บทที่ 1 การแพร่กระจายคลื่น PDF
Document Details

Uploaded by AgileEnglishHorn4287
Tags
Summary
บทที่ 1 ว่าด้วยการแพร่กระจายคลื่น (Propagation of waves). ทบทวนถึงการแผ่พลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า, ธรรมชาติการแพร่กระจายคลื่น, วิทยุ การลดทอน (attenuation), การดูดกลืน (absorption), การสะท้อน (reflection), การหักเห (refraction), การแทรกสอด (interference) และการเลี้ยวเบน (diffraction). กล่าวถึงรายละเอียดการแพร่กระจายคลื่น สามวิธีหลักของการแพร่กระจายคลื่น
Full Transcript
-1- บทที่ 1 การแพรกระจายคลืน่ (Propagation of waves) ตามที่เราทราบแลววาในระบบสื่อสาร การติดตอสื่อสารระหวางเครื่องสงและเครื่องรับ ตองสงสัญญาณผานตัวกลาง ตัวกลางที่เรารูจักและคุนเคยแลวก็คือ สายสง เช...
-1- บทที่ 1 การแพรกระจายคลืน่ (Propagation of waves) ตามที่เราทราบแลววาในระบบสื่อสาร การติดตอสื่อสารระหวางเครื่องสงและเครื่องรับ ตองสงสัญญาณผานตัวกลาง ตัวกลางที่เรารูจักและคุนเคยแลวก็คือ สายสง เชน สายโทรศัพท สายเคเบิ้ลใตนํ้า สายเคเบิ้ลใยแกว เปนตน ยังมีตวั กลางอีกประเภททีน่ ิยมใชกันอยางแพรหลายที่ สุดในปจจุบันและในอนาคตดวย นั่นคืออากาศ หรือ อวกาศ เปนตัวกลางที่สามารถหามาไดฟรี มี อยูทั่วไปและตลอดไป การรับสงสัญญาณผานตัวกลางประเภทนี้ ตองผานทางสายอากาศ ดวยวิธี การแพกระจายคลื่น ในสวนแรกจะทบทวนถึงการแผพลังงาน (radiation) ของคลื่นแมเหล็กไฟฟา ธรรมชาติการ แพรกระจายคลื่น (propagation) วิทยุ การลดทอน (attenuation) และการดูดกลืน (absorption) เมื่อคลื่น เดินทาง ตลอดจนการสะทอน (reflection) การหักเห (refraction) การแทรกสอด (interference) และ การ เลี้ยวเบน (diffraction) สวนที่สองจะกลาวถึงรายละเอียดการแพรกระจายคลืน่ สามวิธหี ลักของการแพรกระจาย คลื่น สวนโคงของโลกกับการแพรกระจายคลื่นโดยรอบๆดวยวิธกี ารสะทอนผานทางชั้นบรรยากาศ หรือการ สงทางตรง การแพรกระจายคลื่นไมโครเวฟ ผลจากชัน้ บรรยากาศเมือ่ คลื่นเดินทางผาน 1. การแผพลังงานของคลืน่ แมเหล็กไฟฟา เมื่อกําลังงานไฟฟาถูกปอนเขาไปในวงจรซึ่งมีสวนประกอบเปนรีแอคทีฟ เชน ตัวเหนีย่ วนํา (inductor) จะทําใหเกิดสนามแมเหล็กไฟฟากําลังงานสวนหนึง่ จะหลุดออกไปอวกาศวาง (free space) เราเรียกวาเกิดการแผพลังงาน(radiation) และกําลังงานนี้จะแพรออกไปในอากาศวางในรูปแบบที่เราเรียก กันวาคลื่นแมเหล็กไฟฟา อวกาศวาง (free space) คือที่วางเปลา ซึ่งไมมีการสอดแทรกจากการแผ พลังงานและการแพรกระจายคลื่นวิทยุ ดังนั้นจึงไมมีสนามแมเหล็กและสนามโนมถวง ไมมีวัตถุแข็ง และ ไมมีอนุภาคไอออน ความจริงแลวอวกาศวางดูเหมือนวาไมเคยมีจริงที่ไหนเลยและคงไมอยูใกลโลกแนนอน อยางไรก็ตามแนวความคิดที่ใชอวกาศวางก็เพราะทําใหการเขาถึงการแพรกระจายคลื่นเปนไปอยางงาย ทําใหเปนไปไดในการคํานวณที่สภาวะตางๆจากที่วา งเปลา แลวจึงพยากรณผลจาก คุณสมบัติจริง บางครั้งสภาวะการแพรกระจายก็ใชคา ประมาณการจากอวกาศวาง โดยเฉพาะอยางยิ่งที่ความถีเ่ หนือกวา ยาน UHF การแผพลังงานและการแพรกระจายคลืน่ วิทยุไมสามารถมองเห็นไดดวยตา ดังนั้นการอธิบาย ทั้งหมดจึงอาศัยพื้นฐานทางทฤษฎี และยอมรับไดเพียงเปนคาทางการพยากรณ เชน ใชเพื่อการทํานายวา จะเกิดอะไรขึ้นตอไป ทฤษฎีของการแผพลังงานแมเหล็กไฟฟา ถูกเสนอขอคิดเห็นโดยนักฟสิกสชาวอังกฤษ ชื่อ เจมส เคลิค แมกเวลล (James Clerk Maxwell) ในป ค.ศ. 1857 และสุดทายในป ค.ศ. 1873 เปนการ -2- 1.1 หลักมูลของคลื่นแมเหล็กไฟฟา การแกวงของคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่แพรกระจายในอวกาศวาง(free-space) จะมีความเร็วเทากับ ความเร็วแสงคือ เปนคาคงทีท่ ี่ไดมาจาก เมื่อ รูปที่ 1 คลื่นแมเหล็กไฟฟาในอวกาศวาง -3- การแพรกระจายคลายๆกับการเคลื่อนที่ออกของคลื่นหลังจากที่เราโยนกอนหินลงในสระน้าํ แตก็มี ขอแตกตางกันอยางมากตรงที่ คลื่นน้ําเปน Longitudinal คือ แกวงในทิศทางเดียวกันกับทิศทางการ แพรกระจาย สวนคลืน่ แมเหล็กไฟฟาเปน Transverse คือ แกวงในทิศทางตั้งฉากกันกับทิศทางการ แพรกระจาย ดังนัน้ สนามไฟฟา สนามแมเหล็ก และทิศทางการแพรกระจาย ของคลื่นแมเหล็กไฟฟาจะตั้ง ฉากซึง่ กันและกัน ดังแสดงในรูปที่ 1 ซึ่งเปนสมมุติฐานทางทฤษฎีที่ไมสามารถตรวจสอบได เพราะเรามอง ไมเห็นคลืน่ แตอยางไรก็ตามเราสามารถใชในการพยากรณพฤติกรรมของคลื่นแมเหล็กไฟฟาในทุก สภาวะการณ เชน การสะทอน การหักเห และการเลี้ยวเบนที่จะกลาวถึงตอไป คลื่นในอวกาศวาง เนื่องจากการที่ไมมีสิ่งสอดแทรกหรือสิ่งกีดขวางในอวกาศวาง ดังนัน้ คลื่นแมเหล็กไฟฟาจึง สามารถแผจากจุดแหลงกําเนิดอยางเปนระเบียบในทุกทิศทาง โดยมีหนาคลืน่ (Wave front) เปนรูปทรง กลมดังภาพตัดแสดงใน รูปที่ 2 หรือจะอธิบายงายๆโดยการจินตนาการวาคือเสนรังสีออกจากศูนยกลาง ของแสงในทุกทิศทางมาตั้งฉากกับพื้นหนาคลื่น เหมือนกับซี่ลอ รูปที่ 2 หนาคลื่นรูปทรงกลม ที่ระยะความยาวเทากันกับรังสี P คลื่นมีเฟสที่แนนอน มันออกจากแหลงกําเนิดในขณะที่แรงดัน และกระแสสูงสุดถูกปอนเขาวงจร เชน ที่เวคเตอรสูงสุดของสนามไฟฟาและสนามแมเหล็กหากระยะ ทางการเดินทางเทากันหมดที่ 100000.25 ความยาวคลืน่ ความเขมของสนามแมเหล็กและสนามไฟฟา ชั่วขณะนัน้ เทากับศูนยทกุ จุด หากตอทุกๆจุดที่เทากันนีเ้ ปนพืน้ เดียวกัน นั่นคือคําจํ ากัดความของหนาคลื่น (Wave front) ซึ่งในที่นกี้ ็คือรูปทรงกลม หากความยาวของรังสี Q ยาวเปนสองเทาของรังสี P พื้นที่ของทรง กลมรัศมี Q ยอมมากกวาเปนสี่เทาของพื้นที่ทรงกลมรัศมี P จะเห็นไดวากําลังงานทัง้ หมดจากแหลงกําเนิด จะตองแผใหครอบคลุมพื้นทีเ่ ปนสี่เทาเมื่อระยะทางหางจากแหลงกําเนิดเปนสองเทา ดังนัน้ หากความเขม ของกําลังงานถูกกําหนดเปนการแพรกําลังงานตอหนวยพื้นที่แลว ที่ระยะทางหางออกไปเปนสองเทา -4- (1) ในเมื่อ P = ความหนาแนนกําลังงานที่ระยะทาง r หางจากแหลงกําเนิดไอโซโทรปค Pt = กําลังเครือ่ งสง แหลงกําเนิด ไอโซทรอปค เปนชื่อของแหลงกําเนิดที่มกี ารแผพลังงานสมํ่าเสมอทุกทิศทางใน อวกาศวาง ถึงแมวาแหลงกําเนิดเชนนี้จะไมมีจริงในทางปฏิบัติ แตแนวความคิดของการแผพลังงานชนิดไอ โซทรอปคมีประโยชนและใชกันบอย ที่นาสนใจอีกอยางก็คือ แมวาแหลงกําเนิดไมใชไอโซทรอปค กฎของ สวนกลับกําลังสอง ก็ยงั คงนํามาใช สําหรับหนาคลื่นรูปทรงกลม ความเร็วของการแผพลังงานจะตองคงที่ ทุกๆจุด และตัวกลางทีท่ าํ ใหเกิดการแพรกระจายถูกตองเชนนี้ก็เรียกวา ไอโซทรอปค เชนเดียวกัน ความเขมสนามไฟฟาและสนามแมเหล็กของคลื่นแมเหล็กไฟฟาก็มีความสําคัญมากปริมาณของ ทั้งสองสิ่งนี้เปนสวนโดยตรงของแรงดันและกระแสในวงจร หนวยของการวัดเปนโวลทตอเมตรและแอมแปร ตอเมตรตามลําดับ สําหรับวงจรไฟฟาเรามี V = ZI ดังนัน้ สําหรับคลื่นแมเหล็กไฟฟา E = ZH (2) ในเมื่อ E = คา rms ของความแรงสนาม (field strength) หรือ ความเขม มีหนวยเปน V/m H = คา rms ของความแรงสนาม (field strength) แมเหล็ก หรือ ความเขม มีหนวยเปน A/m Z = อิมพิแดนซคุณลักษณะ (characteristic impedance) ของตัวกลาง มีหนวยเปน Ω อิมพิแดนซคณ ุ ลักษณะ ของตัวกลางหาไดจาก (3) ในเมื่อ -5- สําหรับในอวกาศวาง จากหนวยของทั้งสองคานี้เราก็คงจะพอทราบไดวา ความซึมซาบไดเปนสมมูลของตัวเหนี่ยวนํา และสภาพยอมเปน สมมูลของตัวเก็บประจุ ในวงจรไฟฟา และจากสมการที่ (3) เราก็สามารถคํานวณหา คาอิมพิแดนซคุณลักษณะในอวกาศวางไดคือ (4) ทําใหมีความเปนไปไดที่จะคํานวณหาความเขมสนามทีร่ ะยะหาง r จากแหลงกําเนิดไอโซทรอปค และจาก P=V 2/Z ในวงจรไฟฟา ดังนัน้ P= E 2/Z สําหรับคลื่นแมเหล็กไฟฟาหรือ แทนคา P จากสมการที่ (1) และคา อิมพิแดนซคุณลักษณะในอวกาศวาง จะได (5) จากสมการที่ (5) จะเห็นไดวาความเขมสนามผกผันกลับกับระยะทางจากแหลงกําเนิด แตผกผัน ตรงกับรูทสองของความหนาแนนกําลังงาน สุดทายลองมาพิจารณาหนาคลื่นอีกครั้ง ดังที่เคยกลาวมาแลววาหนาคลื่นเปนรูปเชิงทรงกลมใน ตัวกลางไอโซทรอปค แตในกรณีพื้นที่นอยแตระทางไกลจากแหลงกําเนิดมาก เราสามารถพิจารณาหนา คลื่นเปนเชิงระนาบได ซึ่งเห็นไดชัดทางเรขาคณิตจากตําบลที่ตงั้ และจากที่เราประสพบอยๆ เชน เราจะ บอกวาสนามฟุตบอลมีลักษณะแบน แมจะรูวาโลกเปนรูปทรงกลมแตเมื่อพิจารณาระยะทางจากจุด ศูนยกลางมายังผิวเทียบกับพื้นที่สนามฟุตบอลซึ่งนอยมาก แนวคิดเรื่องคลื่นเชิงระนาบนี้มีประโยชนมาก เพราะทําใหเขาใจงายตอวิธแี สดงคุณสมบัติทางแสงของคลื่นแมเหล็กไฟฟา เชน การสะทอนและการหักเห การแผพลังงานและการรับ สายอากาศเปนตัวแพรกระจายคลืน่ แมเหล็กไฟฟา หรือการ แพรกระจายเปนผลจากการไหลของกระแสความถี่สงู ในวงจรที่เหมาะสม ซึ่งสามารถพิสูจนทาง -6- โพลาไรเซชัน่ (Polarization) จาก รูปที่ 1 เราจะเห็นวาคลื่นแมเหล็กไฟฟาเปนคลื่นตามขวาง โดยสนามแมเหล็กและสนามไฟฟาจะตั้งฉากซึง่ กันและกัน สนามแมเหล็กจะตัง้ ฉากกับเสนลวดสวน สนามไฟฟาจะขนานกับเสนลวดและทรวดทรงนี้ก็จะเปนรูปแแบบของคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่แพรกระจาย ออกไปจากเสันลวดดังนั้นจึงเกิดขั้วของคลื่นที่แพรกระจายจากสายอากาศเรียกวา โพลาไรเซชัน่ ซึง่ จะเปนเชิงเสนคงที่ตลอด เชนสายอากาศชนิดแนวตัง้ (Vertical) จะแพรกระจายคลื่นโดย เวคเตอรของสนามไฟฟาเปนแนวตั้ง จึงเรียกวา เวอติคอลโพลาไรซ (Vertical Polarized) และใน รูปที่ 1 ก็จะเปนวา เวอติคอลโพลาไรซ สวนสายอากาศชนิดแนวนอน (Horizontal) ก็จะแพรกระจายคลื่น โดยเวคเตอรของสนามไฟฟาเปนแนวนอน จึงเรียกวา ฮอริโซนทอลโพลาไรซ (Horizontal Polarized) สําหรับดวงอาทิตยการแพรกระจายแสงจะมีเวคเตอรสะเปะสะปะไมแนนอนเราจึงเรียกวา แรนดอม โพลาไรซ (Random Polarized)นอกจากนีย้ ังมีสายอากาศที่เรียกวา เฮลิคอล (Helical) เวคเตอรไฟฟาของ การแพรกระจายจะหมุนเปนวงเราจึงเรียกวา เซอคูลาโพลาไรซ (Circular Polarized) ในการติดตั้ง สายอากาศสงและรับจะตองมีโพลาไรซเหมือนกันจึงจะรับสัญญาณไดดีที่สุด การรับ (Reception) ลวดทีม่ ีกระแสความถี่สูงไหลผานจะเกิดสนามแมเหล็กและสนามไฟฟา ลอมรอบดังนัน้ หากเราเอาลวดอีกเสนไปวางในสนามแมเหล็กไฟฟานี้ ก็จะเกิดการเหนีย่ วนําในตัวมัน เรา จึงพูดไดวาลวดไดรับสวนของการแพรกระจายหรือเปนสายอากาศรับนัน่ เอง แมวากระบวนการรับจะ กลับกันกับกระบวนการสงแตสายอากาศสงและรับสามารถสับเปลี่ยนกันได ยกเวนเรื่องขนาดในการ รองรับกําลังงานแลว สายอากาศทั้งสองชนิดนี้จะเทียบเทากันในคุณสมบัติ ทุกประการเชน อิมพิแดนซ และแพทเทิน (Pattern) ซึ่งความสัมพันธุน สี้ ามารถพิสูจนไดทางคณิตศาสตร 1.2 คุณสมบัติของคลื่นแมเหล็กไฟฟา การลดทอนและการดูดกลืน(Attenuation and Absorption) กฎกําลังสองผกผันแสดงใหเห็นวา ความหนาแนนของกําลังงานจะลดลงอยางรวดเร็วตามระยะทางจากแหลงกําเนิดคลื่นแมเหล็กไฟฟา หรือ อาจกลาวไดวา คลื่นแมเหล็กไฟฟาจะถูกลดทอนลงเมื่อระยะทางไกลออกไป โดยการลดทอนจะเปนสัดสวน ตรงกับระยะทางยกกําลังสอง การลดทอนมีหนวยวัดเปน เดซิเบล (decibels) หรือ เนเปอร(nepers) โดย 1 nepers = 8.686 dB การลดทอนของความหนาแนนกําลังกับความเขมสนามจะมีคา เทากันกําหนดให P1 และ E1 แทนความหนาแนนของกําลังงานและความเขมสนาม ตามลําดับที่ -7- ระยะทาง r 1 จากแหลงกําเนิดคลื่นแมเหล็กไฟฟา และ r 2 เปนระยะที่หา งออกไปมีคา P2 และ E2 การลดทอนของกําลังงานทีร่ ะยะไกลเทียบกับที่ระยะใกล เปนเดซิเบลจะได (6) เชนเดียวกันกับการลดทอนของความเขมสนาม เราจะได (6’) จะเห็นไดวาทัง้ สองสูตรเหมือนกันและที่ระยะหางออกไป 2r จากแหลงกําเนิดของคลื่นทัง้ ความ หนาแนนกําลังและความเขมสนามจะมีคา ลดลงเทากับ 6dB เทียบกับระยะหางที่เทากับ r ในอวกาศวางจะ ไมสิ่งใดดูดกลืนคลื่นวิทยุ แต ในชัน้ บรรยากาศ สัญญาณวิทยุจะถูกดูดกลืนบางคลืน่ ทั้งนี้เพราะวาพลังงาน จากคลื่นแมเหล็กไฟฟาจะถูกถายโอนไปเปนอะตอมและโมเลกุลของชั้นบรรยากาศ การถายโอนนี้จะทําให อะตอมและโมเลกุลสั่นบาง แตในขณะที่ชนั้ บรรยากาศมีความอบอุน จะเกิดการดูดกลืนนอยมาก และโชคดี ที่ความถี่ต่ํากวา 10GHz แทบไมมีการดูดกลืนเลย ดังแสดงใหเห็นในรูปที่ 3 การดูดกลืนทีเ่ กิดจาก ออกซิเจนและไอนํ้าในชัน้ บรรยากาศจะเริม่ มากขึน้ ที่ความถี่สงู ขึ้นไปบางความถีจ่ ะถูกดูดกลืนสูงมาก เนื่องจากเกิดการรีโซแนนซของโมเลกุลเชนที่ความถี่ 60GHz และ120GHz จึงไมแนะนําใหแพรกระจาย คลื่นทางไกลในชั้นบรรยากาศที่ความถี่นี้ นอกจากนี้สําหรับการดูดกลืนจากออกซิเจนเราจะเรียกวาเปน ชองหนาตางทีม่ ีการดูดกลืนสูงระหวาง 33GHz ถึง110GHz และเชนเดียวกันการดูดกลืนของไอน้าํ ที่ ความถี่ 23GHz กับ 180GHz ก็ไมเหมาะที่จะแพรกระจายคลื่นยกเวนในกรณีที่อากาศแหงมาก รูปที่ 3 แสดงการดูดกลืนในชั้นบรรยากาศแยกเปนสองสวน ในสวนของการดูดกลืนที่เกิดจาก ไอนํ้าเปนคาจากความชืน้ มาตรฐาน แตถาความชื้นเพิ่มขึ้น เชน เกิดมีหมอก มีฝนหรือหิมะการดูดกลืนจะ เพิ่มมากขึ้นทันที และการสะทอนจากหยดนํ้าฝนก็มีผลมาก เชน ระบบเรดาความถี่ 10 GHz สามารถใชได ดีที่ระยะ 75 กม. ในอากาศแหง ลดลงเหลือ 68 กม. เมื่อฝนตกปรอยๆ เหลือระยะ 55 กม. ในฝนตกบางๆ เหลือระยะ 22 กม. หากฝนตกพอประมาณ และเหลือระยะเพียง 8 กม. เมือ่ ฝนตก หนัก แสดงใหเห็นผลความรุนแรงของการดูดกลืนที่ความถี่ไมโครเวฟ แตจะเกิดขึ้นนอยมากที่ความถี่ตํ่า ยกเวนที่ระยะทางการสงไกลมากๆ -8- รูปที่ 3 แสดงการดูดกลืนคลื่นแมเหล็กไฟฟาในชัน้ บรรยากาศ 1.2 ผลจากสิง่ แวดลอม เมื่อการแพรกระจายคลื่นเกิดขึ้นใกลๆโลก จะมีปจจัยอื่นที่ไมมีในอากาศวาง เชน การสะทอน (Reflection) จากพื้นดิน ภูเขา และตึกหรือสิ่งกอสราง คลื่นเกิดการหักเห (Refraction) เดินทางผานชัน้ บรรยา กาศทีม่ ีความหนาแนนแตกตางกันหรือการเกิดไอออนตางองศา คลื่นแมเหล็กไฟฟาจะเกิดการ เลี้ยวเบน (Diffraction) ออมมวลวัตถุที่สงู คลื่นอาจเกิดการแทรกแซงรบกวน (Interference) ระหวางกัน เมื่อสองคลื่นจากแหลงกําเนิดเดียวกันมาพบกันหลังจากเดินทางมาจากทางตางกัน คลื่นอาจจะถูกดูดกลืน โดยตัวกลางทีต่ างกัน ซึ่งปจจัยตางๆเหลานี้เราจะพิจารณากันในรายละเอียดแตละหัวขอตอไป การสะทอนของคลื่น การสะทอนของแสงจากกระจกเงากับการสะทอนของคลืน่ มเหล็กไฟฟา จากตัวกลางทีเ่ ปนตัวนํามีความเหมือนกัน คือมุมตกกระทบเทากับมุมสะทอน ดังแสดงใน รูปที่ 4 ในกรณีลําคลื่นตกกระทบ เสนตั้งฉากและ ลําคลื่นสะทอนเปนระนาบเดียวกัน แนวความคิดในการ ใชแหลงกําเนิดจินตภาพก็จะเกิดประโยชนการพิสูจนความเทากันของมุมตกกระทบกับมุมสะทอน -9- และตามดวยการพิสูจนทเี่ รียกวากฎที่สองของการสะทอนของแสง จะตองอยูบนพืน้ ฐานความจริงทีว่ า ความเร็วในการเดินทางของคลื่นที่ตกกระทบกับคลืน่ สะทอนตองเทากัน รูปที่ 4 การสะทอนของคลื่น การสะทอนของคลื่นมีความคลายคลึงกันในการสะทอนแสงดวยกระจก ถาเราเคยเขาไปในรานตัด ผมที่มีกระจกทั้งดานหนาและดานหลัง จะเห็นภาพซอนกันจํานวนมากมาย แตถาสังเกตใหดีจะเห็นภาพ เหลานั้นแตละภาพคอยๆลดความสวางลง ทัง้ นี้เพราะเกิดการดูดกลืนในการสะทอนแตละครั้ง ซึ่งจะเกิดขึ้น เชนเดียวกันกับคลื่นวิทยุ จึงกําหนดสัมประสิทธิ์ของการสะทอน ρ เปนอัตราสวนความเขมไฟฟาของคลื่น สะทอนตอคลืน่ ที่ตกกระทบ หากผิวตัวนําที่ทาํ ใหเกิดการสะทอนสมบูรณก็จะมีคาเทากับ 1 แตโดยปกติจะ นอยกวา 1 ในทางปฏิบัติ อันเปนผลใหเกิดการดูดกลืนพลังงานจากคลื่นโดยตัวนําที่ไมสมบูรณ การหักเห เชนเดียวกันกับแสง การหักเหของคลื่นแมเหล็กไฟฟาเกิดขึน้ เมื่อคลื่นแพรกระจายผาน ตัวกลางหนึ่งไปยังอีกตัวกลางหนึง่ ทีม่ ีความหนาแนนแตกตางกัน ความเร็วของคลื่นจะเปลี่ยนจึงทําใหหนา คลื่นเปลี่ยนแนวในตัวกลางที่สอง พิจารณาจาก รูปที่ 5 ตัวกลาง A มีความหนาแนนนอยกวาตัวกลาง B เมื่อลําคลื่นผานตัวกลาง A ไปยังตัวกลาง B ดวยมุมที่ไมใช 90 องศาตามหนาคลืน่ P-Q และเมื่อผานเขา ตัวกลาง B หนาคลืน่ เปลี่ยนแนวเปน P’-Q’ รังสี b เดินทางดวยความเร็วในตัวกลาง ไดระยะทาง Q-Q’ ใน ขณะเดียวกันรังสี a เดินทางดวยความเร็วในตัวกลาง B ไดระยะทาง P-P’ โดย P-P’จะสั้นกวา Q-Q’ เพราะความเร็วคลืน่ ในตัวกลาง B จะชากวา -10- รูปที่ 5 การหักเหของคลื่น ความสัมพันธของมุมตกกระทบ θ กับมุมหักเห θ ' สามารถคํานวณโดยอาศยั ตรีโกณมิติ และเรขาคณิต งายๆ ใหพิจารณาจากสามเหลี่ยมมุมฉาก PQQ’ และ PP’Q’ เราไดวา (7) (8) ในเมื่อ VA = ความเร็วของคลื่นในตัวกลาง A = VB = ความเร็วของคลื่นในตัวกลาง B = -11- (9) ในเมื่อ k = คาคงตัวไดอิเลกตริกในตัวกลาง A k ' = คาคงตัวไดอิเลกตริกในตัวกลาง B μ = ดัชนีการหักเห คาคงตัวไดอิเลกตริกในสูญญากาศมีคา เทากับ 1 และในอากาศมีคาใกลเคียง 1 หากรอยตอระหวาง ตัวกลางมีความหนาแนนแตกตางกันทันที ลําคลื่นก็จะหักเหดังใน รูปที่ 5 แตถาความหนาแนนระหวาง รอยตอคอยๆเปลี่ยนและเปนเชิงเสน การหักเหของคลื่นจะเปนเสนโคงดังแสดงใน รูปที่ 6 และในชั้น บรรยากาศเหนือโลก ความหนาแนนจะคอยๆเปลี่ยนไปอยางเชิงเสนกับความสูงโดยความหนาแนน ดานบนจะบางกวาดานลาง และคลื่นสวนบนจึงเดินทางเร็วกวาสวนลาง ทําใหการหักเหของลําคลืน่ โคงลง แทนที่จะพุงเปนเสนตรง ดวยเหตุนี้ขอบเขตการสงวิทยุจงึ เพิม่ ขึ้นทางแนวนอน รูปที่ 6 แสดงการหักเหของคลื่นในตัวกลางที่ความหนาแนนคอยๆลดลงอยางเชิงเสน -12- การแทรกแซงของคลื่นแมเหล็กไฟฟา การแทรกแซงหรือการรบกวนจะเกิดขึ้นเมื่อสองคลื่นที่ เกิดจากแหลงกําเนิดเดียวกันแตเดินทางไปคลื่นละทางจนถึงจุดหมาย ซึ่งมักเกิดขึ้นบอยในยานความถี่สงู ที่ แพร กระจายคลื่นแบบคลื่นฟา(Sky-wave) และยานความถี่ไมโครเวฟที่แพรกระจายคลื่นแบบคลื่นอวกาศ (Space wave) แตในที่นเี้ ราจะมาพิจารณากันเฉพาะกรณีหลัง จากรูปที่ 7 สายอากาศไมโครเวฟที่ P และ Q ติดตั้งใกลพื้นดินที่ความสูงตางกัน รับสัญญาณที่สงมาจากจุด S สัญญาณที่มาถึงสายอากาศไมเฉพาะ สัญญาณตรงอยางเดียวแตจะมีสัญญาณที่สะทอนมาจากพืน้ ดินดวยสัญญาณตรงจะมีระยะทางสั้นกวา ระยะทางของสัญญาณสะทอน มาดูที่สายอากาศ P หากเสนทาง 1 กับเสนทาง 1’ ตางกันเทากับครึ่งหนึง่ ของความยาวคลื่น สัญญาณทั้งสองจะเกิดการหักลางกันหมดที่จุด P หากวาสัญญาณที่สะทอนจาก พื้นดินสะทอนอยางสมบูรณ ทํานองคลายกันที่สายอากาศ Q หากเสนทาง 2 และ 2’ ตางกันเทากับหนึ่ง ความยาวคลืน่ สัญญาณที่ Q จะเสริมกันซึ่งมากหรือนอยก็ขึ้นกับการสะทอนจากพืน้ ดิน รูปที่ 7 การแทรกแซงของสัญญาณตรงกับสัญญาณสะทอน รูปที่ 8-8 แบบรูปการแผพลังงาน (Radiation Pattern) จากการแทรกแซง ความตางกันที่ระยะใกลๆกันจากขางบนและขางลางจึงเกิดขึ้น ลักษณะแบบรูปจากการแทรกแซง -13- ประกอบดวยการสลับของการหักลางและการเสริมกันของสัญญาณ สามารถวัดความเขมสนาม (Field-strength) จริงและนํามาคํานวณหรือพลอท ดังรูปที่ 8 ตรงที่ความเขมของสนามไฟฟาเปน ศูนย (Null) หรือบอดเกิดจากสัญญาณหักลางกันเชนที่จดุ P และตรงทีค่ วามเขมของสนามไฟฟาเปน พู(Lobes) เกิดจากสัญญาณเสริมกันเชนที่จุด Q ดังนั้นในกรณีนี้การเพิ่มกําลังสงของเครื่องสงใหแรงขึ้นจึง ไมไดทําใหเครือ่ งรับสามารถรับสัญญาณไดทุกๆตําแหนงเพียงแตเลื่อนตําแหนงหรือปรับมุมการรับของ สายอากาศใหถูกตองก็สามารถรับไดดีแลว รูปที่ 9 การเลี้ยวเบน (Diffraction) (a) เกิดจากหนาคลื่นทรงกลม (b) จากหนาคลื่นแนวระนาบ (c) เกิดจากชองเล็กๆ -14- การเลี้ยวเบนของคลื่นวิทยุ(Diffraction of Radio Wave) การเลี้ยวเบนของคลืน่ เปนคุณสมบัติ อีกอยางหนึ่งของคลื่นแมเหล็กไฟฟามักเกิดขึ้นกับรูเล็กๆบนระนาบตัวนํา หรือมุมที่คมของสิ่งขีดขวางวิถี คลื่น ซึ่ง Huygens เปนผูคน พบตัง้ แตศตวรรษที่ 17 โดย Huygens กลาววาทุกๆจุดของหนาคลื่นทรงกลม จะเปนแหลงกําเนิดทุติยภูมทิ ี่แพรคลื่นไกลออกไปดังในรูปที่ 9a สนามรวมทัง้ หมดที่พงุ ออกจาก แหลงกําเนิดจะเทากับผลรวมทางเวคเตอรของจุดกําเนิดทุติยภูมิเหลานี้ในกรณีหนาคลื่นแนวระนาบให พิจารณาจากรูปที่ 9b การเกิดแหลงกําเนิดทุติยภูมิก็มีเชนเดียวกัน แตทําไมหนาคลื่นยังคงเปนแนวระนาบ แทนที่จะแผออก เหตุผลก็คือหากไมจาํ กัดระนาบคลืน่ จะเกิดการหักลางกันของคลืน่ ในทิศทางอื่นๆทั้งหมด ยังคงเหลือเฉพาะคลืน่ ในทิศทางเดิมอยางไรก็ตามถาระนาบคลืน่ จํากัด การหักลางจะไมหมดเลยทีเดียวจึง อาจมีการลูออกหรือกระจัดกระจายบางเพียงแตหนาคลืน่ มีขนาดเล็ก แตถาในกรณีชองเล็กๆของแนวขีด ขวางดังรูปที่ 9c คลื่นจะกระจายออกและแพรออกไปทุกทิศทาง รูปที่ 10 การเลี้ยวเบนรอบๆมุมสิ่งกีดขวาง สําหรับกรณีสงิ่ กีดขวางดังรูปที่ 10 เมื่อหนาคลืน่ เจอมุมของสิ่งกีดขวางจะเกิดการเลี้ยวเบน เชน ที่จุด P และ Q ใกลๆมุมสิ่งกีดขวางคลื่นจะเบนออกทําใหดานหลังของสิง่ กีดขวางไดรับคลื่น ซึ่งปกติถา ไมมีสิ่งกีด ขวาง เวคเตอรหนาคลืน่ อื่นจะหักลางกันเหลือแตหนาคลื่นเดิม การเลีย้ วเบนของคลืน่ มีประโยชนในทาง ปฏิบัติท่เี ห็นชัด 2 อยางคือ หนึง่ ทําใหเครื่องรับซึ่งอยูห ลังสิ่งขีดขวาง เชน ภูเขา หรือ ตึกสูงสามารถรับคลื่น อากาศ (Space Wave) ได และสองใชหลักการเลี้ยวเบนของคลื่นในการออกแบบสายอากาศไมโครเวฟ เพื่อลดพูขาง (Side Lobes) ที่ไมตองการ -15- 2. การแพรกระจายคลื่นวิทยุ คลื่นวิทยุที่แพรกระจายออกจากสายอากาศนั้น จะมีการแพรออกไปในทุกทิศทาง คลื่นวิทยุเปน พลังงานแมเหล็กไฟฟาที่สามารถเดินทางไปไดดวยความเร็วเทาแสง อยางไรก็ดี คลื่นวิทยุที่มีความถี่ไม เทากันก็มีคุณสมบัติการแพรกระจายคลืน่ ไมเทากัน ในพื้นที่ที่ไกลออกไปจากสถานีสงคลื่นวิทยุกม็ ีความ แรงลดลง สัญญาณจึงออนลงๆ ดังในรูปที่ 8.11 ฉะนัน้ เครื่องรับที่อยูใ กลเครื่องสงมากกวายอมรับ สัญญาณไดแรงและคุณภาพของสัญญาณดีกวาเครื่องรับที่อยูหา งออกไปจาเครื่องสง รูปที่ 11 เครื่องรับที่อยูใกลสถานีสง จะรับสัญญาณไดแรงกวาเครือ่ งรับที่อยูไกลออกไปจากสถานี สง เรานิยมแบงชนิดของคลื่นตามลักษณะการเดินทาง เชน คลื่นดิน คลื่นอากาศ คลื่นฟา การเดินทางของ คลื่นเหลานี้แตกตางกันโดยสิ้นเชิง การใชประโยชนคลืน่ วิทยุเหลานี้ จึงตองเลือกความถี่และการเดินทาง ของคลื่นใหเหมาะสม เพื่อใหคลื่นวิทยุสามารถเดินทางจากเครื่องสงไปยังเครื่องรับโดยมีการลดทอนนอย ที่สุด รูปที่ 12 แสดงลักษณะการเดินทางของคลื่นวิทยุจากเครื่องสงไปยังเครื่องรับ -16- รูปที่ 12 ลักษณะการเดินทางของคลื่นวิทยุ 2.1 คลื่นดิน (ground wave) คลื่นดินเปนคลื่นวิทยุที่เดินทางไปบนผิวโลก บางครั้งเรียกวาคลื่นผิว (surface wave) เราสามารถ ใชคลื่นดินติดตอสื่อสารกันไดในยานความถี่ และ ปกติคลื่นดินทีม่ ีความยาวคลืน่ ยาวกวาจะเดินทางไปได ไกลกวาและจะเดินทางไปไกลกวาขอบฟา ดังรูปที่ 13 สําหรับคลื่นดินที่มีความถี่สงู ขึ้นจะเดินทางไปไมไกล เพราะถูกลดทอนมาก เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศหรือสิ่งกีดขวาง (ดูรูปที่ 14) เหตุผลก็คือเมื่อความถี่ สูงขึ้นความยาวคลื่นจะสัน้ ลง วัตถุที่ใหญ เชนภูเขาจึงมีผลตอการแพรกระจายคลื่น ยกตัวอยาง เชน ที่ ความถี่ 30 กิโลเฮิรตซ ความยาวคลืน่ จะเทากับ 10000 เมตร หรือ 6.2 ไมล เมื่อเทียบกับขนาดของภูเขา แลวภูเขายังมีขนาดเล็กกวาความยาวคลืน่ ฉะนัน้ การลดทอนคลื่นดินที่ความถีน่ ี้จะมีนอย แตที่ความถี่ 3 เมกะเฮิรตซ ความยาวคลื่นจะเปน 100 เมตร วัตถุที่ใหญกวาความยาวคลื่น เชน ตนไม เนินเขา ตึกราม บานชองจะเริม่ มีผลในการลดทอนคลื่นดิน -17- รูปที่ 13 การเดินทางของคลื่นดิน รูปที่ 14 การลดทอนของคลื่นดินที่ความถี่ตางๆ -18- วิธีการที่จะใหคลื่นดินแพรไปไดไกลมากขึ้น ทําไดโดยการแพรกระจายคลื่นใหมโี พลาไรเซชั่นแนวดิ่งในกรณี ที่เราแพรกระจายคลื่นใหมีโพลาไรเซชั่นแนวราบ สนามไฟฟาจะเกิดขึน้ ขนานกับผิวโลก ฉะนัน้ คลื่นดินจะ เสมือนถูกลัดวงจร (ดูดกลืน) ดวยความนําไฟฟา (conductivity) ของผิวโลก อยางไรก็ดีเราใชประโยชน คลื่นดินไดเฉพาะยานความถี่ LF กับ MF เทานัน้ ลองคิดดูวา ดวยเหตุนี้สายอากาศที่มีความยาว ในยาน ความถีน่ ี้ จะสรางไดยากมากเพราะมีขนาดใหญโตมโหฬารฉะนั้นเราจึงไมคอยนิยมสื่อสารกันในยาน ความถี่ LF แตสําหรับยานความถี่ MF เราสามารถติดตอสื่อสารโดยคลื่นดินไดเพราะขนาดสายอากาศใน ยานความถี่นี้ มีขนาดใหญมากนัก 2.2 คลื่นอากาศ เมื่อความถี่ของคลื่นวิทยุสงู กวา 4.5 เมกะเฮิรตซ คลื่นดินเริ่มจะไปไดเพียงไมกี่กิโลเมตรและเมื่อ ความถี่สงู ขึ้นไปในยาน VHF และ UHF คลื่นอากาศจะไปไดไกลกวาคลืน่ ดิน การติดตอสื่อสารในยาน ความถีน่ ี้ สายอากาศจะตองอยูในระยาสายตา เพราะคลื่นอากาศเดินทางโดยตรงจากสายอากาศเครื่อง สงไปยังเครื่องรับ บางครั้งจึงเรียกวาคลื่นโดยตรง (direct wave) จากรูปที่ 15 คลื่นอากาศจะถูกจํากัดใหมี รัศมีการติดตออยูไมเกินระยะสายตา ฉะนั้น ถาเราตองการขยายการติดตอสื่อสารใหไกลขึ้น วิธงี า ยๆ ก็คือ ตองเพิ่มความสูงของสายอากาศ การติดตอโดยคลื่นอากาศอีกแบบหนึ่งไดแกการติดตอผานดาวเทียมหรือ เครื่องบิน วิธนี ท้ี ําใหความสูงสายอากาศตองเพิ่มขึน้ มากมายรัศมีการติดตอก็จะไปไดไกลขึ้นในยานความถี่ VHF และ UHF หรือความถีท่ ี่สูงกวานี้ เรานิยมสื่อสารกันโดยใชคลื่นอากาศ รูปที่ 15 การเดินทางของคลื่นอากาศ 2.3 คลื่นฟา (sky wave) เหนือผิวโลกขึน้ ไปประมาณ 50 ถึง 400 กิโลเมตร การแพรรังสัอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตยจะ ทําใหอนุภาพของกาซในชั้นบรรยากาศที่หอ หุมโลก แตกตัวเปนไอออน (ionize) เกิดประจุบวกและประจุ ลบ รวมทั้งอิเล็กตรอนอิสระ มากมาย ชั้นบรรยากาศที่โดนรังสีแลวเกิดไอออนนี้ เรียกวาชัน้ ไอโอโนสเฟยร (ionosphere) คลื่นแมเหล็กไฟฟาที่เดินทางเขาสูชนั้ บรรยากาศนี้ จะถูกหักเหเนื่องจากสนามไฟฟาใน -19- รูปที่ 16 การเดินทางของคลื่นไฟฟา 2.4 ชั้นไอโอโนสเฟยร ชั้นไอโอโนสเฟยร สามารถแบงออกไดเปนหลายชัน้ ยอยตามปริมาณไอออนที่เกิดขึน้ คลื่นฟาที่ สะทอนกลับจากชัน้ บรรยากาศไอโอโนสเฟยรนั้น อาจมาจากชัน้ ยอย ๆ ที่ความสูงตางกัน และนอกจากนี้ก็ ยังขึ้นอยูกับความถี่ในชวงเวลาเชา กลางวัน เย็น หรือกลางคืน ปริมาณไอออนที่เกิดขึน้ ไอโอโนสเฟยรน้นั จะไมกันเพราะกาซตางๆ ทีห่ อหุมโลกมีอยูหลายชนิดทีค่ วามดันตาง ๆกัน ทําใหรับอิทธิพลจากรังสิคอสมิก -20- รูปที่ 17 ชั้นไอโอโนสu3648 เฟยรแบงเปนชั้นยอยอีกหลายชั้น -21- รูปที่ 18 ชั้นบรรยากาศรอบโลก ชั้นยอยในไอโอโนสเฟยรยังแบงออกเปนหลายชัน้ ยอยทีค่ วามสูงตางๆ กัน ดังรูปที่ 17 สังเกตวาชัน้ D จะ เกิดขึ้นเฉพาะเวลากลางวัน ชั้นนี้อยูไกลจากดวงอาทิตยปริมาณไอออนจะมีนอยมากชั้น D จึงไมคอยหักเห คลื่นวิทยุ แตจะมีการดูดกลืนคลื่นใหลดนอยลงไปบาง ฉะนัน้ ในการสือ่ สารผานชัน้ คลื่นจะถูกลดทอนทั้ง ขาขึ้นและขาลง สําหรับคลื่นในยางความถี่ MF ชั้น D จะถูกดูดกลืนจนหมดสิ้น ฉะนัน้ คลื่นในยานความถี่ จะสื่อสารไดเฉพาะคลืน่ ดินในตอนกลางวัน แตในตอนกลางคืนชั้น D จะหายไป คลื่น (ในยาน MF) ก็จะ สามารถเดินทางไดทงั้ ทางคลื่นดินและคลืน่ ฟาดวยชัน้ E อยูในชวงความสูงตั้งแต 90 ถึง 130 กิโลเมตร เหนือผิวโลก ชั้นนี้จะมีปริมาณไอออนหนาแนนที่สุดในตอนเทีย่ งวัน และมีนอยมากในตอนกลางคืน (ดูรูปที่ 18 ประกอบ) สวนชัน้ F คอนขางเปลี่ยนแปลงมากที่สุด เพราะเปนชัน้ ที่อยูน อกสุดและใกลดวงอาทิตยกวา ชั้นอื่นๆ ในตอนกลางคืนชั้นนี้จะมีชนั้ เดียว อยูระหวางความสูงประมาณ 180 ถึง 400 กิโลเมตร แตในตอน กลลางวันรังสีจากดวงอาทิตยจะแผมาแรงมากจึงแบงออกเปนชัน้ ยอยอีกคือ กับ " F1 กับ F2 ชั้น F1 อยู ระหวาง 130 ถึง 250 กิโลเมตร สวนชัน้ F2 อยูระหวาง 140 ถึง 300 กิโลเมตรในฤดูหนาวและจะสูงขึ้นไป อีกระหวาง 250 ถึง 350 กิโลเมตรในฤดูรอน 2.5 การสื่อสารทางคลื่นฟา การสื่อสารทางคลื่นฟานี้ คอนขางซับซอนเนื่องจากชัน้ บรรยากาศไอโอโนสเฟยรเปลี่ยนแปลงอยู ตลอดเวลา ดูรูปที่ 19 จะเห็นวาคลื่นฟาคอยๆ หักเหกลับมาจากชั้นไอโอโนสเพียรทีละนอย มิใชเปนการหัก -22- รูปที่ 19 คลื่นวิทยุคอย ๆ ผานชั้นบรรยากาศชั้นบาง ๆ รูปที่ 20 ระยะสูงเสมือนของชั้นไอโอโนสเฟยร มายังโลก เมื่อความถี่ของคลื่นสูงขึน้ ไปเกินคาหนึง่ คลื่นจะไมสะทอนกลับมา ความถี่คานี้เรียกวาความถี่ วิกฤต (Critical frequency) ฉะนัน้ เมื่อสงคลื่นที่มีความถี่สูงกวาความถี่วิกฤตขึ้นไปในแนวคลืน่ ก็จะไม สะทอนกลับมายังโลก ความถี่วิกฤตนี้เปลีย่ นแปลงไปตามชั้นไอโอโนสเฟยร ซึ่งไมแนนอน สมมติวา เรายิงคลื่นขึ้นไปเปนมุมเฉียง (แทนที่จะเปนแนวดิ่ง) คลื่นก็จะเดินทางในชั้นไอโอโนสเฟยรนานขึ้น ดังนัน้ การหักเหจะหักเหไดมากขึ้น ซึ่งหมายความคลืน่ ทีค่ วามถี่สงู กวาความถีว่ ิกฤต จะสะทอนกลับสูโลก ไดถายิงคลืน่ เปนมุมเฉียง อยางไรก็ตาม ยังมีขอจํ ากัดอืน่ ๆ อีก กลาวคือถามุมยิงสูงขึ้นจนถึงมุมยิงคาหนึง่ แลว คลื่นจะทะลุฟาไปเลย ไมสะทอนกลับมา มุมนี้เรียกวามุมวิกฤต -23- ดูรูปที่ 21 สังเกตวาเมื่อมุมยิง่ ตํ่าลง ระยะทางติดตอสื่อสารไกลขึ้น ระยะทางนี้เรียกวาระยะสกิป (skip distance) ฉะนั้นนะยะสกิปจะไกลที่สุดก็ตอเมื่อใชมุมยิงต่ําที่สุดและใชคลื่นที่มีความถี่สูงสุดที่จะหักเหไดที่ มุมยิงนัน้ รูปที่ 21 การหักเหของคลืน่ วิทยุที่มุมยิงคาตาง ๆ รูปที่ 22 ความถี่ใชงานสูงสุดในที่นี้เทากับ 20 MHzที่มุมยิงทีก่ ําหนดใหเพื่อใหหักเหลงมายังจุด A ความถี่สงู สุดที่สามารถใชตดิ ตอไดระหวางจุด 2 จุด เรียกวา ความถี่ใชงานสูงสุด (maximum usable frequency หรือ MUF) ความจริงความถี่ตา่ํ กวา MUF ก็ใชได เพราะคลื่นสามารถหักเหลงมาไดเชนกัน อยางไรก็ตาม เมื่อความถี่ต่ําลงอัตราการลดทอนในชั้นไอโอโนสเฟยรจะเพิ่มขึน้ มากมาย ระดับสัญญาณที่ รับไดจะออนลง ความถี่ตา่ํ สุดที่ใชติดตอกันไดนี้เรียกวา ความถี่ใชงานต่ําสุด (lowest usable frequency หรือ LUF) นัน่ คือ ถาใชความถี่ต่ํากวา LUF จะรับคลื่นไมไดเพราะถูกลดทอนหมด ถาใชความถี่สงู กวา MUF ก็จะรับไมไดเพราะคลืน่ ทะลุฟา ไมสะทอนกลับ ฉะนั้นที่ความถี่ MUF เราจะไดร บั สญั ญาณแรงทสี่ ดุ ดงั ในรปู ที่ 22 โดยปกติคา MUF จะเปลี่ยนแปลงอยูเสมอ เนื่องจากรังสีจากดวงอาทิตย ดังนั้นเราจึง เลือกความถี่ใชงานทีพ่ อเหมาะ (optimum usable frequency) คือใหต่ํากวาคา MUF ลงมามากพอที่จะให -24- รูปที่ 23 การหักเหของคลืน่ ที่ความถี่ตา ง ๆ สําหรับชั้นไอโอโนสเฟยรชนั้ ยอย 2.6 การสื่อสารหลายฮอป คลื่นที่เราสงขึน้ ไปบนฟาเมือ่ หักเหกลับลงมายังโลก หากคลื่นแรงพอก็อาจจะสะทอนผิวโลกกลับ ขึ้นไปบนฟา แลวหักเหกลับลงมายังโลกไดอีก ดังในรูปที่ 24 จากเครือ่ งสงจะยิงคลืน่ ขึ้นฟาสะทอนกลับมาที่ จุด A แลวยังมีความแรงพอจึงสะทอนขึ้นไปบนฟาอีก และกลับลงมาที่จุด B ไดการสื่อสารแบบนีค้ ลื่นจะ กระโจน (hop) หลายครั้ง จึงเรียกกันวาเปนการสื่อสารหลายฮอป (multihop) ภายใตสภาวะที่เหมาะสม ระยะทางที่สื่อสารกันไดแบบฮอปเดียว การสะทอนของคลื่นจากชั้นบรรยากาศเพียงครั้งเดียวอาจจะไปได ไกลถึง 2000 ถึง 3000 กิโลเมตร ขึ้นอยูกับมุมยิง แตมุมยิงจะต่ํากวาขอบฟาไมได ฉะนั้นการสื่อสารที่ไกล -25- รูปที่ 24 การสื่อสารแบบที่คลื่นเดินทาง 2 ฮอป 2.7 การจางหาย การสื่อสารทางคลื่นฟานั้น ความแรงสัญญาณจะเปลี่ยนแปลงอยูเสมอ เดี๋ยวออนเดี๋ยวแรงถา ระดับสัญญาณกระเพื่อมนอย ระบบ AGC ในเครื่องรับก็จะชดเชยระดับสัญญาณที่รับได ทําใหความดัง คงที่แตบางครั้งสัญญาณก็หายไปเฉยๆ เพราะถูกลดทอนมาก ปรากฏการณนี้เรียกวาการจางหาย การจาง หายนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการทีส่ ัญญาณมาถึงเครื่องรับจากหลายเสนทาง ในบางครั้งก็มาเสริมกันหรือหักลาง กันซึง่ เรียกวา มัลติพาธ (multipath) และเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของชั้นไอโอโนสเฟยร ดูรูปที่ 8.25 (ก) สัญญาณจากเครื่องสงมายังเครื่องรับจากหลายเสนทาง คือ มาแบบฮอปเดียวและ 2 ฮอป ในกรณีนี้คลื่น ทั้งสองจะเดินทางมาถึงเครือ่ งรับไมพรอมกัน เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเฟส ผลรวมของคลื่นทั้งสองอาจจะ เสริมกันบาง หรือหักลางกันเองบางแลวแตการเดินทาง เชนถาหากคลื่นมีเฟสตางกัน 180 องศา (หรือครึ่ง หนึu่ 3591 งของความยาวคลื่น) คลื่นก็จะหักลางกันเอง -26- รูปที่ 25 การรับสัญญาณามัลติพาธ -27- การจางหายของคลื่นฟาจึงเกิดขึ้นไดเสมอดังรูปที่ 25(ข) นอกจากนี้คลืน่ ที่รับไดที่เครือ่ งรับอาจมาจากทัง้ คลื่นไฟฟาและคลื่นดินทําใหเฟสของสัญญาณที่มาถึงไมตรงกัน การจางหายก็เกิดขึ้นกรณีหลังนีจ้ ะเกิด เฉพาะคลื่นในยานความถี่ MF ดูรูปที่ 25 (ก) 2.8 การเปลีย่ นแปลงในชั้นไอโอโนสเฟยร ชั้นไอโอโนสเฟยร เกิดขึ้นเนือ่ งจากรังสีของดวงอาทิตย ฉะนัน้ การโคจรของกวงอาทิตยและโลกจะมี อิทธิพลตอการเปลี่ยนแปลงในชั้นไอโอโนสเฟยร มนุษยเราเฝาสังเกตการเปลี่ยนแปลงทัง้ ปวงจนจับ ลักษณะการเปลี่ยนแปลงไดวา แบงออกเปน การเปลี่ยนแปลงประจําวัน (Diurnal) การเปลี่ยนแปลงประจํา ฤดูกาล (seasonal) การเปลีย่ นแปลงตามลักษณะภูมิศาสตร (geographical) รวมทั้งการเปลี่ยนแปลง ครบรอบ (cyclical) การเปลี่ยนแปลงประจําวันไดแกการเปลี่ยนแปลงในแตละชั่วโมง เนื่องจากการหมุนรอบ ตัวเองของโลก สรุปการเปลี่ยนแปลงประจํ าวันไดวา ชั้น D, E และ F1 จะขึ้นอยูกับความสูงของ ดวงอาทิตยเหนือขอบฟา การเกิดไอออนจะคอยๆ เพิ่มขึ้น จากตอนเชาดวงอาทิตยโผลจากขอบฟาจนถึง เที่ยงวันไอออนจะมากที่สุด แลวคอยๆ ลดลงจนเพราะอาทิตยลับขอบฟา ชั้น D, E และ F1 จะหายไปในตอนกลางคืน ในรูปที่ 26 แสดงใหเห็นลักษณะการเปลี่ยนแปลงของชัน้ ไอโอโนสเฟยร ในรูป ของความถี่วิกฤต จะเห็นวาชั้น F2 จะสูงขึน้ เมื่อดวงอาทิตยขึ้นแลวคอย ๆลดลงเมื่อดวงอาทิตยตก และชั้น F2 ก็ยังคงมีอยูในตอนกลางคืน รูปที่ 26 การเปลี่ยนแปลงของชั้นไอโอโนสเฟยรประจํ าวัน -28- รูปที่ 26 (ตอ) การเปลี่ยนแปลงของชั้นไอโอโนสเฟยรประจําวัน เนื่องจากโลกโคจรรอบดวงอาทิตย ระยะทางจาก (จุดบน) โลกไปยังดวงอาทิตยจะเปลี่ยนแปลง ดวยการเปลี่ยนแปลงของชัน้ ไอโอโนสเฟยร ก็จะเปนไปตามฤดูกาล จากรูปที่ 27 แสดงการเปลีย่ นแปลง ประวันฤดูกาลของความถี่วกิ ฤต F2 จะเห็นวาในฤดูหนาวโลกอยูใกลดวงอาทิตยมากกวาฤดูกาลรอน จึง ไดรับรังสีมากกวา ความถีว่ กิ ฤตตอนเที่ยงวันจึงสูงกวา ปริมาณของรังสีที่กระทบชั้นไอโอโนสเฟยร ขึ้นอยูกบั เสนรุงหรือละติจูด (Latitude) เชนรังสืจะเขมขนที่ เสนศูนยสูตรในขณะที่ดวงอาทิตยอยูตรงศรีษะพอดีและที่เสนละติจูดไปทางทิศเหนือและใตจะเขมขนนอยลง การเปลี่ยนแปลงปริมาณไอออนจึงขึ้นอยูก ับตําแหนงของเสนรุง หรือลักษณะทางภูมิศาสตรดวย นอกจากนี้ เวลาครบรอบของจุดบนดวงอาทิตยเทากับ 11 ป จุดที่เกิดขึ้นบนดวงอาทิตยมีอิทธิพล ตอชั้นไอโอโนสเฟยรมาก รูปที่ 28 แสดงจํ านวนจุดบนดวงอาทิตยในอดีตที่ผานมาจํานวนจุดบนดวง อาทิตยมีความสัมพันธโดยตรงกับปริมาณรังสีอัลตราไวโอเลต -29- รูป ที่ 27 การเปลี่ยนแปลงของชั้น F2 ในฤดูรอนกับฤดูหนาว คือ จุดยิ่งมากรังสียิ่งเขมขน รังสีนี้จะมีอิธพิ ลในการเกิดไอออนในชนั้ ไอโอโนสเฟยร จากรูปที่ 29 จะเห็นวาความถี่วิกฤตสําหรับชั้น F2 ในปที่มีจุดดับมากและนอย จะแตกตางกันกวาเทาตัว การที่มีจุด มากๆ มักจะสงผลใหการสื่อสารไปไดไกลขึ้นและความแนนอนในการสื่อสารทางคลืน่ ฟาดีขึ้น รูปที่ 28 จุดของดวงอาทิตย (รูป ก.) มีผลตอการเปลี่ยนแปลงของไอโอโนสเฟยร (ตามรูป ข.) -30- รูปที่ 29 เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของชั้น F2 ที่จํ านวนจุดดับ ในดวงอาทิตยมากสุดและ นอยสุด นอกจากความเปลี่ยนแปลงในชัน้ ไอโอโนสเฟยร ประจําวัน ประจําฤดูกาล ตําแหนงหรือลักษณะ ทางภูมิศาสตรและการเปลีย่ นแปลงตามเวลาครบรอบ 11 ป ของจุดแลว ตามที่ศึกษามาขางตนนั้น ชั้นไอ โอโนสเฟยรยงั มีความเปลี่ยนแปลงอื่นๆ อีก ความเปลี่ยนแปลงนี้ไมมีรูปแบบที่แนนอนนักหรือไมสามารถ ทํานายได โดยทั่วไปการเปลี่ยนแปลงนี้จะสงผลตอความถี่ยาน HF ในลักษณะของการลดทอนทีละนอย หรือบางครั้งก็ลดทอนอยางฉับพลันจนสัญญาณหายไปเฉย ๆ แตในทางตรงกันขาม สําหรับความถี่ยาน -31- 2.9 การแพรกระจายคลื่นยานความถี่ VHF และ UHF การสื่อสารทางคลื่นฟาจะใชไดเฉพาะในยานความถี่ HF เทานัน้ เนื่องจากความถี่ในยานนี้ จะมีคาไมเกิน 30 เมกะเฮิรตซ ถึงแมจะเปนในชวงที่จุดบนดวงอาทิตยมากที่สุด ความถี่ MUF ก็จะขึ้นไปได เพียง 50 ถึง 60 เมกะเฮิรตซ เทานัน้ ดวยเหตุนี้การสื่อสารดวยคลื่นในยานความถี่ VHF และ UHF จึงตอง ใชคลื่นอวกาศซึ่งเดินทางไปไดไมเกินระยะสายตา อปุสรรคสําคัญของการสื่อสารในยานความถี่ VHF และ UHF นี้ก็คือ ภูมิประเทศและความโคงของผิวโลกบังคลื่นเอาไวความจริงแลวอากาศบนผิวโลกนี้ สามารถ หักเหคลื่นในยานความถี VHF และ UHF ไดเล็กนอยสาเหตุของการหักเหก็เนื่องมาจาก เมื่อความสูง เพิ่มขึ้นความหนาแนนของอากาศจะลดลงนัน่ คือ คลื่นสวนบนยอมเดินทางเร็วกวาคลื่นสวนลาง ทําใหคลื่น โคงเขาหาผิวโลก จึงดูเหมือนกับวาระยะสายตา (ระยะทางที่คลื่นเดินทางไปพนขอบฟา) ไกลกวาปกติ 1.3 เทา(ระยะสายตาในกรณีที่คลื่นไมหกั เห) ระยะสายตา (LOS) หาไดจากสูตร (10) ในทีน่ ี้ Dt คือ ระยะสายตามีหนวยเปนกิโลเมตร Ht คือ ความสูงของสายอากาศมีหนวยเปนเมตร ในกรณีของเครื่องรับก็ใชสูตรนี้เชนกัน ทําใหเราสามารถคํานวณหาระยะทางที่สามารถติดตอกันดวยคลื่น อากาศได คือ (11) ตัวอยางที่ 1 สายอากาศของเครื่องสงสูง 100 เมตร สายอากาศเครื่องรับสูง 49 เมตร ระยะทางที่สามารถ สื่อสารดวยคลืน่ อวกาศจะเทากับ -32- หมายความวาในกรณีนี้ เราสามารถติดตอกันไดไกลถึง 68 กิโลเมตร ทั้งนี้สมมติวาไมมีสิ่งกีดขวางใดๆ เลย กลาวคือไมมภี ูเขา เนินเขา ตึกรามตางๆ ฯลฯ มาบังระหวางเสนทางที่คลื่นเดินทางจากเครื่องสงไปยัง เครื่องรับ รูปที่ 30 ระยะสายตา 2.10 การแพรกระจายคลืน่ แบบโทรโปสแกตเตอร ในการสื่อสารแบบโทรโปสแกตเตอร (troposcatter หรือ tropospheric scatter) นี้ เราใชเครื่องสง ที่มีกาํ ลังสงสูงมากและใชสายอากาศที่มีแกนสูง สงออกอากาศขึ้นไป (คลาย ๆ กับสงคลื่นไฟฟา) โดยยิง ออกไปใหกระทบชั้นบรรยากาศโทรโปสเฟยร พลังงานของคลื่นบางสวนซึง่ นอยมากจะกระจัดกระจายปยัง ทิศทางของเครื่องรับ ขบวนการกระจายคลื่นนัน้ ยังไมมคี ําอธิบายที่เปนทีย่ อมรับ แตในทางทฤษฎีบอกวา สัญญาณจะสะทอนกลับลงมาเนื่องจากความไมสมํ่ าเสมอของชั้นบรรยากาศ แตบางทฤษฎีก็บอกวาการ สะทอนเกิดขึน้ เพราะชัน้ บรรยากาศ อยางไรก็ตาม การสื่อสารโดยวิธโี ทรโปสแกตเตอรนับวามีความแนนอน สูงมาก และทําใหสามารถสือ่ สารโดยใชคลื่นยานความถี่ UHF หรือสูงกวานี้ ออกไปไกลกวาระยะสายตา (รูปที่ 31) -33- รูปที่ 31 การแพรคลื่นแบบโทรโปสแกตเตอร ความถีท่ ี่เหมาะสมสําหรับการสื่อสารโทรโปสแกตเตอร ก็คือ 900 เมกะเฮิรตซ 2 กิกะเฮีรตซและ 5 กิกะเฮิรตซ ระยะทางติดตอไดไกลตั้งแต 300 ถึง 1000 กิโลเมตร (ถาใชคลื่นอวกาศจะไปไดไมเกิน 100 กิโลเมตร) ขอเสียของการสื่อสารโทรโปรแกตเตอรก็คือตองใชกําลังสงสูงมากและสาอากาศตองมีแกนสูง วิธีโทรโปสแกตเตอรเมื่อเทียบกับการสื่อสารโดยใชคลื่นอวกาศและรีพตี เตอรเชื่อมตอกัน วิธีโทรโปสเตอรก็ ยังแพงกวามาก อยางไรก็ตาม ถาภูมิประเทศเปนอุปสรรคอยางมากในการติดตั้งสถานีรีพีตเตอร หรือดวย เหตุผลอื่น ๆ วิธีโทรโปสแกตเตอร ก็นับเปนทางเลือกที่ดีทางหนึง่ ตัวอยางการใชงานของระบบโทรโปสแกต เตอร ไดแกการติดตอสื่อสารไปยังแทนขุดเจาะนํ้ามันในทะเลเหนือ เปนตน 2.11 การสื่อสารผานดามเทียม ดาวเทียมสื่อสาร ก็คือ สถานีรีพีตเตอรไมโครเวฟนัน่ เอง ดาวเทียมจะรับสัญญาณขาขึ้น (up link) จากโลกทําการขยายใหมีความแรงมากขึ้น แลวจึงสงสัญญาณขาลง (down link) กลับมายังผิวโลก ความถี่ขาขึ้นกับขาลงจะไมเทากัน เนื่องจากตําแหนงของกาวเทียมอยูส ูงจากโลกมาก ทําใหสามารถ -34- รูปที่ 32 การสื่อสารผานดาวเทียม ดามเทียมสวนใหญจะลอยคางฟาอยูในวงโคจรซิงโครนัส (synchronous orbit) กลาวคือลอยนิ่ง อยูในอากาศเหนือเสนศูนยสูตรประมาณ 35,800 กิโลเมตร เวลาโคจรรอบโลกจะตองเทากับเวลาที่โลก หมุนรอบตัวเองคือ 24 ชั่วโมง ฉะนัน้ ความเร็วเชิงมุม (angular velocity) ของดาวเทียมกับโลกจะตอง เทากันดาวเทียมประเภทนี้เรียกวา ดาวเทียมคางฟาเมื่อดาวเทียมลอยนิ่งอยูบ นฟาในวงจรโคจรซิงโคนัส เราสามารถตั้งสายอากาศเล็งไปยังดาวเทียมได ในรูปที่ 33 แสดงพื้นทีใ่ ชงานซึ่งดาวเทียมคางฟาสามารถ ครอบคลุมได ดาวเทียมดวงนี้ลอยอยูเหนือเสนศูนยสูตรคอนไปทางทิศตะวันตก 15 องศา จากแผนทีน่ ี้เรา จะเห็นวา เราใชดาวเทียมเพียง 3 ดวง ก็จะสามารถครอบคลุมพื้นที่ของโลกไดเกือบทั้งหมด แตในทาง ปฏิบัติเราใชจํานวนดาวเทียมมากมาย เนือ่ งจากปริมาณขาวสารที่ตดิ ตอสื่อสารกันมีมาก จนดาวเทียมดวง เดียวไมสามารถทําได -35- รูปที่ 33 พื้นที่ใชงานของดาวเทียม สําหรับดาวเทียมประจําชาติหรือดาวเทียมภายในประเทศ (Domestic) จะตองใชสายอากาศพิเศษ เพื่อควบคุมพืน้ ที่ใชงานใหจาํ กัดอยูเฉพาะประเทศของตัวเองในรูปที่ 34 แสดงใหเห็นดาวเทียมที่รอบคลุม พื้นที่ของประเทศสหรัฐอเมริกาดาวเทียมจะประกอบดวยสายอากาศ (ตัวเดียวใชทงั้ รับและสง) รูปที่ 34 ดาวเทียมประจํ าชาติและพืน้ ที่ใชงาน เครื่องรับและเครื่องสงซึ่งเรียกรวม ๆ วา ทรานสปอนเดอร (Transponder) เครื่องจะไมดีมอด สัญญาณจากเครื่องสง สัญญาณขาขึ้นความถี่ 6 กิกะเฮิรตซที่รับได จะถูกขยายและเฮตเทอโรดายนให -36- เนื่องจากกําลังที่ใชจะตองใหนอยที่สุด ดังนั้นกําลังสงของเครื่องสงจะตองไมมากเกินความจําเปน นอกจากนี้สถานีภาคพื้นดินก็ใชสายอากาศแกนสูง เครื่องสงกําลังสูงและเครื่องรับทีม่ ีความไวสูงอยูแลว