04-บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการแสดงพื้นบ้านไทย PDF

Summary

This document is about Thai traditional performance. It covers general knowledge, meaning, importance, and value, along with examples from the central, northern, southern, and Isan regions of Thailand.

Full Transcript

0045002 ดนตรีและศิลปะการแสดงอีสาน (Music and Isan Performing Arts) 1 บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการแสดงพื้นบ้านไทย เนื้อหาประจาบทเรียน 1. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการแสดงพื้นบ้า...

0045002 ดนตรีและศิลปะการแสดงอีสาน (Music and Isan Performing Arts) 1 บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการแสดงพื้นบ้านไทย เนื้อหาประจาบทเรียน 1. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการแสดงพื้นบ้านไทย 2. ความหมาย ประเภท ความสาคัญ และคุณค่าของการแสดงพืน้ บ้านไทย 3. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการแสดงพื้นบ้านภาคกลาง การแสดงพืน้ บ้านเหนือ การแสดงพื้นบ้านภาคใต้ และการแสดงพื้นบ้านอีสาน 4. แบบฝึกหัด ความหมาย ประเภท ความสาคัญ คุณค่า การแสดงพื้นบ้านภาคกลาง การแสดง พื้นบ้านเหนือ การแสดงพืน้ บ้านภาคใต้ และการแสดงพืน้ บ้านอีสาน จุดมุ่งหมายการเรียนการสอน 1. สามารถอธิบายความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการแสดงภาคต่าง ๆ ได้ 2. สามารถอธิบายความหมาย ประเภท ความสาคัญ และคุณค่าของดนตรีและศิลปะการแสดงได้ 3. สามารถอธิบายการแสดงพืน้ บ้านภาคกลาง การแสดงพืน้ บ้านเหนือ การแสดงพื้นบ้านภาคใต้ และ การแสดงพื้นบ้านอีสานได้ กิจกรรมการเรียนการสอน 1. ผู้เรียนศึกษาความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการแสดงภาคต่าง ๆ จากเอกสารประกอบการเรียน การสอน 2. ผู้สอนอธิบายความหมาย ประเภท ความสาคัญ คุณค่า เกี่ยวกับการแสดงภาคต่าง ๆ 3. ผู้สอนอธิบายการแสดงพืน้ บ้านภาคกลาง การแสดงพื้นบ้านเหนือ การแสดงพื้นบ้านภาคใต้ และ การแสดงพื้นบ้านอีสาน สื่อการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. การแสดงพื้นบ้านภาคต่าง ๆ การวัดและประเมินผล 1. พิจารณาจากการซักถามสรุปบทเรียน 2. พิจารณาจากการอภิปรายแสดงความคิดเห็นของผู้เรียน นิสิต นักศึกษา 3. การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน 4. ตอบคาถามท้ายบท หลักสูตรปริญญาตรี หมวดวิชาศึกษาทั่วไป กลุ่มวิถีสังคม (วิชาเลือก) 0045002 ดนตรีและศิลปะการแสดงอีสาน (Music and Isan Performing Arts) 2 บทนา องค์ความรู้เกี่ยวกับดนตรีพื้นบ้าน เป็นดนตรีเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่มีคุณค่ามหาศาล มนุษย์ได้นาเอาคุณค่า ของดนตรีมาใช้ประโยชน์มากมายทั้งในด้านสร้างความเพลิดเพลินบันเทิงใจ และด้านพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อด้าน ความบันเทิงนั้นดนตรีทาให้จิตใจเบิกบานร่าเริงแจ่มใส ซึ่งสังเกตได้ว่าที่ใดมีเสียงดนตรีที่นั่นมักจะมีความสนุกสนานรื่น เริง ความปิติยินดี และความมีไมตรีจิต ส่วนทางด้านพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อนั้น มนุษย์เชื่อว่าเสียงดนตรีทาให้สิ่ง ลึกลับที่มีอานาจเหนือธรรมชาติพึงพอใจ และบันดาลให้มนุษย์มีความสุขความเจริญ บังเกิดความอุดมสมบูรณ์ และ ความปลอดภัย มนุษย์จึงได้จัดพิธีกรรมต่าง ๆ ขึ้นตามความเชื่อ โดยมีดนตรีเป็นส่วนประกอบ เช่น การสู่ขวัญ การ เรี ย กขวั ญ การแต่ ง งาน เป็ น ต้ น จะเห็ น ได้ ว่ า ดนตรี มี คุ ณ ค่า ต่ อ วิ ถี ชี วิ ต หลายอย่ า ง ดั ง บทกลอนของสุ น ทรภู่ใน วรรณกรรมเรื่องพระอภัยมณี กล่าวไว้ว่า “อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์” การละเล่นและการแสดงของไทย มีสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ และจาต้องมีควบคู่กันไป อย่างสม่าเสมอนั่นเครื่อง ดนตรีประกอบทั้งนี้เพราะดนตรี จะช่วยเร่งเร้าและสร้างบรรยากาศให้เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นแบบสนุกสนานเร้าใจดนตรี มาช่วยบรรเลง ให้ได้ตามจังหวะตามอารมณ์และความรู้สึกที่เกิดขึ้น ซึ่งเครื่องดนตรีเศร้าสร้อยเสียใจ หรือรื่นเริงบันเทิง อารมณ์ โดยการก่อของเสียงดนตรีอันไพเราะดังกล่าว ก็ต้องอาศัยเครื่องดนตรีต่าง ๆ ที่นามาใช้ในการบรรเลง ก็จะ ช่วยฉุดกระชากอารมณ์ และความรู้สึกให้คล้อยไป ตามบรรยากาศนั้น ๆ ได้ไม่ยาก สรุปได้ว่า ดนตรีพื้นบ้าน เป็นอีกสาเนียงเสียงที่ขับกล่อม และให้ความบันเทิงแก่ผู้คนมาแล้ว นับร้อยนับพันปี ซึ่งการก่อเกิดของสาเนียงดังกล่าวก็เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน กับการก่อสร้างชุมชนจากเสียงร้องกล่อมเด็ก จนเป็นเสียงร้อง ในพิธีทางความเชื่อ ศาสนาและขนบธรรมเนียมประเพณี มาถึงการร้อง เพื่อความบันเทิง ดังนั้น “ดนตรีพื้นบ้าน” จึง เป็นเอกลักษณ์ สาคัญอย่างหนึ่ง ในการบอกความเจริญ ของชนชาติหรือชุมชนนั้น ๆ ด้วย ซึ่งในแต่ละชุมชนจะมีดนตรี พื้นบ้าน ที่แตกต่างกันไป ความหมายของการแสดงพื้นบ้าน การแสดงพื้นบ้าน เป็นการแสดงที่แสดงออกถึงการสืบทอดทางศิลปะและวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นที่สืบ ทอดกันต่อ ๆ มาอย่างช้านาน ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน การแสดงจะออกมาในรูปแบบใดนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพ ทางภูมิศาสตร์ สิ่งแวดล้อม อาชีพ และความจาเป็นทางเศรษฐกิจ ตลอดจนอุป นิสัยของประชาชนในท้องถิ่น จึงทาให้ การแสดงพื้นเมือง มีลีลาท่าทางที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็มีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกัน คือ เพื่อความสนุกสนานรื่นเริง และพักผ่อนหย่อนใจ การแสดงพื้นบ้าน เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้าค่า ที่บรรพบุรุษไทยได้สั่งสม สร้างสรรค์ และสืบทอดไว้ เป็นเอกลักษณ์ประจาชาติ เพื่อให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้เรียนรู้และรักในคุณค่าในศิลปะไทยในแขนงนี้ เกิดความภาคภูมิใจ ในความเป็นไทย และพร้อมที่จะช่วยสืบทอด จรรโลง และธารงไว้เป็นสมบัติของชาติสืบไป การแสดงพื้นบ้าน เป็นการแสดงเพื่อก่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน และความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ ซึ่งจะมี ลักษณะแตกต่างกันตามสภาพภูมิประเทศ สังคม วัฒนธรรม แต่ละท้องถิ่น ดังนั้นการแบ่งประเภทของการแสดง พื้นเมืองของไทย โดยทั่วไปจะแบ่งตามส่วนภูมิภาค ดังนี้ หลักสูตรปริญญาตรี หมวดวิชาศึกษาทั่วไป กลุ่มวิถีสังคม (วิชาเลือก) 0045002 ดนตรีและศิลปะการแสดงอีสาน (Music and Isan Performing Arts) 3 1. การแสดงพื้นบ้านของภาคเหนือ จากสภาพภูมิประเทศที่อุดมไปด้วยป่า มีทรัพยากรมากมาย มีอากาศ หนาวเย็น ประชากรมีอุปนิสัยเยือกเย็น นุ่มนวล งดงาม รวมทั้งกิริยา การพูดจา มีสาเนียงน่าฟัง จึงมีอิทธิพลทาให้ เพลงดนตรีและการแสดง มีท่วงทานองช้า เนิบนาบ นุ่มนวล ตามไปด้วย การแสดงของภาคเหนือเรียกว่า ฟ้อน เช่น ฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน ฟ้อนเงี้ยว ฟ้อนสาวไหม เป็นต้น 2. การแสดงพื้นบ้านของภาคกลาง โดยธรรมชาติภูมิประเทศเป็นที่ราบ เหมาะสาหรับอาชีพทานา ทาไร่ ทา สวน และเป็นศูนย์รวมของศิลปวัฒนธรรม การแสดงจึงออกมาในรูปแบบของขนบธรรมเนียมประเพณี และการ ประกอบอาชีพ เช่น เต้นการาเคียว เพลงเกี่ยวข้าว เพลงเรือ เพลงฉ่อย เพลงอีแซว ลิเก ลาตัด กลองยาว เถิดเทิง เป็น ต้น 3. การแสดงพื้นบ้านของอีสาน ลักษณะพื้นที่โดยทั่วไปของภาคอีสานเป็นที่ราบสูง มีแหล่งน้าจากแม่น้าโขง แบ่งตามลักษณะของสภาพความเป็นอยู่ ภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างกัน ประชาชนมีความเชื่อในทาง ไสยศาสตร์มีพิธีกรรมบูชาภูติ ผี และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การแสดงจึงเกี่ยวข้องกับชีวิตประจาวัน และสะท้อนให้เห็นถึงการ ประกอบอาชีพและความเป็นอยู่ได้เป็นอย่างดี การแสดงของภาคอีสานเรียกว่า เซิ้ง เป็นการแสดงที่ค่อนข้างเร็ว กระฉับกระเฉง สนุกสนาน เช่น เซิ้งกระติบข้าว เซิ้งโปงลาง เซิ้งกระหยัง เซิ้งสวิง เซิ้งดึงครกดึงสาก เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมี ฟ้อนที่เป็นการแสดงคล้ายกับภาคเหนือ เช่น ฟ้อนภูไท (ผู้ไท) เป็นต้น 4. การแสดงพื้นบ้านของใต้ โดยทั่วไปภาคใต้มีอาณาเขตติดกับทะเล และประเทศมาเลเซีย ประชากรจึงมี ชีวิตความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมประเพณีบางส่วนที่คล้ายคลึ งกัน ประชากรมีอุปนิสัยรักพวกพ้อง รักถิ่นที่อยู่อาศัย และศิลปวัฒนธรรมของตนเอง จึงมีความพยายามที่จะช่วยกันอนุรักษ์ไว้จนสืบมาจนถึงทุกวันนี้ การแสดงของภาคใต้มี ลีลาท่าราคล้ายกับการเคลื่อนไหวของร่างกายมากกว่าการฟ้อนรา ซึ่งจะออกมาในลักษณะกระตุ้นอารมณ์ให้มีชีวิตชี วา และสนุกสนาน เช่น โนรา หนังตะลุง รองเง็ง ตารีกีปัส เป็นต้น กล่าวได้ว่าการแสดงพื้นบ้านในแต่ละภาคจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันในเรื่องของมูลเหตุแห่งการแสดง ซึ่ง แบ่งออกได้ดังนี้ 1. แสดงเพื่อเซ่นสรวงหรือบูชาเทพเจ้า เป็นการแสดงเพื่อแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเซ่น บวงสรวงดวงวิญญาณที่ล่วงลับ 2. แสดงเพื่อความสนุกสนานในเทศกาลต่างๆ เป็นการราเพื่อการรื่นเริง ของกลุ่มชนตามหมู่บ้าน ในโอกาสต่างๆ หรือเพื่อเกี้ยวพาราสีกันระหว่าง ชาย – หญิง 3. แสดงเพื่อความเป็นสิริมงคล เป็นการราเพื่อแสดงความยินดีในโอกาสต่างๆ หรือใช้ใ นโอกาส ต้อนรับแขกผู้มาเยือน 4. แสดงเพื่อสื่อถึงเอกลักษณ์ของท้องถิ่นอันเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ และวัฒนธรรมประเพณี เพื่อสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จัก หลักสูตรปริญญาตรี หมวดวิชาศึกษาทั่วไป กลุ่มวิถีสังคม (วิชาเลือก) 0045002 ดนตรีและศิลปะการแสดงอีสาน (Music and Isan Performing Arts) 4 ประเภทของการแสดงพื้นบ้าน 1. การแสดงในเชิงร้องและขับลา การร้องและขับลา เป็นการใช้ภาษาเชิงปฏิภาณไหวพริบอย่างฉับไว แม้บางส่วนบางตอนจะใช้บทที่ท่องไว้ แล้วก็ตาม แต่อาจนาเอามาปรุงถ้อยคาใหม่ได้ นับเป็นการแสดงที่เน้นเฉพาะการขับร้อง อาศัยถ้อยคา ทานอง และ สาเนียงตลอดจนภาษาถิ่น เช่นตัวอย่าง ดังนี้ 1.1 ภาคกลาง เช่น ลาตัด เพลงฉ่อย เพลงอีแซว เพลงพวงมาลัย เพลงเรือ เพลงเหย่อย เพลงช้าเจ้า หงส์ เพลงเกี่ยวข้าว เพลงสงฟาง เพลงชักกระดาน เพลงสงคาลาพวน และเพลงพานฟาง เป็นต้น 1.2 ภาคเหนือ เช่น ซออู้สาว เป็นต้น 1.3 ภาคอีสาน เช่น กลอนลา การสู่ขวัญ การพูดผญา เป็นต้น 1.4 ภาคใต้ เช่น เพลงบอก เป็นต้น 1.5 การแสดงในเชิงเรื่องราว 2. การแสดงในเชิงเรื่องราว รวมทั้งการแสดงขับร้องขับลาที่ขยายออกไปเป็นเรื่องราว จนถึงการแสดงแบบละคร ซึ่งมีการแสดง เช่น ฟ้อนรา ออกท่าทาง และจัดตัวแสดงอย่างละคร มีดนตรีประกอบบ้าง ลักษณะการแสดงอาจจะใช้เรื่องราวจากนิทาน นิยายหรือวรรณกรรมตอนใดตอนหนึ่ง เช่นตัวอย่าง ดังนี้ 2.1 ภาคกลาง เช่น การแหล่ออกตัว เสภารา สวดคฤหัสถ์ ลิเก ละครชาตรี เป็นต้น 2.2 ภาคเหนือ เช่น การแสดงเรื่องน้อยไจยา เป็นต้น 2.3 ภาคอีสาน เช่น หมอลากลอน หมอลาหมู่ เป็นต้น 2.4 ภาคใต้ เช่น โนรา ลิเกป่า เป็นต้น 3. การแสดงในเชิงขบวนแห่ การแสดงในเชิงจัดขบวน มีขึ้นเพื่อแสดงความครึกครื้นสนุกสนานในการเดินทางเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปอีกที่ หนึ่ง จัดเป็นขบวนแห่ซึ่งมีการร้องราทาเพลงและฟ้อนราเข้าขบวนไปด้วยกัน เป็นการแสดงที่มีอยู่ทุกภาค เช่นตัวอย่าง ดังนี้ 3.1 ภาคกลาง เช่น การรากลองยาว แตรวง กระตั้วแทงเสือ เป็นต้น 3.2 ภาคเหนือ เช่น ขบวนฟ้อน กลองสะบัดไชย เป็นต้น 3.3 ภาคอีสาน เช่น การเซิ้งเข้าขบวนบั้งไฟ ขบวนปราสาทผึ้ง ขบวนแห่เทียนเข้าพรรษา เป็นต้น 3.4 ภาคใต้ เช่น แห่หมรับ การส่งตายาย เป็นต้น คุณค่าของการแสดงพื้นบ้าน การแสดงพื้นบ้านของไทย เป็น สิ่งที่แสดงถึงความมีอารยธรรมและความเจริญงอกงามของคนในชาติ ซึ่ง สามารถจาแนกคุณค่าของการแสดงพื้นบ้านเป็นด้านต่างๆ ดังนี้ หลักสูตรปริญญาตรี หมวดวิชาศึกษาทั่วไป กลุ่มวิถีสังคม (วิชาเลือก) 0045002 ดนตรีและศิลปะการแสดงอีสาน (Music and Isan Performing Arts) 5 1. คุณค่าด้านความบันเทิง ความเจริญเป็นจุดมุ่งหมายสาคัญของการแสดงทุกประเภท เพราะการ แสดงพื้นบ้านทาให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินทั้งจากลีลาท่ าทางของผู้แสดง ความวิจิตรงดงามของ เครื่องแต่งกาย ความงามสวยงามของฉาก 2. คุณค่าด้านศิลปวัฒนธรรม การแสดงพื้นบ้านเป็นศูนย์รวมของงามศิลป์หลากหลายสาขา เช่น ดุ ริยางคศิลป์ นาฏศิลป์ วรรณศิลป์ มัณฑนศิลป์ วิจิตรศิลป์ และขนบธรรมเนียมประเพณีอันงดงามของท้องถิ่น 3. คุณค่าด้านจริยธรรม เนื้อเรื่องของการแสดงส่วนใหญ่จะสะท้อน คติธรรมค่านิยมทางพุทธศาสนา การทาดีได้ดี ทาชั่วได้ชั่ว เสริมสร้างคุณธรรม และจริยธรรม 4. คุ ณ ค่ า ด้ า นความคิ ด การแสดง และการละเล่ น พื้ น บ้ า นหลายประเภท เป็ น การแสดง ความสามารถด้านคิดสร้างสรรค์ สร้างจินตนาการ สอดแทรกคติสอนใจ และแนวคิดที่เป็นประโยชน์ 5. คุณค่าด้านการศึกษา การแสดงพื้นบ้านของภาคต่างๆ ก่อให้ประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้า ทั้ง ในด้านประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ สังคม ขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรม และความเชื่อของ ผู้คนในแต่ละท้องถิ่น ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการแสดงพื้นบ้านของท้องถิ่นต่างๆ ทั่วทุกภาคในประเทศไทย เพื่อเป็นหลักฐานในการอนุรักษ์ และสืบทอดการแสดงพื้นบ้านของไทยไว้เป็นมรดกประจาท้องถิ่น และประจาชาติ สืบไป นอกจากนี้ได้มีการดัดแปลง และสร้างสรรค์การแสดงพื้นบ้านขึ้น มาใหม่เพื่อให้มีความเหมาะสม ทั้งลีลาท่ารา และการแต่งกายเพื่อให้สวยงามและสอดคล้องกับยุคสมัย ซึ่งได้แสดงให้เห็นต่อไป การอนุรักษ์การแสดงพื้นบ้าน การอนุรักษ์การแสดงพื้นบ้านไทยให้ดารงอยู่สืบไปจาเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากคนไทยทุกคน ซึ่งมีหลาย วิธีการด้วยกัน ดังนี้ 1. การรวบรวมข้อมูลการแสดงพื้นบ้านต่างๆ ทั้ง จากคนในท้องถิ่น และเอกสารที่ได้มีการบันทึกไว้ เพื่อนามาศึกษา วิจัยให้เข้าใจถึงแก่นแท้ เอกลักษณ์ และคุณประโยชน์ของการแสดงนั้นๆ ซึ่งจะช่วยให้คนรุ่น ใหม่เกิดการยอมรับ และนาไปปรับใช้กับชีวิตยุคปัจจุบันได้ 2. ส่งเสริมให้เห็นคุณค่าของการแสดงพื้นบ้านไทย โดยเฉพาะการแสดงในท้องถิ่น ให้คนในท้องถิ่น ตระหนักถึงเอกลักษณ์ของการแสดงพื้นบ้าน 3. การรณรงค์เพื่อปลูกฝังจิตสานึกความรับผิดชอบในการอนุรักษ์การแสดงพื้นบ้านให้กับคนไทยทุก คน เพื่อให้ตระหนักถึงความสาคัญของการแสดงพื้นบ้านว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน รวมทั้ง ภาคเอกชนต้องร่วมกันในการส่งเสริมสนับสนุน ประสานงานการบริการความรู้ วิชาการ และทุนทรัพย์ สาหรับจัดกิจกรรมทางการแสดงพื้นบ้านให้กับชุมชน 4. สร้า งศูน ย์ กลางในเผยแพร่ประชา สั ม พั น ธ์ ผ ลงานทางด้ านวัฒ นธรรม ด้ ว ยระบบเครือข่า ย สารสนเทศ เช่นเว็บไซต์ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว และสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม กับการดาเนินชีวิตได้ง่าย อย่างไรก็ดีสื่อมวลชนควรมีบทบาทในการส่งเสริม และสนับสนุนงานด้านการแสดง พื้นบ้านมากยิ่งขึ้นด้วย หลักสูตรปริญญาตรี หมวดวิชาศึกษาทั่วไป กลุ่มวิถีสังคม (วิชาเลือก) 0045002 ดนตรีและศิลปะการแสดงอีสาน (Music and Isan Performing Arts) 6 ดนตรีและการแสดงพื้นบ้านภาคกลาง ภาคกลางได้ชื่อว่าอู่ข้าวอู่น้าของไทย มีภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่ม มีแม่น้าหลายสาย เหมาะแก่การกสิกรรม ทานา ทาสวน ผู้คนมีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย จึงมีเวลาที่จะคิดประดิษฐ์ หรือสร้างสรรค์สิ่งที่สวยงามได้มาก และมีการ เล่นรื่นเริงในโอกาสต่างๆ มากมาย ทั้งตามฤดูกาล ตามเทศกาลและตามโอกาสที่มีงานรื่นเริงภาคกลางเป็นที่รวมของ ศิ ล ปวั ฒ นธรรม การแสดงจึ ง มี การถ่า ยทอดสื บ ต่ อกัน และพัฒ นาดั ด แปลงขึ้น เรื่อยๆและออกมาในรูป แบบของ ขนบธรรมเนียมประเพณี และการประกอบอาชีพ เช่น เต้นการาเคียว เพลงเกี่ยวข้าว เพลงเรือ เพลงฉ่อย เพลง อีแซว ลิเก ลาตัด กลองยาว เถิดเทิง เป็นต้น บางอย่างกลายเป็นการแสดงนาฏศิลป์แบบฉบับไปก็มี เช่น ราวง และเนื่องจาก เป็นที่รวมของศิลปะนี้เอง ทาให้คนภาคกลางรับการแสดงของท้องถิ่น ใกล้เคียงเข้าไว้หมด แล้วปรุงแต่งตามเอกลักษณ์ ของภาคกลาง คือการร่ายราที่ใช้มือ แขนและลาตัว เช่น โขน ละครชาตรี ละครนอก ละครใน ลิเก หุ่น หนังใหญ่ เป็น ต้น ภาพประกอบ 1 เต้นการาเคียว เป็นการแสดงพื้นเมืองที่เก่าแก่ของชาวชนบทในภาคกลาง แถบจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งชาวชนบทส่วนมากมี อาชีพการทานาเป็นหลัก และด้วยนิสัยรักสนุกกับการเป็นเจ้าบทเจ้ากลอน จึงได้เกิดการเต้นการาเคียวขึ้น ในเนื้อเพลง จะสะท้อนให้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ลักษณะการรา จะเน้นความสนุก เป็นใหญ่ มีทั้งเต้นและราควบคู่กัน ไป ในมือของผู้ราข้างหนึ่งจะถือเคียว อีกข้างหนึ่งถือข้าวที่เกี่ยวแล้ววิธีเล่น จะมีผู้เล่นประมาณ 5 คู่ แบ่งผู้เล่นเป็นสอง ฝ่าย ฝ่ายชายเรียกว่า พ่อเพลง ฝ่ายหญิงเรียกว่าแม่เพลง เริ่มด้วยพ่อเพลงร้องชักชวนแม่เพลงให้ออกมา เต้นการา เคียว โดยร้องเพลงและเต้นออกไปราล่ อฝ่ายหญิงและแม่ เพลงก็ร้องและ ราแก้กันไป ซึ่งพ่อเพลงแม่เพลงนี้ อาจ เปลี่ยนไปหลาย ๆ คน ช่วยกันร้องจนจบเพลง ผู้ที่ไม่ได้เป็นพ่อเพลงแม่เพลงก็ จะเป็นลูกคู่ ปรบมือและร้องเฮ้ เฮ้วให้ จังหวะเมื่อ พ.ศ. 2504 ศิลปินของกรมศิลปากรได้ไปฝึกหัดการเล่นเต้นการาเคียวจากชาวบ้านตาบลย่านมัทรี อาเภอ พยุหคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ต่อมากรมศิลปากรได้ปรับปรุงการเล่นเพื่อให้เหมาะกับการนาออกแสดงในงานบันเทิง โดย ให้ นายมนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญนาฏดุริยางค์ไทย กรมศิลปากร และศิลปินแห่งชาติแต่งทานองเพลงประกอบการ แสดงตอนเริ่มต้นก่อนร้องบทโต้ตอบและตอนจบบทร้องผู้แสดงทั้งชายและหญิงมือขวาถือเคียว มือซ้ายถือการวงข้าว ทาท่าตามกระบวนเพลงร้องเย้าหยอกเกี้ยวพาราสีกัน บทร้องมีอยู่ 11 บท คือ บทมา ไป เดิน รา ร่อน บิน ยัก ย่อง ย่าง แถ ถอง และเพลงในกระบวนนี้ผู้เล่นอาจด้นกลอนพลิกแพลงบทร้องสลับรับกันด้วยความสนุกสนาน บางครั้ง ใน หลักสูตรปริญญาตรี หมวดวิชาศึกษาทั่วไป กลุ่มวิถีสังคม (วิชาเลือก) 0045002 ดนตรีและศิลปะการแสดงอีสาน (Music and Isan Performing Arts) 7 การแสดงอาจตัดบทร้องบางบทเพื่อความกระชับ ใช้วงปี่พาทย์บรรเลงเพลงนาและตอนจบผู้แสดงแต่งกายพื้นบ้าน ภาคกลาง ชาวนาชาย นุ่งกางเกงขายาว เสื้อคอกลมผ่าอกแขนสั้นเหนือศอก สีน้าเงินคราม ผ้าขาวม้าคาดเอว สวม หมวกปีก ชาวนาหญิง นุ่งผ้าพื้นดา โจงกระเบน เสื้อคอกลมผ่าอกแขนยาวสีน้าเงินหรือต่างสี สวมงอบ การแสดงชุดนี้ สามารถแสดงได้โดยไม่จากัดเวลาตัวอย่างเพลงที่ใช้ร้อง ราเหย่อย เป็นการละเล่นพื้นเมืองอย่างหนึ่งของไทยที่นิยมเล่นกันในบางหมู่บ้าน บางท้องถิ่นของภาคกลาง นอกตัวจังหวัดเท่านั้น ไม่สู้จะแพร่หลายนัก การละเล่นประเภทนี้ดูแทบจะสูญหายไป กรมศิลปากรได้พิจารณาเห็นว่า การเล่นราเหย่อยมีแบบแผนการเล่นที่น่าดูมาก ควรรักษาให้ดารงอยู่และแพร่หลายยิ่งขึ้น จึงได้จัดส่ง คณะนาฏศิลป์ ของกรมศิลปากรไปรับการฝึกหัดและถ่ายทอดการละเล่นเพลงเหย่อยไว้จากชาวบ้านที่หมู่บ้านเก่า ตาบลจระเข้เผือก อาเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อเดือนมิถุนายน 2506 แล้วนาออกแสดงเป็นครั้งแรกในโอกาสที่รัฐบาลจัดการแสดง ถวายสมเด็จพระรามาธิบดีแห่งมาเลเซีย ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2507 คา ร้องแต่งขึ้นตามแบบแผนของการราเหย่อยใช้ถ่อยคาพื้น ๆ ร้องโต้ตอบกันด้วยกลอนสด เป็นการร้องเกี้ยวกันระหว่าง ชายหญิงมุ่งความสนุกเป็นส่วนใหญ่ราเหย่อยนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “พาดผ้า” ภาพประกอบ 2 ราเหย่อย เครื่องดนตรีภาคกลาง ซอสามสาย เป็นซอ ที่มีรูปร่างงดงามที่สุด ซึ่งมีใช้ใน วงดนตรีไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย (พ.ศ. 1350) แล้ว ซอสามสายขึ้นเสียง ระหว่างสายเป็นคู่สี่ใช้บรรเลงในพระราชพิธี อันเนื่องด้วยองค์พระมหากษัตริย์ ภายหลังจึง บรรเลงประสมเป็นวงมโหรี ซอด้วง เป็นเครื่องสายชนิดหนึ่ง บรรเลงโดยการใช้คันชักสี กล่องเสียง ทา ด้วยไม้เนื้อแข็ง ขึงหน้าด้วยหนังงู มีช่อง เสียงอยู่ด้านตรงข้าม คันทวนทาด้วยไม้เนื้อ แข็ง ยาวประมาณ 60 เซนติเมตร มีลูกบิดขึ้นสาย อยู่ตอนบน ซอ ด้วงใช้สายไหมฟั่นหรือสาย เอ็น มี 2 สาย ขนาดต่างกัน คันชักอยู่ระหว่าง สาย ยาวประมาณ 50 เซนติเมตร ซอด้วงมี เสียงแหลม ใช้ เป็นเครื่องดนตรีหลักในวงเครื่องสาย ซออู้ เป็นเครื่องสายใช้สี กล่องเสียงทาด้วยกะโหลกมะพร้าว ขึ้นหน้าด้วยหนังวัว มีช่องเสียงอยู่ด้านตรง ข้าม คันทวนทาด้วยไม้เนื้อแข็ง ตอนบนมี ลูกบิดสาหรับขึงสาย สายซอทาด้วยไหมฟั่น มีคันชักอยู่ระหว่างสาย ความยาว หลักสูตรปริญญาตรี หมวดวิชาศึกษาทั่วไป กลุ่มวิถีสังคม (วิชาเลือก) 0045002 ดนตรีและศิลปะการแสดงอีสาน (Music and Isan Performing Arts) 8 ของคันซอ ประมาณ 60 เซนติเมตร คันชักประมาณ 50 เซนติเมตร ซอ อู้มีเสียงทุ้มต่า บรรเลงคู่และสอดสลับกับ ซอ ด้วงในวงเครื่องสาย จะเข้ เป็นเครื่องสาย ที่ใช้บรรเลงด้วยการดีด โดยปกติมีขนาดความ สูงประมาณ 20 เซนติเมตร และยาว 140 เซนติเมตร ตัว จะเข้ทาด้วยไม้เนื้ออ่อน ขุดเป็นโพรง มีสาย 3 สาย สายที่ 1-2 ทาด้วยไหมฟั่น สาย ที่ 3 ทาด้วย ทองเหลือง วิธีการบรรเลงมือซ้าย จะทาหน้าที่กดสายให้เกิดเสียงสูง- ต่า ส่วนมือขวาจะดีดที่สายด้วยวัตถุที่ ทาจากงา สัตว์ ขลุ่ย ของไทยเป็นขลุ่ย ในตระกูลรีคอร์ดเดอร์ คือ มีที่บังคับแบ่งกระแส ลม ทาให้เกิดเสียงในตัวไม่ใช่ขลุ่ยผิว ตระกูลฟลุตแบบจีน ขลุ่ยไทยมีหลายขนาด ได้แก่ ขลุ่ยอู้ มีเสียงต่าที่สุด ระดับกลาง คือ ขลุ่ย เพียงออ เสียงสูง ได้แก่ ขลุ่ยหลีบ และยังที่มี เสียงสูงกว่านี้คือ ขลุ่ยกรวดหรือขลุ่ยหลีบกรวด อีกด้วย ขลุ่ยเป็นเครื่องดนตรีในวงเครื่องสายและ วงมโหรี ปี่ เป็นเครื่องเป่าที่มีลิ้น ทาด้วยใบตาล เป็นเครื่องกาเนิดเสียง เป็นประเภทลิ้นคู่ (หรือ 4 ลิ้น) เช่นเดียวกับโอ โบ (Oboe) มีหลายชนิดคือ ปี่นอก ปี่ใน ปี่ กลาง ปี่มอญ ปี่ไทยที่เด่นที่สุด คือ ปี่ ในตระกูลปี่ใน ซึ่งมีรูปิดเปิดบังคับลม เพียง 6 รู แต่สามารถบรรเลงได้ถึง 22 เสียง และ สามารถเป่าเลียนเสียงคนพูดได้ชัดเจนอีกด้วย ระนาดเอก เป็นระนาดเสียงแหลมสูง ประกอบ ด้วยลูกระนาดที่ทาด้วยไม้ไผ่บงหรือไม้ เนื้อแข็ง เช่น ไม้ชิงชัน 21-22 ลูก ร้อยเข้า ด้วยกันเป็นผืนระนาด และแขวนหัวท้ายทั้ง 2 ไว้บนกล่องเสียงที่เรียกว่า รางระนาด ซึ่งมี รูปร่าง คล้ายเรือ ระนาดเอกทาหน้าที่นาวง ดนตรีด้วยเทคนิคการบรรเลงที่ประณีตพิศดาร มักบรรเลง 2 แบบ คือ ตีด้วยไม้ แข็ง เรียกว่า ปี่พาทย์ไม้แข็ง และตีด้วยไม้นวม เรียกปี่พาทย์ไม้นวม ระนาดเอกเรียงเสียงต่าไปหาสูงจาก ซ้ายไปขวา และเทียบเสียงโดยวิธีใช้ชันโรงผสม ผงตะกั่วติดไว้ด้านล่างทั้งหัวและท้ายของ ลูกระนาด ระนาดทุ้ม ทาด้วยไม้ไผ่ หรือไม้เนื้อแข็งมีผืนละ 18 ลูก มีรูป ร่างคล้ายระนาดเอกแต่เตี้ยกว่าและกว้างกว่า เล็ก น้อย ระนาดทุ้มใช้บรรเลงหยอกล้อกับระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ เป็นหลักของวงปี่ พาทย์ และวงมโหรีใช้บรรเลงทานองหลัก มีลูกฆ้อง 16 ลูก ประกอบด้วยส่วน สาคัญ 2 ส่วน คือ ลูก ฆ้อง : เป็นส่วนกาเนิดเสียงทาด้วยโลหะผสม มี ลักษณะคล้ายถ้วยกลมๆ ใหญ่เล็กเรียงตามลาดับ เสียง ต่าสูง ด้านบนมีตุ่มนูนขึ้นมาใช้สาหรับ ตีและใต้ตุ่มอุดไว้ด้วยตะกั่วผสมชันโรง เพื่อ ถ่วงเสียงให้สูงต่าตามต้องการ เรือนฆ้อง : ทาด้วยหวายขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว เศษ ขดเป็นวง และยึดไว้ด้วยไม้เนื้อแข็ง กลึงเป็น ลวดลายคล้ายลูกกรง และมีไม้ไผ่ เหลาเป็นซี่ ๆ ค้ายันให้ฆ้องคงตัวเป็น โครงสร้างอยู่ได้ การผูกลูกฆ้องแขวนเข้ากับ เรือนฆ้อง ผูกด้วยเชือกหนังโดยใช้เงื่อนพิเศษ ฆ้องวงเล็ก มีขนาดเล็กกว่า แต่ เสียงสูงกว่าฆ้องวงใหญ่มีวิธีตีเช่นเดียว กับฆ้องวงใหญ่ แต่ดาเนินทานองเป็น ทางเก็บหรือ ทางอื่นแล้วแต่กรณี บรรเลงทานองแปรจากฆ้องวง ใหญ่ ฆ้องวงเล็กมี 18 ลูก โทน : รูปร่างคล้ายกลองยาวขนาดเล็ก ทาด้วยไม้ หรือดินเผา ขึงด้วยหนังดึงให้ตึงด้วยเชือก หนัง ตัวกลอง ยาวประมาณ 34 เซนติเมตร ตรงกลางคอด ด้านตรงข้ามหน้ากลองคล้ายทรงกระบอกปากบานแบบ ลาโพง ตรงเอว คอดประมาณ 12 เซนติเมตร ใช้ตีคู่ กับรามะนา รามะนา : เป็นกลองทาด้วยไม้ขึง หนังหน้าเดียวมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 22 เซนติเมตร ใช้ในวงเครื่องสาย หลักสูตรปริญญาตรี หมวดวิชาศึกษาทั่วไป กลุ่มวิถีสังคม (วิชาเลือก) 0045002 ดนตรีและศิลปะการแสดงอีสาน (Music and Isan Performing Arts) 9 กลองแขก เป็น กลองที่ตีหน้าทับได้ทั้งในวงปี่พาทย์ มโหรีและบางกรณีวงเครื่องสายก็ได้ ตีด้วย มือทั้ง 2 หน้า คู่หนึ่งประกอบด้วยตัวผู้ ( เสียงสูง) และตัวเมีย (เสียงต่า) กลองสองหน้า เป็นชื่อของกลองชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเหมือนกลองลูกหนึ่งในเปิงมางคอกขึง ด้วยหนังเลีย ดรอบตัว ใช้ในวงปี่พาทย์ หรือมโหรีบางกรณี ดนตรีและการแสดงพื้นบ้านภาคเหนือ อาณาบริเวณทางภาคเหนือของไทย ที่เรียกว่า “ล้านนา”นั้น ประกอบด้วยจังหวัดต่าง ๆ 8 จังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย ลาปาง พะเยา แพร่ น่านและแม่ฮ่องสอน เคยมีประวัติอันซับซ้อนและยาวนานเทียบได้กับสมัย สุโขทัย เคยมีกษัตริย์ปกครองสืบต่ อกัน มาจนถึงสมัยต้น รัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬ าโลก มหาราช โปรดเกล้าฯ ให้พระยากาวิละ ซึ่งเป็นผู้ครองเมืองลาปางขึ้นไปปกครองเชียงใหม่ อันถือว่าเป็นศูนย์กลางทั้ง ด้านปกครอง การเศรษฐกิจ และวัฒนธรรม การแสดงพื้นบ้านของภาคเหนือมีความเด่นอยู่ในรูปแบบที่เป็นตัวของ ตัวเองอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าเคยอยู่ในอานาจของรัฐอื่น ๆ มาบางระยะบ้าง ก็มิได้ทาให้รูปแบบของการแสดงต่าง ๆ เหล่านั้นเสื่อมคลายลง ส่วนที่ได้รับอิทธิพลก็มีอยู่บ้าง แต่ก็ได้รับการประยุกต์ให้เขารูปแบบของล้านนาดั้งเดิมอย่างน่า ชมเชยมาก แสดงว่าสามารถรักษาเอกลักษณ์ไว้ได้อย่างสมบูรณ์ การฟ้อนรา ศิลปะแห่งการฟ้อนราของไทยภาคเหนือ มีแบบอย่างดั้งเดิมที่รักษากันไว้แบบหนึ่ง กับ แบบอย่างที่ปรับปรุง ขึ้นใหม่ ตลอดจนแบบอย่างสร้างขึ้นแต่มีพื้นฐานดั้งเดิมอยู่ในตัว ซึ่งถ้าจะแยก ให้ชัดเจนก็จะได้ดังนี้ การฟ้อนราแบบดั้งเดิม แบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 3 ประเภท คือ ฟ้อนเมือง ฟ้อนม่าน และฟ้อนเงี้ยว ดังต่อไปนี้ 1. ฟ้อนเมือง หมายถึงการฟ้อนราแบบพื้นเมือง เป็นการฟ้อนราที่มีแบบอย่างถ่ายทอดสืบ ต่อกันมานานอัน ประกอบด้วยการฟ้อนรา ดนตรี และการขับร้อง ซึ่งฟ้อนบางอย่างก็มีแต่ดนตรีกับฟ้อนแต่ไม่มีการขับร้องอาจจาแนก ได้หลายชนิด ฟ้อนเล็บแบบดั้งเดิม ผู้แสดงเป็นหญิงทั้งหมด ใช้ดนตรีประกอบคือ วงติ่งโนง ประกอบด้วย กลองแอว (กลองติ่งโนง) หรือกลองหลวง กลองตะโล้ดโป้ด ปี่แนน้อย ปี่แนหลวง ฉาบ ฆ้อง ฟ้อนเล็บนี้ภายหลังได้รับ การปรับปรุงใหม่ ทาให้ลีลาการฟ้อนราแตกต่างออกไปจากเดิมบ้าง ฟ้อนดาบ มีกระบวนท่ารา 32 ท่านับเป็นแบบของล้านนาโดยเฉพาะ ผู้แสดงเป็นผู้ชายหรือ ผู้หญิงก็ได้ ใช้วงปูเจ่เป็นวงดนตรีประกอบ มีกลองปูเจ่หรือกลองกันยาว ฉาบ ฆ้องชุด (3 หรือ 7 ลูก) เป็นการราดาบที่ สวยงามมาก ฟ้อนเจิง เป็นการฟ้อนด้วยมือเปล่า ใช้ดนตรีเช่นเดียวกับฟ้อนดาบ ผู้แสดงเป็นผู้ชายมีท่าต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า 30 ท่า ซึ่งมีการถ่ายทอดสืบต่อกันมาตลอด และยังรักษาแบบอย่างอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน ฟ้อนผีมด เป็นลักษณะการร่ายราของคนเข้าทรง เช่นเดียวกับการทรงหรือเข้าแม่ศรีของภาค หลักสูตรปริญญาตรี หมวดวิชาศึกษาทั่วไป กลุ่มวิถีสังคม (วิชาเลือก) 0045002 ดนตรีและศิลปะการแสดงอีสาน (Music and Isan Performing Arts) 10 กลางใช้วงดนตรีป๊าด คือ วงปี่พาทย์นั่นเอง แต่ใช้เพลงที่ออกทานองมอญหรือพม่า เป็นการฟ้อนร่วมกันระหว่างผู้ชาย กับผู้หญิง สาหรับพิธีการต่าง ๆ ฟ้อนแง้น เป็นที่นิยมอยู่ในแถบจังหวัดแพร่ น่าน เชียงราย พะเยา ประกอบการบรรเลงดนตรี สะล้อซึงและปี่ เมื่อซอสิ้นคาลงและปี่เป่ารับตอนท้ายก็ฟ้อนรา ฟ้อนได้ทั้งหญิงและชาย ฯลฯ 2. ฟ้อนม่าน หมายถึงการฟ้อนราตามแบบอย่างของพม่าหรือมอญ คงจะเป็นด้วยเมื่อครั้งเชียงใหม่เป็น เมืองขึ้นของพม่า จึงมีการถ่ายทอดแบบอย่างการฟ้อนรา ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายแบบ ราม่านหรือฟ้อนพม่า เป็นการราตามแบบแผนของพม่า โดยการยกแขยแอ่นตัวยืดขึ้นสูง แล้วทิ้งตัวลงต่าทันที จึงดูคล้ายการเต้นช้า ๆ แต่อ่อนช้อย มีทั้งที่ราเดี่ยวและราหมู่ ตลอดจนราเป็นคู่หญิงชาย แต่ ค่อนข้างหาดูได้ยาก ทั้งท่าราก็ไม่ค่อยมีแบบแผนมากนัก ดนตรีประกอบใช้ดนตรีพื้นเมืองที่ออกสาเนียงพม่าหรือมอญ ฟ้อนผีเม็ง เป็นการฟ้อนราโดยการเข้าทรงเช่นเดียวกับฟ้อนผีมด นิยมเล่นในงานสงกรานต์ ตามแบบแผนของชาวรามัญ (มอญ) ซึ่ งเคยอาศัยอยู่ในดินแดนล้านนาส่วนหนึ่งหลังจากอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิ สมภารและพม่าเคยกวาดต้อนเอาเข้ามาอยู่ตามหัวเมืองเหนือ ในการฟ้อนนี้จะตั้งเตาไฟและหม้อดินบรรจุปลาร้าไว้ ตรงหน้าโรงพิธีซึ่งปลูกแบบเพิงง่าย ๆ การฟ้อนเริ่มด้วยการที่ผู้เข้าผีเริ่มขยับร่างกาย 3. ฟ้อนเงี้ยว ความจริงแล้ว ฟ้อนเงี้ยวเป็นการฟ้อนตามแบบแผนของชาวไตหรือไทยใหญ่ การฟ้อนของชาว ไตมีหลายแบบ ส่วนใหญ่แล้วมักใช้กลองก้นยาว ฉาบ และฆ้อง เท่านั้น มีอยู่บ้างที่ใช้ดนตรีอื่น คือ ฟ้อนไต ฟ้อนเงี้ยวแบบดั้งเดิม เป็นการฟ้อนราของผู้ชายฝ่ายเดียว ไม่มีผู้หญิงปนเหมือนที่มีการ ประยุกต์ขึ้นใหม่ ตามแบบดั้งเดิมนั้นไม่กาหนดท่าราที่แน่นอน แต่จะออกท่ารา ต่าง ๆ ผสมการตลกคะนองไปด้วยใน ตัว ไม่ลง “มง แซะ มง …” แต่จะออกทานองกลองก้นยาว คือ “บอง บอง บอง เบอง เทิ่ง บอง” การแต่งกายก็แต่ง แบบชาวไตมีการพันศรีษะด้วยผ้าขาวม้า ฟ้อนกินราหรือกิงกะหลา แบบเดิมเป็นอย่างไรไม่อาจระบุชัดได้ เพราะมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงออกไปต่าง ๆ แม้การแต่งกายก็เช่นเดียวกัน เดิมนั้นเป็นการราเลียนแบบนก มีการราคู่กัน เกี้ยวพาราสี กัน หรือหยอกล้อเล่นหัวกัน ดนตรีที่ใช้ประกอบการราก็คือกลองก้นยาว ฉาบ ฆ้อง ไม่มีการร้อง ฟ้อนกาเปอหรือกาเบ้อ กาเบ้อคงแต่งกายด้วยปีกหางอย่างนกหรือผีเสื้อ มีสีต่าง ๆ สวยงาม แต่ถ้าเป็นการแสดงทั่วไปก็ไม่มีการแต่งกายอย่างนั้น เพียงแต่แบบแผนท่าราค่อนข้างไปทางธรรมชาติมากเท่านั้น ดังนั้นชาวบ้านก็อาจฟ้อนราได้ ฟ้อนโต เป็นการฟ้อนในรูปของสัตย์ เช่น มังกร กิเลน หรือสิงโต แต่งกายตามแบบของสัตว์ นั้น ๆ บางแห่งเป็นกวางหรือฟาน มีการเต้นตามจังหวะดนตรี กลิ้งตัวไปมา หรือเดินอวดร่างกาย อาจมีหลายคน หรือ เป็นคู่ หรือแสดงเดี่ยว ทาให้นึกถึงการแสดงของจีนที่ทาเป็นร่างของสิงโต ใช้คนแสดง ๒ คน เป็นขาคู่หน้า 1 คน เป็น ขาคู่หลัง 1 คน ต้องเต้นให้รู้ท่าทางจังหวะกันอย่างคล่องแคล่ว ฟ้อนดาบ แตกต่างไปจากฟ้อนดาบแบบล้านนา เพราะมีความรวดเร็ว คล่องตัวมากกว่า เกือบจะไม่ห่วงเรื่องจังหวะดนตรีเลย กลายเป็นว่าดนตรีต้องช้าเร็ว ตามผู้ฟ้อนรา ดาบที่ใช้รานั้นยาวมาก แต่เมื่อฟาด เข้าหาตัวแล้ว การงอตัวหลบปลายดาบเป็นที่น่าหวาดเสียวมาก ท่าราเป็นท่าตามแบบแผนดั้งเดิมไม่มีการปรับปรุง แก้ไขแต่อย่างใด หลักสูตรปริญญาตรี หมวดวิชาศึกษาทั่วไป กลุ่มวิถีสังคม (วิชาเลือก) 0045002 ดนตรีและศิลปะการแสดงอีสาน (Music and Isan Performing Arts) 11 ฟ้อนไต เป็นการฟ้อนราที่ไม่จากัดจานวนคน อาจออกเป็นขบวนยาวได้ มีลีลาการราที่ช้า คล้ายฟ้อนพื้นเมืองของล้านนา เนื่องจากเนื้อแท้การฟ้อนนี้ เป็นการฟ้อนเพื่อความสามัคคี จึงได้รับความสนใจมากจน กาลังจะได้รับการพัฒนาขึ้นในรูปของการราแบบใหม่ นอกจากการฟ้อนราดังกล่าวมาแล้ว ยังมีการเล่นอื่น ๆ อีกหลายชนิด เช่น มองเซิง เป็นการเล่นแบบร้อง โต้ตอบกันระหว่างหญิงกับชาย มีการบรรเลงเพลงพื้นบ้าน โดยวงดนตรีพื้นเมือง ซึ่งใช้เพลงชื่อ “หม่องส่วยยี” เป็น เพลงที่มีทานองพม่า และมีการเสนอแนะใหม่โดยผู้มีอานายการวิทยาลัยนาฏศิลป์ นายธีรยุทธ ยวงศรี เพชรน้าเอก ของวงการนาฏศิลป์ โดยให้ใช้เพลงทานองปานแซง ซึ่งเป็นเพลงไทยใหญ่แทน การเล่นอื่น ๆ เช่น “เฮ็ดความ” หมายความว่า การนั่งร้องเนื้อความที่โต้ตอบกัน เพียงแต่นั่งร้องอย่างเดียว ส่วนการเล่น “จ๊าดไต” เป็นการแสดงแบบลิเก คล้ายละครซอผสมกับลิเกทางภาคกลาง ซึ่งทาให้การแสดงต่าง ๆ เป็นไปตามแบบอย่างที่เคยมีมาแต่สมัยก่อน ๆ อย่างสมบูรณ์มากขึ้น การฟ้อนราแบบปรับปรุงใหม่ คงจะไม่มีอะไรมากไปกว่าการกล่าวถึงประวัติของการพัฒนา ซึ่งกล่าวได้ว่า พระราชายาดารารัศมีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงนาเอาท่วงที ลีลาแห่งการฟ้อนราจากราช สานักสยามขึ้นไปเผยแพร่ เป็นการจัดระเบียบและวางแบบแผนให้ถูกต้องตามหลักการแห่งนาฏศาสตร์ยิ่งขึ้น มีการ ฟ้อนต่าง ๆ ที่ใช้ลีลาที่งดงามยิ่งขึ้น แม้ว่าจะแปลกออกไปจากของดั้งเดิม แต่ก็เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า แบบใดเป็นของ ล้านนามาแต่ดั้งเดิม และแบบใดเป็นของที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ ดังต่อไปนี้ ภาพประกอบ 3 การฟ้อนเล็บ ฟ้อนเล็บ แม้เป็นการฟ้อนตามแบบดั้งเดิมก็ตาม แต่กาหนดการแต่งกาย การประดับดอกไม้บนเรือนผมของผู้ ฟ้อนราซึ่งแตกต่างออกไปจากเดิมบ้าง ท่วงทีลีลาในการฟ้อนราก็เชื่องช้า แสดงให้เห็นแบบอย่างของราชสานักแห่ง ภาคกลาง และยังคงใช้วงดนตรีติ่งโนงอย่างเดิม ซึ่งได้มีการแสดง อย่างมโหฬารในคราวรับเสด็จพระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในคราวเสด็จพระราชดาเนินเลียบมณฑลพายัพ และในการสมโภชช้างเผือ กสมัยรัชกาลที่ 7 เมื่อ พ.ศ. 2570 มีการฟ้อนเล็บในกรุงเทพฯ ทาให้เกิดความชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่นั้นมาก็เป็นที่เลื่องลือกันทั่วไปถึง การฟ้อนเล็บของเมืองเหนือ หลักสูตรปริญญาตรี หมวดวิชาศึกษาทั่วไป กลุ่มวิถีสังคม (วิชาเลือก) 0045002 ดนตรีและศิลปะการแสดงอีสาน (Music and Isan Performing Arts) 12 ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา เป็นการประดิษฐ์ขึ้นจากฟ้อนกาเปอ แล้วใช้ปี่พาทย์เป็นดนตรีประกอบการฟ้อนรามีอยู่ 2 แบบ คือ แบบหนึ่งผู้ฟ้อนราเป็นหญิงล้วน อีกแบบหนึ่งผู้ฟ้อนราผสมกันระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย ได้จัดแสดงครั้งแรก เมื่อขึ้นตาหนักใหม่บนดอยสุเทพ ภาพประกอบ 4 ฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา เครื่องดนตรีภาคเหนือ สะล้ อ เป็ น เครื่ อ งสายบรรเลงด้ ว ยการสี ใช้ คั น ชั ก อิ ส ระ ตั ว สะล้ อ ที่ เ ป็ น แหล่ ง ก าเนิ ด เสี ย ง ท าด้ ว ย กะลามะพร้าว ตัดและปิดหน้าด้วยไม้บาง ๆ มีช่องเสียงอยู่ด้านหลัง คันสะล้อทาด้วย ไม้สักหรือไม้เนื้อแข็งอื่น ๆ โดย ปกติจะ ยาวประมาณ 60 เซนติเมตร ลูกบิดอยู่ด้านหน้านิยม ทาเป็นสองสาย แต่ที่ทาเป็นสามสายก็ มีสาย ทาด้วย ลวด (เดิมใช้สายไหมฟั่น ) สะล้อมี 3 ขนาด คือ สะล้อเล็กสะล้อกลาง และสะล้อใหญ่ 3 สาย ซึง เป็นเครื่องสายชนิดหนึ่งใช้บรรเลงด้วยการดีด ทา ด้วยไม้สักหรือไม้เนื้อแข็ง มีช่องเสียงอยู่ด้านหน้า กาหนดระดับเสียงด้วยนมเป็นระยะ ๆ ดีด ด้วยเขาสัตว์บาง ๆ มีสายทาด้วยโลหะ เช่น ลวดหรือทองเหลือง (เดิมใช้ สายไหมฟั่น) 2 สาย ขลุ่ย ของไทยเป็นขลุ่ย ในตระกูลรีคอร์ดเดอร์ คือ มีที่บังคับแบ่งกระแส ลม ทาให้เกิดเสียงในตัวไม่ใช่ขลุ่ยผิว ตระกูลฟลุตแบบจีน ขลุ่ยไทยมีหลายขนาด ได้แก่ ขลุ่ยอู้ มีเสียงต่าที่สุด ระดับกลาง คือ ขลุ่ย เพียงออ เสียงสูง ได้แก่ ขลุ่ยหลีบ และยังที่มี เสียงสูงกว่านี้คือ ขลุ่ยกรวดหรือขลุ่ยหลีบกรวด อีกด้วย ขลุ่ยเป็นเครื่องดนตรีในวงเครื่องสายและ วงมโหรี ปี่ เป็นปี่ลิ้นเดียว ที่ตัวลิ้นทาด้วย โลหะเหมือนลิ้นแคน ตัวปี่ทาด้วยไม้ซาง ที่ปลายข้างหนึ่งฝังลิ้นโลหะไว้เวลา เป่าใช้ปากอม ลิ้นที่ปลายข้างนี้ อีกด้านหนึ่งเจาะรู บังคับเสียงเรียงกัน 6 รูใช้ ปิดเปิดด้วยนิ้ว มือทั้ง 2 นิ้ว เพื่อให้เกิด ทานองเพลง มี 3 ขนาด ได้แก่ ขนาดใหญ่เรียก ปี่แม่ ขนาดรองลงมาเรียก ปี่กลาง และขนาดเล็กเรียก ปี่ก้อย นิยม บรรเลงประสมเป็นวงเรียก วงจุมปี่หรือปี่จุม หรือบรรเลงร่วมกับซึงและสะล้อ ปี่ แน มีลักษณะคลายปี่ไฉน หรือปี่ชวา แต่มี ขนาดใหญ่กว่า เป็นปี่ประเภทลิ้นคู่ทาด้วยไม้เนื้อแข็งมีรูบังคับ เสียง เช่นเดียวกับปี่ใน นิยมบรรเลงในวงประกอบกับฆ้อง กลอง ตะหลดปดและกลองแอว เช่น ในเวลาประกอบการ ฟ้อน เป็นต้น มี 2 ขนาด ได้แก่ ขนาดเล็กเรียก แนน้อยขนาดใหญ่ เรียก แนหลวง หลักสูตรปริญญาตรี หมวดวิชาศึกษาทั่วไป กลุ่มวิถีสังคม (วิชาเลือก) 0045002 ดนตรีและศิลปะการแสดงอีสาน (Music and Isan Performing Arts) 13 พิณเปี๊ยะ หรือ พิณเพียะ หรือบางทีก็เรียกว่า เพียะ หรือเปี๊ยะ กะโหลกทาด้วยกะลามะพร้าวเวลาดีดเอา กะโหลกประกบติดไว้กับหน้าอก ขยับเปิด-ปิด เพื่อให้เกิดเสียงกังวานตามต้องการสมัยก่อนหนุ่มชาว เหนือนิยมเล่นดีด คลอการขับร้องในขณะไป เกี้ยวสาวตามหมู่บ้านในยามค่าคืนปัจจุบันมี ผู้เล่นได้น้อยมาก กลองเต่งถิ้ง เป็นกลองสองหน้า ทาด้วยไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้แดง หรือไม้ เนื้ออ่อน เช่น ไม้ขนุนหน้ากลองขึง ด้วยหนังวัว มี ขาสาหรับใช้วางตัวกลอง ใช้ประสมกับเครื่องดนตรี อื่น ๆ เพื่อเป็นเครื่องประกอบจังหวะ ตะหลดปด หรือมะหลดปด เป็นกลองสองหน้า ขนาดยาวประมาณ 100 เซนติเมตร หน้ากลองขึงด้วยหนัง โยงเร่งเสียงด้วยเชือกหนัง หน้าด้านกว้างขนาด 30 เซนติเมตร ด้านแคบขนาด 20เซนติเมตร หุ่นกลองทา ด้วยไม้เนื้อ แข็งหรือเนื้ออ่อน ตีด้วยไม้หุ้มนวม มีขี้จ่า (ข้าวสุกบดผสมขี้เถ้า) ถ่วงหน้า กลองตึ่งโนง เป็นกลอง ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ตัวกลองจะยาว มากขนาด 3-4 เมตรก็มี ใช้ตีเป็น อาณัติสัญญาณ ประจาวัด และใช้ในกระบวนแห่กระบวนฟ้อน ต่าง ๆ ประกอบกับตะหลดปด ปี่แน ฉาบใหญ่ และฆ้องหุ่ย ใช้ตีด้วยไม้ เวลาเข้ากระบวน จะมีคนหาม กลองสะบัดชัย เป็นกลองที่ มีมานานแล้วนับหลายศตวรรษ ในสมัยก่อนใช้ตียามออกศึกสงคราม เพื่อเป็นสิริ มงคล และเป็น ขวัญกาลังใจให้แก่เหล่าทหารหาญในการต่อสู้ให้ได้ชัยชนะทานองที่ใช้ในการตี กลองสะบัดชัยโบราณมี 3 ทานอง คือ ชัยเภรี,ชัย ดิถี และชนะมาร ดนตรีและการแสดงพื้นบ้านภาคใต้ ภาคใต้ของประเทศไทยติดต่อกับประเทศมาเลเซีย ซึ่งแต่ก่อนเรียกกันว่า มลายู ชนพื้นเมืองในประเทศนั้น นับถือศาสนาอิสลาม ประกอบกับชาวไทยภาคใต้มีความใกล้ชิดกับประเทศใกล้เคียวมาก จึงมีสาเนียงในการพูด แตกต่างออกไปจากภาคอื่น ๆ แต่ก็มิได้หมายความว่าจะทาให้ความเป็นไทยลดลง กลับจะทาให้เกิดความสานึกใน ความเป็นไทยมากขึ้น ในเมื่อต้องอยู่ร่วมกับสังคมของคนไทยที่นับถือศาสนาอื่น ซึ่งก็มิได้เกิดปัญหาแต่อย่างใด ต่างก็ อยู่อย่างสันติสุขมาตลอด การถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน เป็นไปอย่างเหมาะสมกลมกลืนยิ่ง ศิลปะแห่งการฟ้อนรา ดนตรี และการเล่นการแสดงต่าง ๆ ของภาคใต้ ก็จัดว่ามีเอกลักษณ์เด่นชัดเฉพาะ ของตัวเอง ความอ่อนช้อย กระฉับกระเฉง และแม่นยา มั่นใจในการแสดงออกซึ่งศิลปะทางด้านนี้ ทาให้สะท้อนภาพ ของการดาเนินชีวิตซึ่งต้องต่อสู้ทั้งภัยธรรมชาติและอื่น ๆ ทาให้เกิดความแข็งแกร่งในชีวิตจนดูออกจะแข็งกร้าวแต่ไม่ดุ ร้าย ความอ่อนโยนทั่วไปจะซ่อนเร้นอยู่กับท่วงทีซึ่งจริงจัง ขึงขังและเฉียบขาด จาการขับร้องตามสาเนียงท้องถิ่น ทาให้ ทราบได้ว่าเน้นในเรื่องของจังหวะแม้ว่าจะต้องใช้การเอื้อนตามทานองที่มีทั้งยาวและสั้นก็ตามปฏิภาณในการเล่นเพลง บอก ซึ่งเป็นเพลงประเภทดาเนินคากลอน ทาให้ซาบซึ้งถึงคุณธรรมและแนวจริยธรรมของคนในท้องถิ่นอย่างสมบูรณ์ ซึ่งมีดังต่อไปนี้ หลักสูตรปริญญาตรี หมวดวิชาศึกษาทั่วไป กลุ่มวิถีสังคม (วิชาเลือก) 0045002 ดนตรีและศิลปะการแสดงอีสาน (Music and Isan Performing Arts) 14 ภาพประกอบ 5 การแสดงโนราภาคใต้ โนรา หรือบางคนเรียกว่า มโนราห์ เป็นศิลปะการแสดงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในภาคใต้ ลักษณะการ เดินเรื่อง และรูปแบบของการแสดงคล้ายละครชาตรีที่นิยมเล่นกันแพร่หลายในภาคกลาง เดิมการแสดงโนราจะใช้เนื้อ เรื่องจากวรรณคดีเรื่องพระสุธน-มโนราห์ โดยตัดตอนแต่ละตอน ตั้งแต่ต้นจนจบมาแสดง เช่น ตอนกินรีทั้งเจ็ดเล่นน้า ในสระ ตอนพรานบุญจับนางมโนราห์ ตอนพรานบุญจับนางมโนราห์ไปถวายพระสุธน ฯลฯ ปกติการแสดงโนราจะเริ่ม จากนายโรงหรือโนราใหญ่ ซึ่งเป็นตัวเอกหรือหัวหน้าคณะออกมารา “จับบทสิบสอง” คือ การราเรื่องย่อต่าง ๆ สิบ สองเรื่อง เช่น พระสุธน-มโนราห์ พระรถ-เมรี ลักษณวงศ์ เป็นต้น แต่หากผู้ว่าจ้างไปแสดงขอให้จับตอนใดให้จบเป็น เรื่องยาว ๆ ก็จะแสดงตามนั้น หนังตะลุง เป็นการแสดงพื้นบ้านของภาคใต้ที่มีมานานจนยังหาต้นตอดั้งเดิมไม่ได้ว่าเริ่มมาตั้งแต่ยุคใด สมัย ใด คงมีการบันทึกไว้ในระยะหลังที่เป็นหลักฐาน แต่ก็ไ ม่ได้เป็นเครื่องยืนยัน ว่าเริ่มมีมาเมื่อใด เท่าที่มีการจดบันทึกได้ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัว มีการนาหนังตะลุงจากภาคใต้มาแสดงถวายทอดพระเนตรที่ พระราชวังบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2419 การแสดงหนังตะลุง แต่เดิมจะเล่นแต่เรื่องรามเกียรติ์เท่านั้น ต่อมาการติดต่อสื่อสารก้าวหน้าขึ้น เริ่มนาเรื่อง ในวรรณคดีต่าง ๆ มาแสดง ปัจจุบันหนังตะลุงนานวนิยายรักโศก เหตุการณ์บ้านเมืองปัจจุบันมาแสดง บางคณะก็แต่ง บทเองแบบนวนิยาย มีพระเอก นางเอก ตัวโกง ตัวอิจฉา การเล่นหรือเชิดหนังตะลุงในช่วงหัวค่า ในสมัยก่อนจะเริ่ม จากการออกลิงขาว ลิงดา หรือที่เรียกว่าจับลิงหัวค่า ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ไม่มีแล้ว คณะหนังตะลุง ประกอบด้วย นายหนัง 1 คน ซึ่งเป็นเจ้าของคณะเป็นผู้เชิดตัวหนัง พากย์และเจรจา ร้องรับ และเล่นดนตรีด้วย ชื่อคณะมักใช้ชื่อของนายหนังเป็นชื่อคณะ เช่น หนังจูเลี่ยม กิ่งทอง ลูกคู่ 5-6 คน โรงหนังตะลุงจะปลูกเป็นเพิงหมาแหงน ฝาและหลังคามุงด้วยจากหรือทางมะพร้าว สูงจากพื้นดินราว 150- 170 เซนติเมตร เป็นโรงสี่เหลี่ยม บันไดขึ้นด้านหลัง ใช้พื้นที่ราว 8-9 ตารางเมตร ด้านหน้าโรงจะมีจอผ้าขาวขอบสีน้า เงินขึงเต็มหน้าโรง มีไฟส่องตัวหนังให้เกิดภาพหน้าจอ มีหยวกกล้วยทั้งต้นสาหรับปักตัวหนังวางอยู่ขอบล่างของจอ ด้านในลูกคู่และดนตรีจะนั่งอยู่ถัดจากนายโรง ตัวหนัง ทาจากหนังวัวแกะและฉลุ ขนาดจะต่างกันไปตามบทบาทของหนัง เช่น รูปเจ้าเมือง รูปยักษ์ รูปฤาษี จะมีขนาดใหญ่กว่ารูปอื่น ๆ คณะหนึ่ ง ๆ จะมีตัวหนังราว 150-200 ตัว เวลาเก็บหนังจะแยกกันเก็บ เช่น ยักษ์ พระ หลักสูตรปริญญาตรี หมวดวิชาศึกษาทั่วไป กลุ่มวิถีสังคม (วิชาเลือก) 0045002 ดนตรีและศิลปะการแสดงอีสาน (Music and Isan Performing Arts) 15 นาง จะแยกกัน รูปฤาษี เทวดา ตัวตลกจะเก็บไว้บนสุด เก็บเป็นแผงซ้อน ๆ กัน มีไม้ไผ่สานเป็นเสื่อลาแพนหนีบอยู่ทั้ง บนและล่าง และใช้เชือกผูก เก็บเป็นแผง ๆ ดนตรีประกอบการแสดง ประกอบด้วยโหม่ง 2 ใบ ทับโนรา 2 ใบ กลองโนรา 2 ใบ ปี่ 1 เลา ความยาวของ การแสดงชุดนี้ ใช้เวลาประมาณ 2-6 ชั่วโมง ภาพประกอบ 6 การแสดงหนังตะลงภาคใต้ เครื่องดนตรีภาคใต้ ทับ (โทนหรือทับโนรา) เป็นคู่ เสียงต่างกันเล็กน้อย ใช้คนตีเพียงคนเดียว เป็นเครื่องตีที่สาคัญที่สุด เพราะ ทาหน้าที่ คุมจังหวะและเป็นตัวนาในการเปลี่ยนจังหวะทานอง (แต่จะต้องเปลี่ยนตามผู้รา ไม่ใช่ผู้รา เปลี่ยน จังหวะ ลีลาตามดนตรี ผู้ทาหน้าที่ตที ับจึงต้องนั่งให้มอง เห็นผู้ราตลอดเวลา และต้องรู้เชิง ของผู้รา) กลอง เป็นกลองทัดขนาดเล็ก (โตกว่ากลองของหนังตะลุงเล็กน้อย) 1 ใบทาหน้าที่เสริมเน้นจังหวะและล้อ เสียงทับ ปี่ เป็นเครื่องเป่าเพียงชิน้ เดียวของวง นิยมใช้ปี่ใน หรือ บางคณะอาจใช้ปนี่ อก ใช้เพียง 1 เลา ปีม่ ีวิธีเป่าที่ คล้ายคลึงกับขลุ่ย ปี่มี 7 รูแต่สามารถกาเนิดเสียงได้ ถึง 21 เสียงซึ่งคล้ายคลึงกับเสียงพูด มากทีส่ ุด โหม่ง คือ ฆ้องคู่ เสียงต่างกันที่เสียงแหลม เรียกว่า “เสียงโหม้ง” ที่เสียงทุ้ม เรียกว่า “เสียงหมุ่ง” หรือ บางครั้งอาจจะเรียกว่าลูกเอกและลูก ทุ้มซึ่งมีเสียงแตกต่างกันเป็น คู่แปดแต่ดงั้ เดิมแล้วจะใช้คู่ห้า ฉิ่ง หล่อด้วยโลหะหนารูปฝาชีมรี ูตรงกลางสาหรับร้อยเชือก สารับนึงมี 2 อัน เรียกว่า 1 คู่เป็นเครื่องตีเสริม แต่งและเน้นจังหวะ ซึ่งการตีจะแตกต่างกับการตีฉิ่ง ในการกากับจังหวะของดนตรีไทย แตระ หรือ แกระ คือ กรับ มี ทั้งกรับอันเดียวที่ใช้ตีกระทบกับรางโหม่ง หรือกรับคู่ และมีที่ร้อยเป็นพวง อย่างกรับพวง หรือใช้เรียวไม้หรือลวด เหล็กหลาย ๆ อันมัดเข้าด้วยกันตีให้ปลาย?

Use Quizgecko on...
Browser
Browser