้กระดานเขียนแบบแทนก็ได้ 7 2. ไม้ฉำกรูปตัวที ( T - Square ) มีลักษณะคล้ายรูปตัว T ซึ่งมีส่วนประกอบ ๒ ส่วน คือ ส่วนหัว ( Fixed Head ) และส่วนตัวไม้ทีประกบกันเป็นมุม ๙๐ องศา ใช้สาหรับเขียนเส้นตรงใน แนวนอน หรือเส้นระดับอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งจะต้องใช้ร่วมกับโต๊ะเขียนแบบหรือกระดานเขียนแบบ พร้อมนี้จะต้องใช้ร่วมกับฉากสามเหลี่ยม (Set - Square)สาหรับลากเส้นให้เป็นมุมต่างๆ ลักษณะของ ไม้ฉากที หรือ T - Square ที่ดีนั้น หัวไม้ฉากทีต้องไม่โยกคลอน ยึดติดกันแน่นกับก้านไม้ตัวขวางของ ไม้ฉากที ขอบบนของตัวไม้ฉากทีต้องเรียบและตรงไม่บิดงอ การเขียนเส้นนอนต้องลากเส้นจากซ้ายไป ขวาเสมอ หัวไม้ฉากทีแนบกับโต๊ะเขียนแบบด้านซ้ายมือจรดปลายดินสอให้เอนไปในทิศทางของการ ลากเส้นทามุมกับกระดาษเขียนแบบเป็นมุม ๖๐ องศา ขณะเดียวกันให้ดินสอเอนออกจากขอบ บรรทัดเล็กน้อย เพื่อให้ปลายดินสออยู่ชิดขอบบรรทัดมากที่สุด ในขณะที่ลากเส้น ควรหมุนดินสอไป ด้วย ซึ่งจะช่วยรักษาปลายไส้ดินสอเ ป็นกรวยแหลม และช่วยให้เส้นดินสอโตสม่าเสมอกัน 3. ฉำกสำมเหลี่ยม ( Set - Square ) ชุดหนึ่งมีอยู่ ๒ แบบ มีมุมต่างกันดังนี้ อันแรกเรียกว่า ฉาก ๓๐ ๖๐, และ ๙๐ องศา ส่วนอันที่ ๒ เรียกว่า ฉาก ๔๕, ๔๕, และ ๙๐ องศา การเขียนมุมของ ฉากสามเหลี่ยมทั้ง ๒ อันนี้ จะต้องใช้ร่วมควบคู่กับไม้ฉากทีทุกครั้ง ในขณะทาการปฏิบัติงานเขียน แบบ ฉากสามเหลี่ยมใช้สาหรับเขียนเส้นตรงในแนวดิ่ง และเส้นเอียงทามุมต่างๆ เวลาเขียนเส้นดิ่งให้ ลากดินสอขึ้นไปตามแนวดิ่ง จับดินสอให้เอนไปในทิศทางของการลากเส้น ทามุม ๖๐ องศา กับ กระดานเขียนแบบ และให้ดินสอเอนออกจากตัวฉากสามเหลี่ยมเล็กน้อย 8 4. วงเวียน เป็นอุปกรณ์สาหรับเขียนวงกลม หรือส่วนโค้ง ด้วยดินสอดาหรือหมึกก็ได้ วง เวียนมีหลายแบบ สามารถเลือกใช้แล้วแต่ความสาคัญของความต้องการในแต่กรณี วิธีเขียนวงกลม หรือส่วนโค้ง ให้ปรับขาวงเวียนที่เป็นเหล็กแหลม ให้ยาวกว่าข้างที่เป็นไส้ดินสอเล็กน้อย ใช้ปลาย แหลม ปักลงตรงจุดที่กาหนดให้เป็นศูนย์กลางของวงกลม ปรับขาวงเวียนจนกางได้ระยะเท่ากับรัศมีที่ ต้องการจับก้านวงเวียนไว้ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ หมุนวงเวียนเอนไปในทิศทางของการลากเส้น เล็กน้อย พยายามเขียนวงกลมให้สมบูรณ์ โดยการหมุนวงเวียนไปเพียงครั้งเดียว 5. ดินสอดำ หรือดินสอเขียนแบบ ( Drawing Pencil ) ดินสอเขียนแบบทาด้วยไส้ดินสอที่มี ระดับความแข็งต่างกัน ความแข็งของไส้ดินสอมีการระบุไว้บนแท่งดินสอด้วยตัวเลขและตัวอักษร ดินสอที่ใช้ในการเขียนแบบ ควรมีความอ่อนแข็งดังนี้ ๒H, ๓H, H, HB อย่างน้อยควรมี ๔ แท่ง คือ ดินสอที่มีไส้อ่อนได้แก่เกรด F, HB ไส้ขนาดกลาง H – ๒H ไส้แข็ง ๔H – ๕H ในงานเขียนแบบ ปัจจุบันนี้นิยมใช้ดินสอสาเร็จแบบไส้เลื่อน หรือไส้กด เพราะสะดวกรวดเร็วไม่เสียเวลาต่อการเหลา ดินสอ มีความยาวคงที่ บรรจุไส้ใหม่สะดวก ทาให้งานสะอาด ไม่สกปรก 9 6. ยำงลบ ควรเป็นยางลบชนิดนุ่มๆมีคุณภาพใช้ลบดินสอดาที่เขียนผิด หรือลบในสิ่งที่ ต้องการจะลบ 7. กระดำษเขียนแบบ มีทั้งขนาดความหนา ๘๐ ปอนด์ ถึง ๑๐๐ ปอนด์ เป็นชนิดไม่มีเส้น ขนาดความกว้างความยาว แล้วแต่จะต้องการเขียนหรือต้องการใช้ขั้นตอนการติดกระดาษเขียนแบบ ที่ปฏิบัติถูกต้องตามขั้นตอนต่างๆ มีดังนี้ ให้นากระดาษเขียนแบบที่มีขนาดต่างๆตามความต้องการ เขียนแบบวางลงบนพื้นกระดานโต๊ะเขียนแบบหรือแผ่นกระดานรองกระดาษเขียนแบบ โดยให้ พอเหมาะกับผู้ที่จะเขียนแบบทาการเขียนแบบมีความคล่องตัวในการเขียนแบบ กระดาษเขียนแบบ จะต้องวางไม่สูงเกินไปจนเกือบจะชิดกับขอบด้านบนของโต๊ะเขียนแบบ,แผ่นกระดานรองกระดาษ เขียนแบบหรือวางต่าลงมาจนเกือบชิดขอบด้านล่างของโต๊ะ,แผ่นกระดานรองกระดาษเขียนแบบ กระดาษเขียนแบบให้ห่างจากขอบโต๊ะเขียนแบบทางด้านซ้ายมือประมาณ ๑ ผ่ามือ หรือ ๑๐ - ๑๕ เซนติเมตร จากนั้นให้นาไม้ฉากที (T-Square) วางทับบนกระดาษเขียนแบบ โดยให้หัวของไม้ฉากที แนบชิดกับขอบโต๊ะเขียนแบบด้านซ้ายมือ ซึ่งบรรทัดยาวไม้ฉากทีจะทามุมฉากกับขอบโต๊ะเขียนแบบ ใช้ฉากสามเหลี่ยม (Set-Square) วางบนขอบบรรทัดไม้ฉากที ให้ขอบด้านมุมฉากของฉากสามเหลี่ยม อยู่ในแนวเดียวกันกับขอบด้านซ้ายกระดาษเขียนแบบ และฉากสามเหลี่ยมทามุมฉากกับไม้ฉากที จัด ขอบกระดาษเขียนแบบให้อยู่ในแนวเดียวกันกับด้านมุมฉากของฉากสามเหลี่ยม เมื่อจัดเข้าที่ เรียบร้อยแล้วให้ติดมุมกระดาษเขียนแบบทั้ง ๔ ด้าน ด้วยกระดาษกาวหรือเทปใส (Scottape) โดย ให้ติดขวางมุม แต่จะต้องติดลึกเข้าไปในพื้นที่กระดาษเขียนแบบมากนัก การติดขวางมุมเพื่อป้องกัน กระดาษเขียนแบบ หลุดออกได้ง่ายขณะทาการเขียนแบบ เมื่อติดมุมกระดาษเขียนแบบเรียบร้อยแล้ว ยกเครื่องมือเขียนแบบออก ก็จะได้การติดกระดาษเขียนแบบที่ถูกต้องและใช้ในการเขียนแบบต่อไป 10 8. เทปกำว ( Scotch Tape ) ใช้ติดกระดาษเขียนแบบกับโต๊ะเขียนแบบ หรือกระดานเขียน แบบให้แน่นในขณะเขียนแบบทุกครั้ง เพื่อป้องกันกระดาษเลื่อน การติดกระดาษเขียนแบบที่ถูกวิธีนั้น ต้องติดขวางมุมกระดาษเขียนแบบทั้ง ๔ มุมกระดาษ 9. บรรทัดโค้ง ( Irregular Curves ) บรรทัดโค้งใช้สาหรับเขียนเส้นโค้งที่วงเวียนไม่สามารถ เขียนได้ โดยทาการจุดไว้ให้ได้ ๓ จุด แล้วลากเส้นผ่านตามจุดนั้นๆตามบรรทัดโค้งเลื่อนบรรทัดโค้ง ความโค้งตามไปครั้งละ ๓ จุด จนกว่าจะได้รูปตามต้องการ 11 10. บรรทัดสเกล ( Scale ) ใช้สาหรับย่อส่วนตามต้องการ มีลักษณะเป็นแท่งสามเหลี่ยม ๖ ด้าน ในแต่ละด้านจะมีมาตราส่วนย่อไว้ดังนี้ ๑ : ๒๐, ๑ : ๒๕, ๑ : ๕๐, ๑ : ๗๕, และ ๑ : ๑๐๐ 12 2. กำรเขียนรูปสัญลักษณ์พื้นฐำนทำงไฟฟ้ำ สัญลักษณ์ไฟฟ้า คือ เครื่องหมายต่าง ๆ ที่มนุษย์ เป็นผู้กาหนดขึ้น ใช้สาหรับแทนอุปกรณ์ ต่าง ๆ ทางไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ โดยให้ สัญลักษณ์ ที่ใช้ในวงจร (Circuit and Electronic Symbols) เป็นสัญลักษณ์ แทนตัวอุปกรณ์ จะถูกใช้ในแผนภาพวงจร เพื่อแสดงให้เห็น การต่อเข้า ด้วยกันของวงจร แต่รูปแบบตัวอุปกรณ์จริง จะแตกต่างจากแผนภาพวงจร ฉะนั้น ในการสร้างวงจร จึงจาเป็นต้องมี แผนภาพแสดงการวางอุปกรณ์ บนสตริปบอร์ด หรือแผ่นปริ้นท์ ตำรำงสัญลักษณ์ไฟฟ้ำ เราสามารถแบ่ง ตารางสัญลักษณ์ไฟฟ้า ได้ดังนี้ สัญลักษณ์ ชื่อส่วนประกอบ ควำมหมำย สายไฟฟ้า ตัวนากระแสไฟฟ้า สายเชื่อมต่อ การข้ามที่เชื่อมต่อ ไม่ได้เชื่อมต่อสายไฟ ไม่ได้เชื่อมต่อสายไฟ สวิตช์สลับ SPST ตัดกระแสไฟเมื่อเปิด SPDT สวิตช์สลับ เลือกระหว่างสองการเชื่อมต่อ สวิตช์ปุ่มกด (ไม่มี) สวิตช์ชั่วขณะ – เปิดตามปกติ 13 สวิตช์ปุ่มกด (NC) สวิตช์ชั่วขณะ – ปิดตามปกติ สวิตช์ DIP สวิตช์ DIP ใช้สาหรับการ กาหนดค่าออนบอร์ด SPST รีเลย์ ถ่ายทอดการเชื่อมต่อแบบเปิด / ปิดโดยแม่เหล็กไฟฟ้า พื้นดิน ใช้สาหรับการอ้างอิงที่อาจเกิดขึ้น เป็นศูนย์ และการป้องกันไฟฟ้า ช็อต พื้นแชสซี เชื่อมต่อกับแชสซีของวงจร ตัวต้านทาน (IEEE) ตัวต้านทานลดการไหลของกระแส ตัวต้านทาน (IEC) โพเทนชิออมิเตอร์ (IEEE) ตัวต้านทานแบบปรับได้ – มี 3 ขั้ว โพเทนชิออมิเตอร์ (IEC) ตัวต้านทานตัวแปร / รี ตัวต้านทานแบบปรับได้ – มี 2 ขั้ว โอสแตท (IEEE) ตัวต้านทานแบบแปรผัน / Rheostat (IEC) 14 ตัวต้านทานทริมเมอร์ ตัวต้านทานที่ตั้งไว้ล่วงหน้า เทอร์มิสเตอร์ ตัวต้านทานความร้อน – เปลี่ยน ความต้านทานเมื่ออุณหภูมิ เปลี่ยนแปลง โฟโตรีซิสเตอร์ / ตัวต้านทานขึ้นอยู่ Photo-resistor – เปลี่ยนความ กับแสง (LDR) ต้านทานด้วยการเปลี่ยนแปลง ความเข้มของแสง คาปาซิเตอร์ คาปาซิเตอร์ใช้ในการเก็บประจุ ไฟฟ้า ทาหน้าที่ลัดวงจรด้วย AC คาปาซิเตอร์ และวงจรเปิดด้วย DC ตัวเก็บประจุแบบโพลาไรซ์ ตัวเก็บประจุไฟฟ้า ตัวเก็บประจุแบบแปรผัน ความจุที่ปรับได้ ตัวเหนี่ยวนา ขดลวด / โซลินอยด์ที่สร้าง สนามแม่เหล็ก ตัวเหนี่ยวนาแกนเหล็ก รวมเหล็ก ตัวเหนี่ยวนาตัวแปร รวมเหล็ก โวลต์มิเตอร์ วัดแรงดันไฟฟ้า มีความต้านทาน สูงมาก เชื่อมต่อแบบขนาน 15 แอมมิเตอร์ วัดกระแสไฟฟ้า มีความต้านทาน ใกล้ศูนย์ เชื่อมต่อแบบอนุกรม โอห์มมิเตอร์ วัดความต้านทาน วัตต์มิเตอร์ วัดพลังงานไฟฟ้า หลอดไฟ สร้างแสงเมื่อกระแสไหลผ่าน เครื่องยนต์ มอเตอร์ไฟฟ้า หม้อแปลงไฟฟ้า เปลี่ยนแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ จากสูงไปต่า หรือต่าไปสูง ฟิวส์ ฟิวส์จะตัดการเชื่อมต่อ เมื่อกระแส เกินเกณฑ์ ใช้เพื่อป้องกัน วงจร จากกระแสไฟฟ้าสูง ลาโพง แปลงสัญญาณไฟฟ้า เป็นคลื่นเสียง ไมโครโฟน แปลงคลื่นเสียง เป็นสัญญาณไฟฟ้า 16 เสาอากาศ ส่ง และรับคลื่นวิทยุ เสาอากาศไดโพล เสาอากาศเรียบง่ายสองสาย 17 3. กำรเขียนรูปสัญลักษณ์สวิตช์และขั้วต่อ การเขียนสัญลักษณ์สวิตช์และขั้วต่อในงานไฟฟ้าเป็นสิ่งสาคัญในการสื่อสารและทาความเข้าใจ วงจรไฟฟ้าอย่างถูกต้อง ต่อไปนี้คือสัญลักษณ์ที่ใช้บ่อยในงานไฟฟ้า อุปกรณ์ สัญลักษณ์วงจร หน้ำที่ของอุปกรณ์ สวิตช์กดต่อ ใช้แทนสวิตช์แบบกด ทาหน้าที่ให้กระแสไฟไหลผ่าน เมื่อ มีการกดลงบนอุปกรณ์ เช่น สวิตช์ กริ่งประตูบ้าน เป็นต้น สวิตช์กดตัด ใช้แทนสวิตช์แบบกด ทาหน้าที่แตกต่างจากสวิตช์แบบ กดต่อ แต่จะทาหน้าที่ตัดและต่อ วงจรทางไฟฟ้า โดยนิยมใช้ในการ ควบคุมการทางานของมอเตอร์ เป็นต้น สวิตช์ปิดเปิด แทนสวิตช์แบบ SPST (Single (SPST) Pole Single Throw) เป็นสวิตช์ทั่วไปที่ใช้สาหรับเปิด-ปิด อุปกรณ์ไฟฟ้า สวิตช์สองทาง แทนสวิตช์แบบ SPDT (Single (SPDT) Pole Double Throw) ซึ่งเป็น สวิตช์สองทาง เลือกการทางานได้ 2 รูปแบบ ประกอบไปด้วย 3 เทอร์มินอล คือ input 1 ขา และ output 2 ขา 18 เหมาะสาหรับใช้ในการสลับการ ทางานระหว่างวงจรสองวงจร สวิตช์ปิดเปิดคู่ แทนสวิตช์แบบ DPST (Double (DPST) Pole Single Throw) ประกอบไปด้วย 4 เทอร์มินอล คือ input 2 ขา และ output 2 ขา ตัวอย่างการใช้งานที่มักพบเห็นได้ ในอุปกรณ์คัทเอาท์ สวิตช์สองทางคู่ แทนสวิตช์แบบ DPDT (Double (DPDT) Pole Double Throw) สวิตช์สองทางแบบคู่ สามารถตัด ต่อวงจรการทางานได้พร้อมกันถึง 2 วงจรในเวลาเดียวกัน ประกอบไปด้วย 6 เทอร์มินอล คือ input 2 ขา และ output 4 ขา ใช้เป็นสวิตช์ควบคุมทิศทางการ หมุนของมอเตอร์ รีเลย์ ใช้แทนสวิตช์รีเลย์ ทางานได้เมื่อมี ไฟ เช่น 12 โวลท์ 24 โวลท์ มา ป้อนให้ขดลวดแกนเหล็ก ทาหน้าที่เป็นสวิตช์ต่อวงจรหรือตัด วงจร NO = ปกติตัด COM = ขาร่วม NC = ปกติต่อ เครื่องหมำย ชื่อ คำอธิบำย 19 บัซเซอร์ สร้างเสียงหึ่งๆ เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน กระดิ่งไฟฟ้า นี่คือสัญลักษณ์ของกระดิ่งที่จะดังเมื่อเปิดใช้งาน ฟิวส์ ฟิวส์จะตัดการเชื่อมต่อเมื่อกระแสไฟเกินเกณฑ์ ซึ่งใช้ เพื่อป้องกันวงจรจากกระแสไฟสูง รสบัส สัญลักษณ์บัสประกอบด้วยสายหลายเส้น โดยทั่วไป ใช้สาหรับข้อมูล/ที่อยู่ ลาโพง แปลงสัญญาณไฟฟ้าให้เป็นคลื่นเสียง ไมโครโฟน ไมโครโฟนแปลงคลื่นเสียงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า 20 โคมไฟ/หลอดไฟ นี่คือสัญลักษณ์โคมไฟที่สว่างเมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหล ผ่าน 21 4. กำรเขียนรูปสัญลักษณ์อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และดิจิทัล เครื่องหมำย ชื่อ คำอธิบำย เครื่องขยายเสียงปฏิบัติการ การทางานนี้ให้สัญญาณอินพุตขยาย เครื่องแปลงอนาล็อกเป็นดิจิตอล นี่คือสัญลักษณ์ของ ATD ที่แปลง สัญญาณอนาล็อกเป็นตัวเลขดิจิตอล เครื่องแปลงสัญญาณดิจิตอลเป็น นี่คือสัญลักษณ์ของ DTA ที่แปลงตัวเลข อนาล็อก ดิจิตอลให้เป็นสัญญาณแอนะล็อก ทรานซิสเตอร์ไบโพลาร์ NPN ยอมให้กระแสไหลได้เมื่อศักย์สูงอยู่ที่ ฐาน (ตรงกลาง) 22 ทรานซิสเตอร์ไบโพลาร์ PNP มันอนุญาตให้กระแสไฟฟ้าไหลได้เมื่อ ศักย์ต่าอยู่ที่ฐาน (ตรงกลาง) ของ สัญลักษณ์ ทรานซิสเตอร์ดาร์ลิงตัน ผลิตจากทรานซิสเตอร์ไบโพลาร์ 2 ตัว มีค่าเกนรวมจากผลคูณของค่าเกนแต่ ละตัว ทรานซิสเตอร์ JFET-N สัญลักษณ์ของทรานซิสเตอร์เอฟเฟกต์ สนามแบบ N-channel ของ JFET ทรานซิสเตอร์ JFET-P นี่คือสัญลักษณ์ของ JFET P ซึ่งเป็น ทรานซิสเตอร์เอฟเฟกต์ช่อง P ทรานซิสเตอร์ NMOS นี่คือสัญลักษณ์ของทรานซิสเตอร์ Mosfet N-channel MOSFET 23 ทรานซิสเตอร์ PMOS นี่คือสัญลักษณ์ของทรานซิสเตอร์ MOSFET ช่อง P เกต NAND แสดงให้เห็นเกต NAND ซึ่งเอาต์พุต 0 เมื่ออินพุตทั้งสองเป็น 1 (NOT + AND) หรือประตู สัญลักษณ์นี้แสดงหรือเกตซึ่งส่งออก 1 เมื่ออินพุตใดๆ เป็น 1 เกต XOR สัญลักษณ์ของเกต XOR ซึ่งส่งออก 1 เมื่ออินพุตต่างกัน (เฉพาะ OR) มัลติเพล็กเซอร์ สัญลักษณ์ของมัลติเพล็กเซอร์ เชื่อมต่อ เอาท์พุตกับสายอินพุตที่เลือก ดีอีมัลติเพล็กเซอร์ การดาเนินการนี้แสดงมัลติเพล็กเซอร์ DE เชื่อมต่อเอาท์พุตที่เลือกเข้ากับสาย อินพุต ออปโตคัปเปลอร์ ภาพนี้แสดง Optocoupler Optocoupler จะแยกการเชื่อมต่อกับ บอร์ดอื่น 24 5. กำรเขียนแบบและอ่ำนแบบบล็อกไดอะแกรม แผนภาพบล็อคเรานิยมเรียกทับศัพท์ว่า บล็อคไดอะแกรม ซึ่งใช้สาหรับแสดงเพื่อให้เรา เข้าใจ (การออกแบบ) วงจรสมบูรณ์ได้ง่าย โดยการจัดแบ่งออกเป็นส่วนๆหรือเป็นบล็อค แต่ละ บล็อคจะมีหน้าที่เฉพาะ มีการต่อแต่ละบล็อคเข้าด้วยกัน ไม่มีการแสดงอุปกรณ์ที่ใช้ในบล็อค มีแต่ ด้านเข้ากับด้านออกเท่านั้นที่ปรากฎ การดูวงจรแบบนี้จะทาให้เข้าใจถึงระบบทั้งหมดได้โดยง่าย แหล่งจ่ายกาลัง(หรือแบตเตอรี่)ปกติจะไม่แสดงการต่อในแผนภาพวงจร ระบบเครื่องขยำยเสียง(Audio Amplifier System) ** แหล่งจ่ายกาลัง(ไม่ได้แสดง)ต้องต่อเข้ากับทุกบล็อคด้วย ไมโครโฟน(Microphone) -เป็นตัวแปลงสัญญาณเสียงเป็นสัญญาณไฟฟ้า(แรงดัน) วงจรขยำยภำคต้น(Pre-Amplifier) -ทาหน้าที่ขยายสัญญาณเสียง(แรงดัน)ระดับต่าๆจาก ไมโครโฟนให้สูงขึ้น วงจรควบคุมเสียง(Tone and Volume Controls) - สาหรับปรับควบคุมเสียง โทนคอนโทรลสาหรับปรับความถี่เสียงสูง(แหลม)และความถี่เสียงต่า(ทุ้ม) วอลุ่มสาหรับปรับเร่งลดระดับสัญญาณ(ความดัง) วงจรภำคขยำยกำลัง(Power Amplifier) -ทาหน้าที่ขยายสัญญาณเสียงให้มีกาลังสูง ลำโพง(Loudspeaker) -ทาหน้าที่แปลงสัญญาณไฟฟ้าเป็นเสียง 25 ระบบเครื่องรับวิทยุ(Radio Receiver System) ** แหล่งจ่ายกาลังไม่ได้แสดง สำยอำกำศ(Aerial) - ทาหน้าที่รับสัญญาณวิทยุจากสถานีต่างๆ จูนเนอร์(Tuner) - เลือกสัญญาณวิทยุเพียงสถานีเดียว ดีเทคเตอร์(Detector) - คั้นแยกสัญญาณเสียงจากคลื่นพาห์ที่มากับสัญญาณวิทยุ วงจรขยำยเสียง(Audio Amplifier) - ขยายสัญญาณเสียงให้มีกาลังสูง ส่วนนี้อาจจะแบ่งบล็อคเพิ่มเหมือนกับระบบเครื่องขยายเสียงด้านบน ลำโพง(Loudspeaker) - แปลงสัญญาณไฟฟ้าเป็นเสียง ระบบแหล่งจ่ำยกำลังแบบคุมค่ำ(Regulated Power Supply System) 26 หม้อแปลง(Transformer) - ทาหน้าที่ลดแรงดันจากไฟบ้าน กระแสสลับ 220โวลท์ เป็น ไฟกระแสสลับแรงดันต่า วงจรเรียงกระแส(Rectifier) - แปลงไฟกระแสสสับเป็นไฟกระแสตรงแต่ไฟกระแสตรงที่ได้ ยังไม่เรียบ มีความพริ้ว(ripple)สูง วงจรกรอง(Smoothing) - กรองไฟกระแสตรงให้เรียบ ลดความพริ้วให้ต่า วงจรคุมค่ำ(Regulator) - กาจัดความพริ้ว ควบคุมไฟออกกระแสตรงให้คงที่ ระบบควบคุมแบบป้อนกลับ(Feedback Control System) ** แหล่งจ่ายกาลังไม่ได้แสดง ตัวตรวจรู้(Sensor) - ตัวแปลงที่แปลงสภาวะของปริมาณที่ถูกควบคุมเป็นสัญญาณไฟฟ้า ตัวเลือก(Selector) (ควบคุมด้ำนเข้ำ) - เลือกสภาวะที่ต้องการของด้านออก ปกติจะเป็น ตัวต้านทานปรับค่าได้ วงจรควบคุม(Control Circuit) - เปรียบเทียบสภาวะที่ต้องการ (จากการควบคุมด้านเข้า) กับสภาวะจริง (จากตัวตรวจรู้) ของปริมาณที่ถูกควบคุมและส่งสัญญาณที่เหมาะสมไปยังตัว แปลงด้านออก 27 ตัวแปลงด้ำนออก(Output Transducer) - แปลงสัญญาณไฟฟ้าเพื่อควบคุมปริมาณ ปริมำณที่ถูกควบคุม(Controlled Quantity) - ปกติไม่ใช่ปริมาณไฟฟ้า เช่น ความเร็ว มอเตอร์ วิถีป้อนกลับ(Feedback Path) - ปกติไม่ใช่ไฟฟ้า โดยตัวตรวจรู้จะตรวจจับสภาวะปริมาณ ที่ถูกควบคุม 28 6. กำรเขียนแบบและอ่ำนแบบวำยริงไดอะแกรม Wiring Diagram หรือเรียกเป็นภำษำไทยว่ำ แผนผังกำรต่อสำยไฟ คือรูปภำพหรือ แผนภำพที่แสดงกำรเชื่อมต่อของสำยไฟ และอุปกรณ์ต่ำง ๆ ในระบบไฟฟ้ำ หรือระบบ อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อช่วยในการติดตั้ง แก้ไขปัญหาในระบบไฟฟ้าต่าง ๆ โดยแสดงแต่ละองค์ประกอบ และการเชื่อมต่อของนั้นในรูปของสัญลักษณ์และเส้นทางที่ชัดเจน การใช้สัญลักษณ์และเส้นเชื่อมทาให้ผู้อ่านเข้าใจแผนภาพไฟฟ้าได้ง่าย และสามารถนาไปใช้ในการ ติดตั้ง หรือแก้ไขวงจรได้ตามความต้องการของช่างไฟ ประเภทของ Wiring Diagram มีอะไรบ้ำง? โดยทั่วไปในการเขียน Wiring Diagram สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้ 1. แบบรูปจริง (Pictorial) เป็น Wiring Diagram ที่ใช้รูปภาพจริงของอุปกรณ์และสายไฟ เพื่อแสดงภาพรวมของระบบ ไฟฟ้าและการเชื่อมต่อ ทาให้มองเห็นรายละเอียดของอุปกรณ์ได้ชัดเจนมากขึ้น 29 การใช้รูปภาพจริงในไดอะแกรมไฟฟ้า ทาให้ผู้ที่ใช้งานเข้าใจง่ายและสามารถรู้จักอุปกรณ์ได้ง่าย เนื่องจากรูปภาพนั้นจะเหมือนกับลักษณะจริงของอุปกรณ์นั้น ๆ ในระบบไฟฟ้า การใช้แบบรูปจริง สามารถเป็นประโยชน์ในกรณีที่ต้องการให้ผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับสัญลักษณ์ของไดอะแกรมไฟฟ้าให้เข้าใจ ระบบได้ง่ายขึ้น 2. ไดอะแกรมแผนผัง (Schematic diagram) เป็น Wiring Diagram ที่ใช้แสดงระบบการกระจายไฟฟ้าภายในอาคารหรือสถานที่ต่าง ๆ ซึ่ง รวมถึงการเชื่อมต่อของหลัก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า เช่น รางไฟฟ้า, แผงควบคุมไฟฟ้า, วงจรไฟฟ้า, และอุปกรณ์ป้องกัน เป็นต้น ไดอะแกรมแผนผังไฟฟ้าช่วยในการทาความเข้าใจโครงสร้างของระบบไฟฟ้าที่ซับซ้อน โดยแสดงทุก องค์ประกอบที่สาคัญในการกระจายไฟฟ้าภายในอาคารหรือโครงสร้างที่เกี่ยวข้อง เช่น การแบ่ง วงจรไฟฟ้าต่าง ๆ, การเชื่อมต่อท่อจ่ายไฟฟ้า, และการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกัน เป็นต้น 3. ไดอะแกรมไฟฟ้ำเส้นเดียว (Single-Line Diagram) เป็น Wiring Diagram ที่ใช้สัญลักษณ์และเส้น เพื่อแสดงการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ไฟฟ้าและ สายไฟในระบบไฟฟ้า มักถูกใช้ในงานวิศวกรรมไฟฟ้าและอุตสาหกรรมเพื่อแสดงภาพรวมของระบบ ไฟฟ้า โดยเส้นจะหมายถึงอุปกรณ์ สายไฟโดยทั่วไปและสัญลักษณ์เฉพาะ ใช้เพื่อแสดงประเภทของ อุปกรณ์ เช่น แบตเตอรี่, มอเตอร์, สวิตช์, และการเชื่อมต่อของวงจรไฟฟ้าต่าง ๆ การใช้ไดอะแกรมเส้นเดียวช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างระบบไฟฟ้าในที่นั้น ๆ ได้ง่ายและ รวดเร็ว โดยไม่ต้องแสดงทุกรายละเอียดของอุปกรณ์และสายไฟที่ใช้ในระบบไฟฟ้านั้น ๆ 4. ไดอะแกรมวงจรไฟฟ้ำ (Circuit Diagram) เป็น Wiring Diagram ที่ใช้สัญลักษณ์และเส้นเพื่อแสดงวงจรไฟฟ้า รวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ เข้ามาในวงจรนั้น ๆ โดยแสดงการเชื่อมต่อของสายไฟและอุปกรณ์ต่าง ๆ ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย 30 ในไดอะแกรมวงจรไฟฟ้ำจะประกอบด้วย สัญลักษณ์: ใช้สัญลักษณ์ที่ถูกต้องเพื่อแทนอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น หลอดไฟ, สวิตช์, มอเตอร์, และอื่น ๆ เส้น: แสดงการเชื่อมต่อของสายไฟ และเส้นทางของสัญญาณไฟฟ้า จุดต่อ: แสดงจุดที่สายไฟเชื่อมต่อกัน ไดอะแกรมวงจรไฟฟ้าหรือ Wiring Diagram มักถูกใช้ในการออกแบบและเขียนรายละเอียดของ วงจรไฟฟ้า โดยสะท้อนแผนผัง สถานะการทางานของวงจรในตอนที่ระบบไฟฟ้าทางาน และช่วยให้ผู้ ที่ทางานหรือดู ได้เข้าใจโครงสร้างของวงจรไฟฟ้านั้น ๆ อย่างรวดเร็ว 31 7. กำรเขียนแบบและอ่ำนแบบพิกทอเรียลไดอะแกรม การเขียนแบบและอ่านแบบพิกทอเรียลไดอะแกรม (Pictorial Diagram) เป็นการนาเสนอ วงจรไฟฟ้าหรือวงจรอิเล็กทรอนิกส์ด้วยภาพวาดหรือสัญลักษณ์ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับอุปกรณ์จริง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจและติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น การเขียนแบบพิกทอ เรียลไดอะแกรมจะแสดงการจัดวางอุปกรณ์และการเชื่อมต่อสายไฟอย่างเป็นระเบียบและตรงตาม ความเป็นจริง พิกทอเรียลไดอะแกรมมีองค์ประกอบสาคัญ ได้แก่ อุปกรณ์ไฟฟ้าที่แสดงด้วยภาพหรือ สัญลักษณ์ที่คล้ายของจริง เช่น หลอดไฟ มอเตอร์ และสวิตช์ สายไฟที่วาดเป็นเส้นตรงหรือเส้นโค้ง เพื่อแสดงการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ และขั้วต่อที่แสดงจุดเชื่อมต่อของสายไฟอย่างชัดเจน ซึ่งทาให้ การติดตั้งและซ่อมบารุงเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว การอ่านแบบพิกทอเรียลไดอะแกรมเริ่มจากการสังเกตสัญลักษณ์ของอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละ ชนิด เพื่อตรวจสอบการเชื่อมต่อสายไฟและทาความเข้าใจเส้นทางการไหลของกระแสไฟฟ้า ผู้อ่าน ต้องติดตามสายไฟที่เชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ และวิเคราะห์การทางานของวงจร นอกจากนี้ การดูตาแหน่งของอุปกรณ์ยังช่วยให้เข้าใจการติดตั้งในสถานที่จริงได้ง่ายขึ้น ข้อดีของพิกทอเรียลไดอะแกรมคือสามารถเข้าใจได้ง่ายเนื่องจากแสดงภาพอุปกรณ์ที่เหมือน จริง เหมาะสาหรับผู้เริ่มต้นศึกษาวงจรไฟฟ้า และช่วยให้การติดตั้งและซ่อมบารุงง่ายขึ้น อย่างไรก็ ตาม พิกทอเรียลไดอะแกรมมีข้อจากัดในการแสดงวงจรที่ซับซ้อนและอาจใช้พื้นที่มากในการแสดง วงจร การเขียนแบบและอ่านแบบพิกทอเรียลไดอะแกรมเป็นเครื่องมือสาคัญที่ช่วยให้ผู้ใช้งาน สามารถเข้าใจการทางานของวงจรไฟฟ้าและการติดตั้งอุปกรณ์ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย 32 8. กำรเขียนแบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ แผนภาพวงจรและการวางอุปกรณ์(Circuit diagrams and component layouts) วงจรจะแสดงการต่อที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ การเขียนสายต่อทั้งหมดต้องลากด้วย เส้นตรง แต่การวางแบบอุปกรณ์ของจริงค่อนข้างจะแตกต่างจากวงจร ซึ่งอาจจะทาให้เกิดความ สับสนสาหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้น ความลับก็คือให้เพ่งเล็งไปที่การต่อไม่ใช่มุ่งไปที่ตาแหน่งที่แท้จริงของ อุปกรณ์ ภาพด้านขวาจะเห็นความแตกต่างระหว่างวงจรและแบบสตริปบอร์ด สาหรับโครงงานวงจร เวลาปรับค่าได้ วงจรมีประโยชน์มากเมื่อเราต้องการรู้และทาความเข้าใจว่าโครงงานที่เราสร้าง-ประกอบ ทางานอย่างไรหรือเมื่อต้องทดสอบการทางาน ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลที่ว่า ทาไม่ในคาแนะนาหรือคู่มือ โครงงานจึงต้องมีวงจร รวมทั้งแบบสตริปบอร์ดหรือแบบปริ้นท์มาให้ 33 การเขียนแผนภาพวงจร(Drawing circuit diagrams) วิธีการเขียนวงจรไม่ได้ยากเลยแต่ต้องฝึกการขียนให้เรียบร้อยสะอาดตาจนชานาญ การ เขียนวงจรมีความจาเป็นและมีประโยชน์มากสาหรับวิทยาศาสตร์และอิเล็กทรอนิกส์ เพราะอย่าง น้อยหากเราออกแบบวงจร ก็แน่นอนว่าต้องเขียนวงจรเอง เพื่อให้เขียนวงจรได้ดีควรทาตามคาแนะนาดังนี้: ให้แน่ใจว่าเราใช้ สัญลักษณ์ ของอุปกรณ์แต่ละตัวถูกต้อง ใช้เส้นตรงเขียนเป็นเส้นต่อวงจร (ควรใช้ไม้บรรทัด) ใส่จุดกลม ( ) ที่จุดต่อระหว่างสาย เขียนบอกค่ากากับที่ตัวอุปกรณ์ เช่น ตัวต้านทาน ตัวเก็บประจุ ขั้วบวก (+)ของแหล่งจ่ายไฟต้องไว้ข้างบน และขั้วลบ (-) อยู่ข้างล่าง ขั้วลบใส่ค่า 0V (ศูนย์ โวลท์) หากเขียนวงจรสาหรับวิทยาศาสตร์โปรดดูที่การเขียนแผนภาพวงจร'ทางอิเล็กทรอนิกส์' หากวงจรมีความซับซ้อนมาก: พยายามจัดวงจรให้สัญญาณไหลจากซ้ายไปขวา ด้านเข้าและการควบคุมต้องอยู่ทางซ้าย ด้านออกอยู่ทางขวา อาจไม่จาเป็นต้องเขียนสัญลักษณ์ของแหล่งจ่ายไฟ แต่ต้องมีเส้นจ่ายไฟ(และอักษรกากับ)ที่ ด้านบนและล่าง การใช้คอมพิวเตอร์ช่วย(CAD) สาหรับนักอิเล็กทรอนิกส์มืออาชีพ ปัจจุบันนิยมใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการเขียนวงจรและ ออกแบบแผ่นปริ้นท์ โดยโปรแกรมที่ใช้กันมากในบ้านเราก็คือ PROTEL, ORCAD, EAGLE เป็นต้น ซึ่งการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยทาให้สามารถเขียนวงจรได้เรียบร้อยสะอาด เป็นมาตรฐาน เก็บเป็น ไฟล์ พิมพ์เมื่อไหร่ แก้ไขเมื่อไหร่ก็ได้ และยังสามารถนาไฟล์วงจรไปออกแบบแผ่น ปริ้นท์แบบลาก ลายเส้นเองอัตโนมัติได้ด้วย แต่สาหรับมือใหม่ควรหัดเขียนด้วยมือก่อน 34 การเขียนแผนภาพวงจรทางอิเล็กทรอนิกส์ วงจรสาหรับอิเล็กทรอนิกส์จะเขียนด้านขั้วบวก(+) ของแหล่งจ่ายไฟไว้ข้างบนและด้านขั้วลบ (-)ไว้ข้างล่าง ซึ่งการเขียนแบบนี้จะช่วยให้เข้าใจการทางานของวงจรได้ง่าย เพราะว่า แรงดันจะลดลง เมื่อเรามองเลื่อนลงมาทางข้างล่างของวงจร 35 การเขียนแบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เป็นกระบวนการที่สาคัญอย่างยิ่งในด้านการออกแบบ และพัฒนาระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ให้สามารถทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย โดย การเลือกใช้สัญลักษณ์และมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ช่วยให้การสื่อสารข้อมูลทาง เทคนิคมีความชัดเจนและเข้าใจง่าย ลดความผิดพลาดในการติดตั้งและบารุงรักษา นอกจากนี้ การใช้เครื่องมือและซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมยังช่วยให้การออกแบบและการจาลอง วงจรเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยา สามารถตรวจสอบและแก้ไขปัญหาก่อนการผลิตจริง ซึ่งเป็นการ ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทางานอย่างสูงสุด การปฏิบัติตามมาตรฐานสากลยังเป็นการรับรองความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของ ระบบ ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานและลูกค้าในระยะยาว ดังนั้นการเขียนแบบไฟฟ้าและ อิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกต้องและครบถ้วนจึงเป็นกุญแจสาคัญสู่ความสาเร็จในการพัฒนาระบบไฟฟ้าและ อิเล็กทรอนิกส์ในทุกอุตสาหกรรม 36 อ้ำงอิง http://jigkeezii.blogspot.com/2011/02/blog-post.html https://www.kacha.co.th/articles/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0 %B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B9%8C%E 0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2- %E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%90%E0%B8%B 2%E0%B8%99%E0%B8%97/ https://www.ststhonburi.com/content/19673/get-to-know-circuit-symbols https://www.edrawmax.com/article/electrical-and-electronic-symbols.html https://icelectronic.com/beginner/study/bdiags.htm https://www.kjl.co.th/blog/what-is-wiring-diagram https://icelectronic.com/beginner/study/cdiags.htm 37 37 38 38