สื่อสารระบบดิจิทัล: บทที่ 3 PDF
Document Details

Uploaded by RomanticCactus1516
Tags
Summary
เอกสารนี้เกี่ยวกับระบบการสื่อสารดิจิทัล (Digital communications). มีการอธิบายถึงการใช้สัญญาณดิจิทัลในการสื่อสาร และมีการเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียกับการใช้สัญญาณอนาลอก. รวมถึงการพูดถึงส่วนประกอบต่างๆในระบบ เช่น source encoder, encryptor, channel encoder, และอื่นๆ.
Full Transcript
- 65 - บทที่ 3 การสื่อสารในระบบดิจิตอล (Digital communications) การใชสัญญาณดิจิตอลในการสื่อสารนัน้ มี ขอได เปรียบกวาสัญญาณอนาลอกหลายประการเปนตนวา สัญญาณดิจิตอลมี ระดับที่แนนอนการไดสัญญาณเดิมกลับคืนมาอย...
- 65 - บทที่ 3 การสื่อสารในระบบดิจิตอล (Digital communications) การใชสัญญาณดิจิตอลในการสื่อสารนัน้ มี ขอได เปรียบกวาสัญญาณอนาลอกหลายประการเปนตนวา สัญญาณดิจิตอลมี ระดับที่แนนอนการไดสัญญาณเดิมกลับคืนมาอยางถูกตองนัน้ ทําได ดีกวาสัญญาณอนาลอกกลาว อีกนัยหนึ่งการทนตอสัญญาณรบกวนดีกวาสัญญาณอนาลอก รวมถึงการ จัดการสัญญาณที่ ทําไดงายกวา เชน การ เขารหัสในรูปแบบ ตางๆ แตอยางไรก็ ตามโดยทัว่ ไปการสงสัญญาณในระบบดิจิตอลตองการแบนดวิดท สูงกวา อนาลอก และตองการการ Synchronize ระหวางดานสงกับดานรับรวมถึงขาวสารที่ ตองการสงจะตองแปลงใหอยูใน รูปแบบของสัญญาณดิจิตอลกอนสง และแปลงกลับทางดานรับถาตองการ รูปที่ 3.1 ระบบการสงและรับสัญญาณดิจิตอล พิจารณาสวนประกอบในระบบการสื่อสารแบบดิจิตอลตามรูปที่ 3.1 source encoder จะทําหนาที่แปลง สัญญาณอนาลอกให เปนสัญญาณดิจิตอล รวมถึงการสงสัญญาณจากหลายๆ แหลงเขาสูระบบนัน่ คือในสวนนี้ จะรวม การ มัลติเพล็กซ สัญญาณรวม ดวย ในกรณี สัญญาณที่ ตองการสงอยู ในรูปดิจิตอลแลวเชน สัญญาณจากการกด คียบอรดก็ ไม จําเปนตองมี สวนนี้ สัญญาณดิจิตอลจะถูกสงเขาระบบโดยตรง Encryptor จะทําหนาที่ จัดการ สัญญาณเพื่อความปลอดภัยจากผู ที่ ไม ตองการให รับขาวสารนี้ ทั้งนี้ขึ้นอยูก ับความตองการของระบบวาตองการ ความสามารถนี้ หรือไมจากนั้นจึงผานสัญญาณเขาสู channel encoder ที่ จะทําหนาที่ เปลี่ยนสัญญาณดิจิตอลใหอยู ในรูปแบบที่ เหมาะสมกับชองสัญญาณที่ จะสง ซึ่งจะพิจารณาถึงความสามารถในการผานสัญญาณของชองสัญญาณ นั้น การเขารหัสชองสัญญาณเปนการเปลีย่ นรูปแบบสัญญาณในสองลักษณะคือการลดจํานวนขอมูลเพื่อให สง สัญญาณได รวดเร็ว และการเปลี่ยนสัญญาณให มี ความสามารถตรวจสอบความผิดพลาดได วมไปถึงการแกไข ขอผิดพลาดทีเ่ กิดจากการสงขอมูลไดสัญญาณที่ ได จากการเขารหัสชองสัญญาณเปนสัญญาณดิจิตอลที่ ประกอบดวยสัญลักษณตาง ๆ ยกตัวอยาง ถาเปนสัญญาณไบนารี ก็ จะประกอบดวยขบวน '0' ,'1' โดยการแทน '0' ,'1' ดวยระดับแรงดันไฟฟาที่ตา งกันเปนการสงสัญญาณไฟฟาแทนขอมูลไปในชองสัญญาณในลักษณะขบวนพัลส เรียก การสงลักษณะนี้ วาเปน การสงสัญญาณดิจิตอลแบบเบสแบนด (baseband digital communications) ใน ชองสัญญาณที่ มี ขอจํากัดอาจตองมี การเปลี่ยนสัญญาณ โดยการแทนขอมูลดิจิตอลดวยสัญญาณอนาลอกเชน ชองสัญญาณเสียง อาจแทน '0','1' ดวยสัญญาณเสียงที่ มี ความถี่ ตาง กัน ทําให สามารถสงสัญญาณเสียงซึ่งแทน ขอมูลนี้ ไปในชองสัญญาณได การแทนขอมูลดิจิตอลดวยสัญญาณอนาลอกนี้ ก็ คือการมอดูเลตสัญญาณกับสัญญาณ - 66 - ปองกันการรับสัญญาณโดยผู ที่ ไมประสงค ให รับได ทําให ขอมูลมี ความปลอดภัยสูง แต เครื่องรับ เครื่องสงจะตอง ยุงยากขึ้นในทางดานรับก็ จะเปนขบวนการยอนกลับที่สอดคลองกับทางดานสง โดยการ demodulate,Decode ขึ้นอยู กับดานสง แต มี สวนสําคัญที่ เพิ่มขึ้นก็ คือ synchronization เพื่อให ได สัญญาณเดิมกลับมาจะตองมี การตรวจจับ สัญญาณให สอดคล องตรงกันกับดานสง สวนนี้ จึงนับวาเปนสวนที่ มี ความสําคัญมากในการระบบการสงสัญญาณ แบบดิจิตอล 3.1 การเขารหัสแหลงกําเนิด (Source encoding) ถาสัญญาณที่ ตองการสงไม ได อยู ในรูปสัญญาณดิจิตอล นัน่ คือแหลงกําเนิดของขาวสารไม ได แทนดวย สัญญาณดิจิตอล จึงตองทําการเปลี่ยนให เปนสัญญาณดิจิตอลดวยขบวนการแปลงสัญญาณอนาลอกเปนสัญญาณ ดิจิตอล(Analog-to-Digital conversion, ADC,A/D) ก็ คือการเขารหัสของแหลงกําเนิด คือการให กําเนิดสัญญาณที่ แทนขาวสารที่ ตองการสงออกมาเปนสัญญาณดิจิตอล 3.1.1 การสุมตัวอยาง (Sampling) สัญญาณอนาลอกที่ มี ความตอเนื่องทางขนาดจะถูกแปลงเปนสัญญาณดิจิตอลที่มีสัญญาณไม ตอเนื่องไดนั้นทําได โดยการสุมตัวอยาง (Sampling) เปนการตัดสุมสัญญาณอนาลอกออกเปนชวงๆ ดวยความถี่ ของการสุม (sampling frequency,fs) หรือเวลาการสุม (sampling time,Ts) สัญญาณเดิมจะถูกเปลีย่ นกลับคืนมาได อยางครบถวนนัน้ ตองมี ขอจํากัดที่ สําคัญ ซึ่งกลาวไว ในทฤษฎีบทการสุมตัวอยางของ Shannon คือ ความถี่ ของการสุมตัวอยางจะตองสูงกวา ความถี่ สูงสุดของสัญญาณที่ ตองการสุมนี้สองเทาขึน้ ไปถาสัญญาณที่ตองการสุมตัวอยางมีความถี่สูงสุดเปน fm ความถี่ ของการสุมตัวอยางจะตองเปน [3.1] สัญญาณที่ เปลี่ยนกลับจึงไม เกิดการผิดเพี้ยนเรียก อัตราการสุมตัวอยางนี้ วา Nyquist rate รูปที่ 3.2 การ sampling สัญญาณและสเปกตรัม - 67 - รูปที่ 4.3 สเปกตรัมของสัญญาณ X(f) ที่ เกิด aliasing (ก) X(f) (ข) หลังจาก sampling (ค) หลังผานฟลเตอร การสุมตัวอยางของสัญญาณเปนการคูณสัญญาณดวยขบวนพัลส ที มี ความถี เทากับความถี ของการสุม จะได สเปกตรัมของสัญญาณเปนการย ายความถี่ ไปอยู ที่ ความถี่ เปนจํานวนเทาของความถี่ การสุม ดังรูปที่ 3.2 ถาสุม ตัวอยางดวยความถี่ สูงกวาหรือเทากับ Nyquist rate สัญญาณที่ ถูกสุมแลวนัน้ เมือ่ ผานวงจรกรองความถี่ ตํ่าผานก็จะ ได สัญญาณเดิมกลับคืนมา แต ถาสุม ตัวอยางที่ ความถี่ ตํ่ ากวา Nyquist rate ทําให สเปกตรัมของสัญญาณทับซ อน กันดังรูปที่ 3.3 (ข) เรียก วาเกิด aliasing เมื่อผานวงจรกรองความถี่ตํ่าผานจะไม ได สัญญาณเดิมกลับคืนมา 3.1.2 สัญญาณ PCM (Pulse Coded Modulation) สัญญาณอนาลอกเมื่อถูกสุม ตัวอยางเปนพัลส ที่ มี ขนาดความสูงเทากับสัญญาณอนาลอก ณ เวลาที่ ถูกสุม เรียกพัลส ที่ ได นี้ วาสัญญาณ Pulse Amplitude Modulation ,PAM พัลส นี้ จะมี ระดับขนาดเทาใดก็ ได ตาม สัญญาณอนาลอกที่ สุมได จากนั้นจะทําการปรับระดับขนาดของพัลส นี้ ให อยู ในระดับที่ กําหนดไว เรียก ขบวนการนี้ วา quantization จากนั้นจึงเขารหัสของพัลส ที่ ได นี้ การที่ พัลส มีขนาดตาง ๆ เมื่อถูกจัดเขากับระดับที่ กําหนดไว จะ ทําให เกิดความผิดพลาด (ความแตกตาง ) จากการปรับระดับนี้ เรียก วา quantization noise เพื่อลด noise ที่ เกิดขึ้น ลง ทําได โดยการ quantize แบบ non-linearซึ่งจะกลาวถึงในตอนตอไป การเขารหัสสัญญาณ PAM ที่ สุมได นั้นขึน้ อยู กับจํานวนระดับสัญญาณที่ กําหนดไว เชน ถากําหนดระดับสัญญาณที่ แตกตาง กันไว 4 ระดับ ก็ สามารถใช รหัสฐาน สอง 2 บิต แทนสัญญาณแต ละระดับได และ ถาเปน 8 ระดับก็ จะใช 3 บิตในการเขารหัสเปนเลขฐานสองเปนตน รูปที่ 2.4 แสดงขบวนการ Pulse Coded Modulation;PCM ใช 2 บิตในการเขารหัส การสรางสัญญาณ PCM คือ วิธี การเปลี่ยนสัญญาณอนาลอกเปนสัญญาณดิจิตอล(Analog to Digital Conersion;ADC) นั่นเอง วิธี การก็ คือ ตองแยกสัญญาณอนาลอกให เปนระดับที่ แนนอนที่กาํ หนดไวคือ การ quantize สัญญาณนัน่ เอง ในการ quantize สัญญาณนี้ โดยทัว่ ไปมี 3 วิธี คือ 1. Counter quantizer 2. Serial quantizer - 68 - 3. Parallel quantizer 3.1.2.1 Counter quantizer รูปที่ 3.5 แสดง counter quantizer สัญญาณอนาลอกจะถูกวงจร sampling and hold สุมสัญญาณและค างไว ซึ่งก็ พรอมกับวงจรนับและวงจรกําเนิดสัญญาณ ramp เริ่มทํางาน วงจรนับจะนับเพิ่มคา ไปเรื่ อยๆ จนกวาสัญญาณ ramp จะเทากับสัญญาณอนาลอกที่สุมและคางไว วงจรนับจะหยุ ดและคาที่ ได ก็ จะเปน คาดิจิตอลแทนคาอนาลอกที่ สุมได ถาคาสัญญาณที่สมุ ได มีคาสูงวงจร ramp ตองใช เวลานานในการสรางสัญญาณ จนมี คาเทากับสัญญาณที่ สุมได วงจรนับจึงมี เวลาในการนับนานทําให ได คาดิจติ อลที่ แทนสัญญาณอนาลอกมี คา สูงดวย รูปที่ 3.5 Counter quantizer รูปที่ 3.6 สัญญาณจาก Counter quantizer 3.1.2.2 Serial quantizer สัญญาณที่ sampling ได จะถูกตรวจสอบวาสูงกวาครึ่งหนึง่ ของสัญญาณสูงสุด หรือไม โดยการเปรียบเทียบ ถาสูงกวาครึ่งให ผลลั พธ บิตแรกเปน 1 ถาตํ่ ากวาครึ่งจะใหผลลัพธ บิตแรกนี้ เปน 0 แลว จึงพิจารณาแบงครึ่งของสวนที่ เกินครึ่งหรือสวนที่ เหลือไม ถึงครึ่งแรกนั้น คือเปรียบเทียบกับหนึ่งในสี่ ของสัญญาณ สูงสุด ทําการเปรียบเทียบครึง่ ของครึ่งของสัญญาณไปเรื่ อยๆ จนครบจํานวนบิตผลลั พธ ที่ ตองการ ตัวอยางการใช serial quantizer คือ IC ADC0804 เปนตน รูปที่ 3.7 แสดง serial quantizer - 69 - รูปที่ 3.7 Serial quantizer เปนที่ นาสังเกตในการทํา serial quantize นั้นผลลั พธ ที่ ไดจะไม ออกมาทันที ที่ปองสัญญาณเขาเนื่องจาก ตองรอการเปรียบเทียบเปนขัน้ ๆ ไปจึงตองมีเวลาของการ quatize ซึ่งจะมากนอยขึน้ อยูกับจํานวนบิตที่จะใช ในการ แทนสัญญาณนั้น 3.1.2.3 Parallel quantizer สัญญาณที่ สุมตัวอยางได จะถูกนําไปเปรียบเทียบกับ comparator มี จํานวน เทากับจํานวนระดับที่ ตองการแยก โดย comparator แต ละตัวจะถูกกําหนดระดับสําหรับการเปรียบเทียบไว ดวย ระดับตาง ๆ ขึ้นอยู กับ ความละเอี ยดที่ ตองการ แลวจึงนําเอาผลที่ ได จาก comparator ไปเขาวงจรเขารหัสซึ่งเปน วงจรตรรก สัญญาณขาออกของวงจรเขารหัสจะเปนสัญญาณดิจิตอลที่ มี จํานวนบิตเทากับจํานวนบิตที่ สามารถแทน ระดับที่ แยกไว ดวย comparator ได รูปที่ 3.8 แสดง parallel quantization จากการที่ สัญญาณถูกเปรียบเทียบทุก ระดับพรอมกันทันที และผานวงจรเขารหัสที่ เปนวงจรตรรก จึงทําให ได ผลลั พธ ออกมาเกือบจะทันที ที่ ให สัญญาณ เขาบางครัง้ จึงถูกเรียก วา flash ADC เปนวงจรแปลงสัญญาณอนาลอกเปนสัญญาณดิจิตอลที่ เร็วที่ สุดแตจะตองใช comparator จํานวนมาก รูปที่ 3.8 Parallel quantizer 3.1.2.4 Quantization noise จากการแปลงสัญญาณดวยวิธี การตาง ๆ ดังที่ กลาวไปแลวนัน้ ความสําคัญของ การแปลงสัญญาณอยู ที่ การได สัญญาณดิจิตอลที่ แทนสัญญาณอนาลอกได ใกล เคียงมากที่ สุด และใช เวลาในการ - 70 - สัญญาณดิจิตอลดังกลาวจะมี คาเพียง 8 คาดังกลาวคาแตกตาง ระหวางสัญญาณเดิมกับสัญญาณที่ quantize ได แต ละคาจะไม เกิน ± ΔX เมื่อ Δx คือความกวางของขัน้ หรือระดับของการ quantize error 2 [3.2] ให p(en) เปนพรอบอะบิลิตี้ของ คา error(en) นี้ มี คาคงที่ ตลอดช วง − Δx ถึง + Δx หาคา mean square 2 2 error;mse ได เปน [3.3] จากสมการ 4.3 นั้นคือคายกกําลั งสองเฉลีย่ ของ error(en) ที่จะเปนไปไดอาจเรียกวาเปนสัญญาณรบกวนเมื่อนํามา พิจารณากับตัวสัญญาณ ได เปนคาสัญญาณตอสัญญาณรบกวน (signal to quantization noise ratio;SNR) [3.4] เมื่อคิดเทียบกับอินพุต [3.5] 3.1.2.5 Nonuniform quantization จาก error(en) ที่ ได ในหัวขอกอนมี คาเปนไปได − Δx ถึง + Δx ทุกชวง 2 2 ของการแบงระดับเทากัน พิจารณาที่ สัญญาณมี คาตํ่ าๆ คา error คงเทาเดิม คา SNR จะแย ลง ยกตัวอยางสัญญาณ - 71 - Δx + 2 การทํา non-uniform quantization นั้นทําได โดยการแปลงสัญญาณที่ เขามาให มี คาเปลี่ยนไปในลักษณะ nonlinear คือที่ สัญญาณตํ่ าๆ ให มี การขยายสัญญาณออก ในขณะที่ สัญญาณที่ สูงอยู แลวก็ ขยายนอย เรียก ขั้นตอนนี้ วา การ compressing สัญญาณจากนัน้ จึงผานเขา uniform quantizer เพื่อเปลี่ยนเปนสัญญาณดิจติ อล ในทางกลับกัน เมื่อแปลงกลับเปนสัญญาณอนาลอกแลวตองแปลงสัญญาณโดยการขยายที่ ตรงข ามกับตอนแรก เรียก ขั้นตอนนี้ วา การ expanding รวมเรียก ขบวนการเพื่อทํา nonuniform quantization แบบนี้ วา companding ดังรูปที่ 3.9 แสดงการ ทํา companding รูปที่ 3.9 Companding ความสัมพันธ ของสัญญาณขาเขาและสัญญาณขาออกของการ compress สัญญาณ อธิบายได โดยเสนโคง ความสัมพันธ ซึ่งมี มาตรฐานอยู สองมาตรฐานคือ A-law มาตรฐานยุ โรปและ μ − law มาตรฐานของอเมริกาและ ญี่ปุนมีความสัมพันธ ดังสมการที่ 3.6 และ 3.7 ตามลําดั บ [3.6] [3.7] รูปที่ 3.10 แสดงกราฟของความสัมพันธ ของ μ − law ที่ μ คาตาง ๆ รูปที่ 2.11 แสดงกราฟ μ − 255 ที่เปน - 72 - มาตรฐานที่ ใช สําหรับ PCM มาตรฐาน จํานวนบิตเทากับ 8 บิต โดยการแบ งช วงสัญญาณเขาออกเปน 8 ช วง ในแต ละดานบวก ลบของสัญญาณ ในแต ละช วงจะประมาณดวย uniform quantization 8 บิตที่ เขารหัสนี้ จะแบงออกเปน บิตแรก ใช สําหรับแยกสัญญาณดานบวกกับดานลบ 3 บิต ตอมา เปนการเลือกชวงบวก 8 ช วง ลบ 8 ช วง อีก 4 บิต เปนการเลือกจุด 16 จุดในแต ละช วง รูปที่ 3.10 Compression curเมื่อe รูปที่ 3.11 การประมาณ nonuniform quantization ดวย uniform quantization เปนช วงๆ จากการทํา companding ของ nonuniform quantization เปนผลให error ที่ เกิดจากการquantize ลดลง จากคาเฉลี่ ยของ error ในสมการ 3.3 สามารถหาได เปนสมการ 3.8 [3.8] โดยที่ p(x) เปน พรอบอะบิลติ ี้ เดนซิ ตี้ ฟงกชันของสัญญาณ x และ F'(x) เปน ดิ ฟเฟอเรนชิ เอตของ compression function จะเห็นวาถาสวนอิ นที กรั ลมี คานอยกวาหนึ่ง จะได mse ของ nonuniform quantization นอยกวา mse กรณี uniform quantization - 73 - 3.1.3 สัญญาณ DM (Delta Modulation) การแปลงสัญญาณแบบ PCM นั้นเมื่อชวงขนาดของสัญญาณสูงขึ้น การเขารหัสจะตองใชจํานวนบิตเพิ่มขึน้ เพื่อคง ระดับของ error ที่ จะเกิดขึน้ ทําให จํานวนขอมูลมาก การเพิ่มช วงของสัญญาณ (dynamic range) จึงถูกจํากัดดวย จํานวนบิตในการแทนสัญญาณนัน้ มี วิธี การเขารหัสแหลงกําเนิดเพื่อแกปญหานี้หลายวิธี Delta Modulation เปนวิธี การแทนสัญญาณที่ สุมได เฉพาะคาที่ แตกตาง จากคาที่ สุมไดกอนหนาเทานั้น ทําให จํานวนบิตของขอมูลลดลง และ ไม ขึ้นอยู กับช วงการเปลีย่ นแปลงของสัญญาณ และยังได จํานวนบิตที่ นอยกวาที่ quatization noise เทากัน Delta Modulation จะทํา quantize โดยการแทนความแตกตาง ของคาที่ สุมได ดวยจํานวนบิตเดียวเชน แทนบิต '1' สําหรับคาแตกตาง ที่ เปนบวกและ แทนบิต '0' สําหรับคาที่ เปนลบเปนตน กลาวอีกนัยหนึง่ การแทนดวยบิตเดียว คือ การเขารหัสเพือ่ บอกการเปลีย่ นเพิ่มระดับสัญญาณหนึง่ ระดับหรือลดลงหนึ่งระดับทุ กๆ คาของการสุม รูปที่ 3.12 แสดง สัญญาณอนาลอกทั่วไป เนื่องจากการ quantize เปนการเพิ่มหรือลดคาหนึ่งระดับ ณ แต ละจุดของการสุม เทากับเปน การพยามสรางสัญญาณขั้นบันไดที่ เขากับสัญญาณอนาลอกนัน้ โดยการเพิ่มขั้นหรือลดขั้นที ละขั้นที่ เทากับ Δ เทานัน้ จากการเลือกอัตราของการสุมและขนาดของ Δ ก็ จะทําให ได สัญญาณขั้นบันไดที่ ใกล เคียงกับสัญญาณ อนาลอกนัน้ ได ผลที่ ได จากการ quantize นี้ คือ ขบวนบิต '0','1' ที่ สอดคล องกับการเปลี่ยนแปลงสัญญาณขั้นบันได กลาวคือ ถาคาของสัญญาณขั้นบันไดตํ่ากวาสัญญาณอนาลอกที่ สุมได จะได บิต '1' เปนการบอกให เพิ่มสัญญาณ ขั้นบันไดใหเขาใกล สัญญาณอนาลอก แต ถาสัญญาณขั้นบันไดสูงกวาสัญญาณอนาลอกที่ สุมได ก็ จะให บิต '0' เปน การบอกให ลดขั้นบันไดลง เชนนี้ เรื่อยไป รูปที่ 3.12 รูปสัญญาณอนาลอกและสัญญาณขั้นบันไดที่ประมาณคาสัญญาณอนาลอกจากรูปขบวนบิตที่สอดคล อง คือ 1 1 1 1 1 1 1 0 0 0 0 1 0 0 1 1 1 0 1 0 1 0 ขบวนบิตที่ ได ถูกสงไปทางดานรับ เพื่อนําไปสรางสัญญาณขั้นบันได ตามลําดับบิต ที่ เขามาแลวจึงนําไปผานวงจรกรองความถี่ ตํ่ าผานจะได สัญญาณอนาลอกกลับคืนมาได จากหลักการ ทํางานที่ ได อธิบายไปสามารถสรางเปนวงจรได โดยการใช comparator และวงจรสรางสัญญาณขั้นบันได (staircase Generator) ผลที่ ได ก็ จะเปนวงจร A/D ดังรูปที่ 3.13 - 74 - รูปที่ 3.13 Delta A/D converter สัญญาณขั้นบันไดที่ ใช ในการประมาณเพือ่ แทนสัญญาณอนาลอกนั้น จะเห็นวาสัญญาณนี้จะใกลเคียง สัญญาณอนาลอกมากนอยแคไหนขึ้นอยูก ับอัตราการสุม (sampling rate) และขนาดของขั้นบันได (step size) การ เพิ่มอัตราการสุมทําให ได สัญญาณขั้นบันไดที่ ละเอี ยดขึ้น แต เปนการเพิม่ จํานวนบิตของขอมูลการลด step size ลง ก็ จะทําให ได สัญญาณที่ ใกล กับสัญญาณอานาลอกมากขึ้น แต ถา step size เล็กเกินไป การเพิม่ ของสัญญาณ ขั้นบันไดไม สามารถเปลี่ยนทันการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณอนาลอก ทําให เกิดความผิดพลาดขึ้นได เรียก ปรากฎการณ นี้วา slope overload ถาให คา step size มี คามากเกินไป ในขณะที่ สัญญาณอนาลอกเปลี่ยนแปลง เพียงเล็กนอยหรือไม เปลี่ยนแปลง แต สัญญาณขั้นบันไดมี การเปลีย่ นกลับไปมารอบๆ คาสัญญาณอนาลอกจริง ความแตกตาง ของสัญญาณอนาลอกกับสัญญาณขั้นบันไดนี้ จะเกิดเปนสัญญาณรบกวนได เรียก สัญญาณรบกวนที่ เกิดขึ้นในกรณีนี้วา Granular noise รูปที่ 3.14 การเลือก step size ที่ ไม เหมาะสม (ก) step size เล็กเกินไปเกิด slope overload (ข) step size ใหญ เกินไปเกิด Granular noise 3.1.4 Adaptiเมื่อ Delta Modulation จากผลของ step size ที่ เลือกใช มี ผลตอสัญญาณที่ ประมาณจากสัญญาณขั้นบันได ซึ่งทําให เกิด slope o เมื่อerload เมือ่ step size เล็ กไป และเกิด Granular noise เมื่อ step size มากไป จึงมี การปรับปรุ งโดยให มี การ เปลี่ยน step size ตามการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณ ลักษณะการเปลี่ยนขนาดของ step นี้ มี หลายลักษณะ เชน Song algorithm, Space shuttle algorithm ดังรูปที่ 3.15 (ก) และ (ข) ตามลําดั บ - 75 - รูปที่ 3.15 Adaptiเมื่อe Delta Modulation (ก) Song algorithm (ข) Space shuttle algorithm สําหรับ Song algorithm จะเปลี่ยนขนาดของ step size มากขึ้นเมื่อมี การเพิม่ ติดตอกันหลายครัง้ ดังรูป เริ่มตน step size เปนหนึ่งถูกเพิม่ ขนาดเปนสอง สาม สี่ หา หก เพื่อสรางสัญญาณขั้นบนไดตามขนาดของสัญญาณให ทัน และเมื่อ สัญญาณขั้นบันไดสูงกวาสัญญาณจริ งแลวการลดของขั้นบันไดจะลดลงดวยการคอยๆ ลด Step size จาก หก หา สี่ ตามลํ าดับ และเมื่อตองมี การเพิม่ สัญญาณขั้นบันไดก็ จะเพิ่มดวย step size ที่ เปนอยู ขณะนัน้ ตาง จาก Space shuttle algorithm ที่ การลดหลังจากการเพิ่ม หรือเพิม่ หลังจากการลดจะกระทําที่ step size เริ่มตนทุกครั้ ง 3.1.5 Delta Pulse Code Modulation;(DPCM), Differential PCM และ ADPCM นอกจากการเขารหัสเพื่อแปลงสัญญาณอนาลอกให เปนสัญญาณดิจติ อลที่ ได กลาวมาแลวนัน้ ยังมี การ เขารหัสดวยวิธี การอีกหลายแบบ เพื่อให ได ประสิ ทธิ ภาพสูงสุด คือ ความเชื่ อถื อได สูง และแบนดวิดท ตํ่าที่สุด ใน ที่นี้จะกลาวถึง 3 วิธี คือ Delta Pulse Code Modulation;DPCM , Differential PCM, Adaptiเมื่อe Differential pulse code modulation;ADPCM 3.1.5.1 Delta Pulse Code Modulation;DPCM เปนการนําคาแตกตาง ของสัญญาณที่ สุมได กับสัญญาณ ที่ สุมได กอนหนามาเขารหัสแบบ PCM เนื่องจากเปนการเขารหัสของสวนที่ แตกตาง เทานั้นปกติ ก็ จะมี คานอยกวา ขนาดของสัญญาณ จึงทําให การเขารหัสนี้ ละเอียดขึ้นความผิดพลาดลดลงได รูปที่ 3.16 แสดงการสรางสัญญาณ DPCM คาความแตกตาง ของสัญญาณกับสัญญาณขั้นบันไดจะถูก quantize เปนระดับตาง ๆ ตามจํานวนบิตที่ ใช คาที่ ได จะเปนคาที่ บอกขนาดของขั้นบันได เพื่อให วงจรสรางสัญญาณขั้นบันไดเปลี่ยนระดับตามขนาดขัน้ ที่ ได รับนี้ รูปที่ 3.16 การสรางสัญญาณ DPCM 3.1.5.2 Differential PCM แทนการเปรียบเทียบสัญญาณกับคาที่ สุมได กอนหนา การเขารหัสแบบ Differential PCM นี้ จะเปรียบเทียบสัญญาณกับคาที่ คาดเดา(Predict Value) ไว กอนทําใหคา ความแตกตาง ของ - 76 - n Sˆ (nTs) [3.9] คาคาดเดาจะได จากคาการสุมกอนหนาคูณกับคาคงที่ A การเลือก A ที่ เหมาะสมจะให คาผิดพลาดที่ นอยที่สดุ รูปที่ 3.17 รูปที่ 3.17 การสรางสัญญาณ differential PCM จากรูปแสดงการสรางสัญญาณ Differentail PCM ในบล็ อค Predict นั้นก็ คือ การคูณดวยคาคงที่ A นั่นเองปญหาคือ การหาคา A ที่ ให ได คุณสมบัติ ตามตองการ จากหลั กการ ที่ ให ได คากําลั งสองเฉลี่ ยของความผิดพลาดนอยที่ สุด (Least mean square error ) คาความผิดพลาดที่ เกิดจากความแตกตางของสัญญาณที่สุมไดกับคาที่คาดเดามีคา [3.10] คากําลั งสองเฉลี่ ยของความผิดพลาด จะได เปน [3.11] โดยที่ R เปน autocorrelation ของสัญญาณ หาคา A ที่ ทําให mse มี คานอยที่ สุดโดยการดิฟเฟอเรนชิเอตสมการ 3.9 แลวให เทากับศูนย จะได [3.12] ซึ่งก็ คือการเลือกจากคุณสมบัติ ของสัญญาณนัน่ เอง - 77 - 3.1.5.3 Adaptive differential PCM เชนเดียวกับ Differential PCM ตาง กันที่ คา A ของ ADPCM เปลี่ยนไป ตามสถานการณ ของสัญญาณ ไม ได กําหนดคงที่ ทุ กๆ ช วงเวลาหนึ่งจะมี การเปลี่ยนคาA ไป โดยการคํานวนคา A จาก covariance matrix [Rij] การที่ ดานสงและดานรับจะใช คา A ตรงกันได ทําโดยการสงคา A ไปดวยในลักษณะ over head เพื่อบอกให ทางดานรับใช คา A ที่ ตรงกัน 3.1.6 Voice Technique การแปลงสัญญาณอนาลอกเปน สัญญาณดิจิตอลหลายๆ วิธี ที่ กลาวมาแลว ยังมีการแปลงสัญญาณอนาลอกที่ มี ลักษณะเฉพาะ เชน สัญญาณเสียง สัญญาณเสียงพูด จากการวิ เคราะห จะพบวาสัญญาณเสียงที่ มนุ ษย ได ยิ นหรือตอบสนองได โดยทัว่ ไปแลวมี ความถี่ สูงถึงประมาณ 15 kHz เทานัน้ สวนเสียงพูดของคนทั่วไปก็ จะมี สเป กตรั มสวนใหญ อยู ในช วง 1-3 kHz และ ลักษณะสัญญาณเสียงพูดจะเปนการเปลงเปนชวงๆ เปนคําๆ จากลักษณะเฉพาะนี้ สามารถนําไปใช ในการแปลง สัญญาณ เสียงนี้ ได - linear predictiเมื่อe coding ;LPC เปนเทคนิ คที่ ใช ในการแปลงสัญญาณโดยการวิเคราะหสญ ั ญาณเสียงแลว สง ขอมูลที่ จําเปนของสัญญาณที่ สามารถสั งเคราะห สัญญาณเสียงนั้นกลับคืนมาไดเริ่มตนสัญญาณจะถูก digitize โดย ใช วงจร A/D กอนแลวจึงคํานวนหาคาทางสถิ ติ ของสัญญาณนี้ โดยใชการวิ เคราะห autocorelation หาสวนประกอบ ความถี่ โดยการใช pitch extractor จากขอมูล pitch ที่ ได และ parameter ของ linear predictor สงให เครื่องรับหรือ อาจเรียก วาเครื่องสั งเคราะห ก็ ได เนื่องจากขอมูลที่ ไดรับจะถูกนําไปใช สั งเคราะห เสียงออกมาได จากเทคนิ คนี้ ทํา ให สามารถสงสัญญาณเสียงที่ อัตราการสงขอมูลประมาณ 2.4 kbps ได ในขณะที่ สัญญาณ PCM ตองการอัตราการ สงขอมูลที่ 56 kbps - Adaptiเมื่อe predictive coding ;APC เปนการสงขอมูลเฉพาะสวนแตกตาง จากคาคาดเดากับ คาจริงที่สุมไดทําให ลดขอมูลที่จะสงได มาก - Vocoder ใช การวิ เคราะห cepstrums เปน spectrum ของ spectrum แยกเสียงออกเปนแถบความถี่ แลวสงขอมูลนี้ ไป จะได จํานวนขอมูลที่ นอยมาก แตอยางไรก็ ตามคุ ณภาพเสียงก็ จะอยู ในระดับฟงได เทานัน้ 3.2 การเขารหัสชองสัญญาณ (Channel encoding) จากหัวขอกอนซึ่งเปนการเปลี่ยนสัญญาณอนาลอกให เปนดิจิตอลในลักษณะขบวนของบิต '0' '1' เรียก ขบวนการ เหลานั้นวาการเขารหัสแหลงกําเนิด จากนี้ ไปจะเปนการเปลี่ยนขบวนบิตที่ ได อยู ในรูปแบบที่เหมาะสมเพื่อใช ในการ สงตอไป 3.2.1 ทฤษฎีขาวสารเบื้องตน (Basic information theory) มีความตองการอยู หลายประการที่ ตองเปลี่ยนสัญญาณกอนการสง จากการที่ มี ขอมูลที่ตองการสงจํานวนมาก การที่ จะจัดสงขอมูลเหลานั้นไปดวยวิธี ตาง ๆ นั้น ตองคํานึ งถึงการสง - การรับที่ มีประสิ ทธิ ภาพได ขาวสารที่ ครบถวน เหตุผลหลั กๆ ของการเขารหัสกอนการสงนี้ ก็ เพื่อตองการไดประสิ ทธิ ภาพในการสงที่ สูงขึ้น ได เครื่องสง - เครื่องรับที่ งายในการออกแบบ ลดขอผิดพลาด และเปนการเตรียมการสําหรับการสงขอมูลที่ เปนสวนตัว 3.2.1.1 ขาวสารและการวัดปริมาณขาวสาร พิจารณาตัวอยางเหตุการณ ในร านอาหารแหงหนึง่ หลังจากการ เลือกอาหารตามที่ ตองการแลวบริ กรในร านสั่ งไปในครั วดวยขอความสั้ นๆ เชน "เล็กแหงไมงอก" "ใหญใจแหงไมชู " - 78 - [3.13] โดยที่ Px เปนพรอบอะบิลิตี้ ของการเกิดของขอความ x จะได สอดคล องกับหลั กการที่ วาเมื่อ Px = 1, Ix = 0 โดยไม จําเปนวา log ฐานอะไร แต โดยทัว่ ไปจะใช ฐาน 2 เนื่องจากเมือ่ ลองย อนกลับไปที่ ร านอาหาร ที่ มีรายการให เลือกสั่ งเปนหมายเลข ถาสมมติ วามี รายการเพียงสองรายการให เลือก และเทาที่ ผานมามี การเลือกเทาๆ กันทั้งสอง รายการ พรอบอะบิลิตี้ ของแต ละรายการเทากับ 1/2 เมื่อใช log ฐาน 2 จากสมการ 3.13 จะได [4.14] นั่นคือ หนึ่งหน วยของขาวสารถูกสงออกไปเมื่อมีการสัง่ อาหารแต ละครั้งพิจารณาการสงสัญญาณดิจิตอลที่จะนํามาใช กับกรณี นี้ เมื่อมี สิ่ งที่ เปนไปได สองอยางคืออาหารสองชุ ดใช บิต 1 บิตในการแทนคือ '0' แทนรายการชุ ดที่ 1 บิต '1' แทนรายการชุ ดที่ 2 เมื่อเพิม่ รายการอาหารเปน 4 ชุ ด โดยมี พรอบอะบิลิตี้ของแตละชุ ดเทากับ 1/4 ขาวสารที่ บรรจุ อยู แต ละขอความเทากับ log ( ) 2 4 2 = หน วย ซึ่งเมื่อใช เลขฐาน 2 ในการแทนหมายเลขชุ ดก็ จะตองใช จํานวน 2 บิตคือ '00','01','10','11' เพือ่ แทนรายการชุ ด 1 ถึง 4 ตามลํ าดับสรุปได วาขอความใดๆ ที่ มี พรอบอะบิลิตี้ เทากัน ปริมาณขาวสารในขอความนั้น จะเทากับจํานวนบิตนอยที่สุดที่ จะใช แทนขอความนั้นในการสง เปนเหตุ ผลหนึง่ ของ การใช log ฐานสองในการหาคาปริมาณขาวสารซึง่ หนวยของขาวสารที่ ได ก็ จะถูกเรียก วา 'bit of information' เมื่อ แต ละขอความมี พรอบอะบิลิตี้ เทากันแตละขอความก็ จะมี ขาวสารเทากัน แต ถาแต ละขอความมี พรอบอะบิลิตี้ ไม เทากัน ปริ มารขาวสารที่ บรรจุ ในขอความนั้นก็ ขึ้นอยู กับพรอบอะบิลิตี้ ของขอความนัน้ Entropy ถูกนิ ยามให เปน - 79 - [3.15] ตัวอยาง ระบบสื่อสารหนึง่ ประกอบดวยขอความที่ เปนไปได ทั้งหมด 6 ขอความมี พรอบอะบิลิตี้ ดังนี้ 1/4,1/4,1/8,1/8,1/8,1/8 หา entropy จากสมการ 3.13 แต ละขอความมี ขาวสาร 2 บิต 2 บิต 3 บิต 3 บิต 3 บิต 3 บิต ตามลําดับ entropy สําหรับกรณี ของขอความแบบไบนารี พิจารณาหาได โดย เริ่มที่ ขอความที่ เปนไปได x1, x2 มีพรอบอะบิลิตี้ เปน ได entropy [3.16] จากผลที่ ได นําไปวาดเปนฟงกชนั ของ Px ดังรูปที่ 3.13 รูปที่ 3.13 กราฟ Entropy เปนฟงกชนั ของ Px จากรูปจะพบวาเมื่อพรอบอะบิลิตี้ ของ x1 เขาสู 1 หรือ 0 entropy จะเขาสู 0 เชนกัน ในกรณี Px1=1 ขอความที่ สงตอง เปนขอความที่ 1 แนนอนจึงไม มี ขาวสารใดๆ entropy จึงเปนศูนย สําหรับกรณี Px1=0 ขอความที่ สงตองเปนขอความ ที่ 2 แนนอนจึงไม มี ขาวสารใดๆ เชนกัน entropy สูงสุดที่ Px1 เทากับ 1/2 และเมื่อมี ขอความสามขอความ entropy จะสูงสุดที่ Px1=1/3 - 80 - 3.2.1.2 ความจุ ชองสัญญาณ (Channel capacity) ปริมาณขาวสารที่ บรรจุ อยู ในขอความสามารถสงไปใน ชองสัญญาณมากนอยเทาใดนั้นขึ้นอยู กับความสามารถของชองสัญญาณนัน้ วาจะผานปริมาณขาวสารได เทาใดซึ่งมี ความสัมพันธ กับขอผิดพลาดที่ อาจเกิดขึ้นในการสงดวย กอนที่ จะพิจารณาความสามารถของชองสัญญาณนัน้ จะ นิยามอัตราเร็วของขาวสารกอนโดยที่ ถาแหลงกําเนิดขาวสารกําเนิดขอความดวยอัตราเร็ว r ขอความตอวินาที ตัวอยางเชน การสงตัวอั กษร ดวยความเร็วในหน วยตัวอั กษรตอวินาที ซึ่งเมื่อทราบพรอบอะบิลติ ี้ ของขอความหรือใน ที่นี้ คือตัวอักษร ก็ สามารถหาคา entropy , H ใน หน วยบิตตอวินาที ได เมื่อคูณกับอัตราเร็วขอความก็จะได อัตราเร็ว ขาวสาร information rate;R เปน [3.17] จากตัวอยางในหัวขอกอนหนาที่ ได H=2.5 bit/message เมื่ออัตราเร็วขอความเทากับ 2 ขอความตอวินาที จะได อัตราเร็วขาวสาร 5 bps ในระบบการสื่อสารหนึง่ เมื่ออัตราเร็วขาวสารสูงขึ้นจะทําให จํานวนการผิดพลาดเพิม่ ขึ้นดวย จึงมี คําถามวาในชองสัญญาณหนึ่งจะสงขาวสารได ดวยอัตราเร็วเทาใดโดยที่ การผิดพลาดไม สูงเกินยอมรับได C.E. Shannon แสดงให เห็นวาสําหรับชองสัญญาณหนึ่งจะมี อัตราเร็วขาวสารได สูงสุดคาหนึ่งรู จั กกันในนาม ความจุ ชองสัญญาณ channel capacity;C ถาอัตราเร็วขาวสาร R ตํ่ ากวาความจุ ชองสัญญาณ C ขาวสารจะถูกสงได โดย เกิดผิดพลาดเพี ยงเล็ กนอยและสามารถลดขอผิดพลาดลงได โดยการใช เทคนิ คในการเขารหัส ถึงแม ใน ชองสัญญาณจะมี สัญญาณรบกวนอยู ดวยก็ ตาม แต ถาอัตราเร็วขาวสารสูงกวาความจุ ชองสัญญาณแลวจะไม สามารถหลี กเลี่ ยงขอผิดพลาดได เลยไม วาจะใชเทคนิ คในการเขารหัสอยางไรก็ ตาม ในที่ นี้ จะไม กลาวถึงการ พิสูจน ที่ มาของทฤษฎี นี้ จะกลาวถึงการนําไปใชเทานัน้ พิจารณากรณี ชองสัญญาณความถี่ จํากัด (bandlimited) ที่ มี สัญญาณรบกวนแบบ white Gaussian ความจุ ชองสัญญาณจะเทากับ [4.18] โดยที่ C เปนความจุ ชองสัญญาณในหน วย บิตตอวินาที B เปนแบนวิ ดท ของชองสัญญาณ ในหน วย Hz และ S/N เปนอัตราสวนสัญญาณตอสัญญาณรบกวนในชองสัญญาณ เมื่อพิจารณาดู จะพบวา ความจุ ชองสัญญาณขึ้นอยู กับ แบนดวิดท และ S/N ซึ่งเมื่อเพิ่มแบนดวิดท ทําให ความจุ ชองสัญญาณเพิ่มขึ้นหมายถึงสงขาวสารได มากขึ้น ทํานอง เดียวกับการเพิ่ม S/N ซึ่งหมายถึงคุ ณภาพของชองสัญญาณดี ขึ้นหรือการที่ มี สัญญาณรบกวนนอยนัน่ เอง และเมื่อ S/N เขาสู ∞ หมายถึงชองสัญญาณไม มีสัญญาณรบกวนเลยจะได ความจุ ชองสัญญาณไม จํากัดโดยไม ตอง คํานึงถึงแบนดวิดท เลย และอาจมองได ในทํานองเดียวกันวาเมื่อเพิ่มแบนดวิดท เขาสู ∞ จะได ความจุชองสัญญาณ เขาสู ∞ แต ชองสัญญาณที่ มี สัญญาณรบกวนอยู จะไม สามารถเพิ่มความจุ ของชองสัญญาณได ไม จํากัด ลอง พิจารณาชองสัญญาณที่ มี สัญญาณรบกวนแบบ white noise ที่ มี สเปกตรัมกําลั งคงที No คงที่ ในหน วย W/Hz กําลั งของสัญญาณรบกวนในชองสัญญาณจะขึ้นอยู กับแบนดวิดท ของชองสัญญาณนัน้ เทากับ NoB และเมื่อขนาด ของสัญญาณ (S) คงที่ จะได - 81 - เมื่อให CB [3.19] แสดงให เห็นวาแม จะเพิ่มแบนดวิดท เขาสู ∞ แลวก็ ตาม ความจุ ชองสัญญาณจะถูกจํากัดดวย S/N คือขนาด สัญญาณกับความหนาแน นสเป กตรั มกําลั งของสัญญาณรบกวน ในการออกแบบระบบสื่อสารใดๆ ที่ชองสัญญาณมี สัญญาณรบกวนอยู การเพิม่ ความจุ ชองสัญญาณโดยการเพิม่ แบนดวิดท นัน้ อาจเปนการกระทําที่ สู ญเปล าถา ชองสัญญาณถูกจํากัดดวย S/N จึงตองตรวจสอบสภาพของชองสัญญาณวาสามารถมี ความจุ สูงสุดได เทาใด เพื่อจะ ได เลือกใช อัตราเร็วขาวสารที่ ไม สูงกวาความจุ ชองสัญญาณนี้ เมื่อมี ความจุชองสัญญาณสูงพอจึงจะสงขาวสารได และเพิ่มความสามารถของชองสัญญาณได โดยใช เทคนิคการเขารหัสชองสัญญาณซึ่งจะได กลาวในหัวขอตอไป 3.2.2 การเขารหัส (Coding) การเขารหัสสําหรับชองสัญญาณนัน้ เพื่อเพิ่มประสิ ทธิ ภาพในการสงสัญญาณ คือ เมื่อมีขอความ M ขอความที่ จะสงก็ จะตองเขารหัสดวยรหัสที่ เปนไปได M รหัส การเลือกรหัสที่ ใช นั้นอาจจะแบ งตามวั ตถุ ประสงค ของการเขารหัสออก ได เปนสามกลุม คือการเขารหัสเพื่อการสงรับได อยางมีประสิ ทธิ ภาพเปนการลดขอความที่ จะสงโดยยังคงขาวสาร ครบถ วน กลุมที่ สองเปนการเขารหัสเพื่อ แก ไขขอผิดพลาด และกลุมที่ สามเปนการเขารหัสเพื่อความปลอดภัยของ ขอความ ในที่ นี้ จะกลาวถึงการเขารหัสเพือ่ การลดขอมูลและการเขารหัสเพื่อตรวจสอบและแก ไขขอผิดพลาดเทานั้น พิจารณาหลั กการของการเขารหัส ตองเปนการเขารหัสในดานสงแลวดานรับจะตองตี ความออกมาได อยางถูกตอง ตามที่ สงไป รหัสสําหรับแต ละขอความจะตองไม ทําให ดานรับสั บสนวาเปนการสงรหัสของขอความใดมา ยกตัวอยาง ขอความ 4 ขอความเมื่อเขารหัสดวยเลขฐานสองดังนี้ M1 = 1, M2 = 10, M3 = 01, M4 = 101 เมื่ออยู ทางดานรับและรับรหัสได ลําดับ 101 จะไม สามารถรู ได เลยวาเปนการสง M4 หรือ M M 2 1 หรือ M M 1 3 การเลือกรหัสลักษณะนี้ การตี ความตัดสิ นใจไม เปนหนึ่งเดียว คือดานรับสามารถตี ความได หลายลักษณะ นัน่ คือจะ ทําให การสื่อสารผิดไปได ทั้งๆ ที่ การรับสงสัญญาณได อยางถูกตอง หากจะให รหัสถูกตีความอยางถูกตองได รหัส - 82 - M1 = 1, M2 = 01, M3 = 001, M4 = 0001 การกําหนด prefix ข างตนเปนเงื่ อนไขที่ เพี ยงพอที่ จะทําให รหัสมี คุณสมบัติ การตี ความได เพียงหนึง่ เดียวแต ก็ ไม จําเปนเสมอไป ดังตัวอยาง M1 = 1, M2 = 10, M3 = 100, M4 = 1000 จะเห็นวารหัสตัวหนึ่งเปน prefix ของรหัสตัวถั ดไป แต ก็ เปนรหัสที่ ตี ความได เปนหนึง่ เดียว ความแตกตาง ระหวาง รหัสทั้งสองชุดนี้ คือ ในรหัสชุ ดหลังการถอดรหัสไม สามารถกระทําได ทันที ตองรอให รับครบทั้งสี่ บิตกอนจึงจะ ถอดรหัสตี ความได 3.2.2.1 Entropy coding เปนที่ น าสนใจในวิธี ที่ จะหารหัสที่ มี คุณสมบัติ ตี ความเปนหนึ่งเดียว โดยที่ มี ความยาวของรหัสนอยที่ สุด จะทําให การรับสงได อยางมี ประสิ ทธิ ภาพ คือได อัตราการสงผานชองสัญญาณที่ สูงที่ สุด ความยาวของรหัสที่ กลาวถึงจะหมายถึงความยาวเฉลี่ ยซึ่งเปนการเฉลี่ยจากความยาวของรหัสแต ละขอความ โดย ความยาวของรหัสที่ แทนขอความใดๆ จะพิจารณาจากพรอบอะบิลิตี้ของขอความนัน้ ซึ่งจะพบขอได เปรียบเมื่อกําหนด รหัสที่ มี ความยาวนอยกับขอความที่ มี พรอบอะบิลิตี้ สูงและรหัสที่ มี ความยาวมากให กับขอความที่ มี พรอบอะบิลิตี้ ตํ่ า รหัสมอสก็ เขาข ายหลั กการนี้ คือกําหนดรหัสของอักษรมีความยาวของรหัสนอยที่ สุดทฤษฎีบทพืน้ ฐานของทฤษฎี การเขารหัสในกรณี ที่ ไมมีสญั ญาณรบกวนกลาวไว วา "สําหรับการเขารหัสโดยการใช เลขฐานสองความยาวเฉลี่ยของ รหัสจะมากกวาหรือเทากับ entropy" เมื่อนิยามความยาวเฉลี่ยของรหัสเปน n จะได [3.20] ความยาวเฉลีย่ ของรหัสมีคานอยที่สุดได เทากับ entropy ไมสามารถนอยกวานี้ไดนั่นคือรหัสนัน้ จะตองสามารถนํา ขาวสารไปได ครบถ วน จึงตองมี ขนาดไม นอยกวา entropy ที่ เปนขาวสารเฉลี่ยถาไมไดเปนระบบเลขฐานสองจะได [4.21] โดยที่ L เปนจํานวนสั ญลั กษณ ของขอความ Variable -lenght codes ในกรณีที่พรอบอะบิลิตี้ของขอความแตละขอความที่ตองการสงไม เทากัน การสงอยางมี ประ สิ ทธิ ภาพวิธี หนึง่ คือการให ขอความแต ละขอความมี รหัสที่มีความยาวไมเทากัน คือขอความที่ มี พรอบอะบิลิตี้ สูง ให มี รหัสสั้ นในขณะที่ ขอความที่ มี พรอบอะบิลิตี้ ตํ่ าให มี รหัสยาวกวา ความยาวเฉลี่ ยของรหัสก็ จะตํ่ าเขาสู entropy ได ยกตัวอยางขอความมี พรอบอะบิลิตี้ 1/8,1/8,1/4,1/2 ตามลําดับ รหัสความยาวเทากันที่ เปนไปได อาจเปน 00, 01, 10, 11 ตามลําดับ จะได ความยาวเฉลี่ ยของรหัสเทากับ 2 แต หากใช รหัส 111, 110, 10, 0 แทนขอความทัง้ สี่ ตามลําดับ จะได ความยาวเฉลี่ ยเปน - 83 - ปญหาก็ คือจะเลือกรหัสอยางไรใหไดความยาวเฉลี่ยของรหัสตํ่าที่สุดตามตองการมีวิธีการอยูสองวิธีทจี่ ะกลาวถึง คือวิธี ของ Huffman และ Shannon-Fano code - Huffman codes เปนเทคนิ คการเขารหัสแบบ เมื่อariable-length ที่ ดี ที่ สุดที่ เปนไปได มี วิธี การ ซึ่งจะอธิ บายโดย ใช ตัวอยางเปนขั้นตอนดังนี้ ถามี ขอความM1,M2 , M3 , M4 มี พรอบอะบิลิตี้ เปน 0.1, 0.2, 0.5, 0.2 ตามลําดับ 1. เรี ยงขอความตามลําดับพรอบอะบิลิตี้จากมากไปนอย ในกรณีทพี่ รอบอะบิลิตี้ เทากันเลือกตัวใดก็ไดในกรณีนี้จะได 2. รวมพรอบอะบิลิตี้ คูลางนําไปเขี ยนเปนคอลัมนใหมในกรณีทพี่ รอบอะบิลิตี้ที่รวมไดมากกวาตัวขางบนให สลับที่ เรียงลําดับจากมากไปนอยไปหามาก 3. ทําเชนเดียวกับขอสองจนกระทั่งเหลือเพียงสอง 4. กําหนดรหัสใหกับพรอบอะบิลิตี้คูหลังสุดดวยรหัสหลักหนึ่งแลวยอนกลับไปหาที่มาของพรอบอะบิลิตี้ตัวนัน้ หากเกิด จากการรวมกันก็ใหแยกรหัสดวยหลักที่สอง สาม ตามลําดับ - 84 - จึงไดรหัสของขอความเปน - Shanon-Fano เปนเทคนิ คการเขารหัสอีกแบบหนึง่ ตาง จากของ Huffman คือจะกําหนดรหัสไปพรอมกับการ พิจารณาเลย ในขณะที่ Huffman เปนการกําหนดรหัสย อนกลับ พิจารณาตัวอยางเดิมเปนขั้นตอนดังนี้ 1. เรียงขอความตามลําดับพรอบอะบิลิตี้จากมากไปนอยในกรณีทพี่ รอบอะบิลิตี้เทากันเลือกตัวใดก็ไดในกรณีนี้จะได ขอความ พรอบอะบิลิตี 2. แบงกลุมของขอความออกเปนสองกลุมที่มีผลรวมของพรอบอะบิลิตี้ แตละกลุมเทาๆ กัน ในขั้นตอนนี้ พรอบอะบิลิตี้ ของแตละกลุมเทากับ 0.5 3. กําหนดรหัสของแตละกลุมดวยรหัสที่ แตกตางกัน - 85 - 4. แบงกลุมของขอความในแต ละกลุมออกเปนสองกลุมที่ มี ผลรวมของพรอบอะบิลิตี้ แต ละกลุม เทาๆ กัน กําหนดรหัส ให กับกลุมที่แบงยอยดวยรหัสหลักถัดไป 5. แบงกลุมยอยของขอความในแตละกลุม พรอมกําหนดรหัสในหลักถัดไปจนกระทัง่ เหลือขอความเดียวในแตละกลุม จึงไดรหัสของขอความเปน จากทั้งสองวิธรี หัสที่ไดเมื่อนําไปหาความยาวเฉลี่ ยจะพบวาใกล เคี ยงกับ entropy มากนั่นคือเปนการเขารหัสที่ มี ประ สิ ทธิ ภาพมากวิธี หนึ่ง นอกจากการเขารหัสสําหรับขอความแตละขอความดังตัวอยางนี้แลวยังสามารถเพิ่มประสิ ทธิ ภาพของการเขารหัสได โดยการจับกลุมขอความแลวจึงเขารหัสจะทําให ได รหัสที่มปี ระสิทธิภาพมากยิง่ ขึ้น ตัวอยาง ถาขอความสองขอความมีพรอบอะบิลิตี้ ดังนี้ M1 =0 9. , M2 = 0 1. จะได entropy H = −0.9 log 0.9 − 0.1log o.1 = 0.47bits เมื่อกําหนดรหัสให จะได M1=0 M2=1 จะเห็นวา ความยาวเฉลี่ ยเทากับหนึง่ บิต มากกวา entropy มาก ทําอยางไรจึงจะได ประสิ ทธิ ภาพที่ ดี กวานี้ ถาลอง - 86 - รวมกลุมขอความเปนขอความใหม ที่ ประกอบดวยขอความเดิมสองขอความ ขอความใหม ที่ จะเปน ไปได คือ M1M1=0.81, M1M2=0.09, M2M1=0.09, M2M2=0.01, เมื่อกําหนดรหัสให กับขอความใหม จะได M1M1=0, M1M2=10, M2M1=110, M2M2=111 เมื่อหาความยาวเฉลี่ ยของรหัสจะได L =1×0.81+2×0.09+3×0.09+3×0.01=1.29 bits เปนความยาว รหัสเฉลี่ ยของสองขอความเพราะฉนั้นความยาวรหัสเฉลี่ ยของขอความเดิมเทากับ 0.649 บิต จะเห็นไดวา สั้นลงกวาเดิมมากถาไดรวมกลุมขอความมากขึ้นจะไดความยาวเฉลี่ยของรหัสเขาใกล entropy มากยิ่งขึน้ Data compression เมื่อกลาวถึงการบีบอัดขอมูลนั้นจะเปนคําที่ ใช กับวิธี การตาง ๆ ในการลดจํานวนบิตที่ จะตองสง สําหรับขอความที่ ตองการสง การบีบอัดขอมูลจะประสบผลสําเร็จมากนอยขึน้ อยู กับคุณสมบัติ ของขอความที่ จะสงนั้น เชน entropy coding ที่ กลาวไปจะใช ได ดี กับขอความที่ มี พรอบอะบิลิตี้ ตาง กันมาก วิธี การอื่ นที่ ใช ในการบี บอั ดขอมูลอาจขึ้นอยู กับลําดับการเกิดของขอความนัน้ ตัวอยาง สัญญาณโทรทั ศน ในหนึ่งภาพประกอบไปดวยจุดภาพใน หนึง่ เสนแนวนอน 625 จุดภาพ(ระบบ PAL).ในแต ละจุดภาพถาจะแปลงเปนดิจิตอล สําหรับภาพขาวดํ าที่ เก็บเฉพาะ ความเข มของแสงโดยใช รหัส PCM 128 ระดับ คือหนึ่งจุดภาพตองใช 7 บิตในการเก็ บ ในหนึ่งเสนแนวนอนจะมี ขอมูล จํานวน 625x7=4379 บิต ที่ จะตองสง แต เมื่อพิจารณาดู แลวในหนึง่ ภาพของโทรทัศน นัน้ แตละเสนจะมี จุดภาพที่ มี ความเข มของแสงที่ เทากันเรี ยงตอกันอยู มาก เชน ในภาพฉากหลัง ฉนั้นแทนการสงรหัสของทุกจุดภาพเรียงกันไป ก็ อาจจะสงรหัสบอกความเข มแสงของจุดภาพที่ เหมื อนกันตามดวยรหัสบอกจํานวนของจุดภาพที่เหมือนกันนั้น จึงเปนวิธี การบีบอัดขอมูลได วิธี หนึ่ง เรียก เทคนิ คที่ ใช นี้ วา run-length coding นอกจากนี้ ยังมี วิธี การอื่นๆ อีกมากมายที่ ถูก คิดคนขึ้นมาชวยลดจํานวนขอมูลที่ ตองสง เชน การนําเอาเทคนิคการคาดเดา (prediction) มาใช กับขอมูลที่ มี การ เปลี่ยนแปลงนอยและการเปลี่ยนแปลงเปนไปอยางตอเนื่อง สามารถจะคาดเดาขอมูลชุ ดตอไปที่ จะสงมาได ทางดานสง จึงอาจไม จําเปนตองสงขอมูลทั้งหมดไปทางดานรับสามารถจะสรางจากการคาดเดาได เปนตน รวมถึงการประมวลผล สัญญาณ (digital signal processing,DSP) ในรูปแบบตาง ๆ กอนการสง เชน การทํา transform ในรูปแบบตาง ๆ เหลานี้ ลวนกระทําเพื่อลดจํานวนขอมูลทีต่ องสงทัง้ สิน้ โดยถือหลักที่ ไดขาวสารครบถวนอยู 3.2.2.2 Error Control Coding ในการเขารหัสที่ ผานมาจะคิดวาชองสัญญาณไมมีสัญญาณรบกวน การรับสง สัญญาณถูกตอง ความพยายามในการลดจํานวนบิตในการสงเปนจุดที่ ถูกพิจารณาเปนหลั ก แต ในชองสัญญาณ โดยทัว่ ไปยอมมี สัญญาณรบกวนเกิดขึ้น การรับสัญญาณจากทางดานสงอาจผิดพลาดไปได ความผิดพลาดจากการ รับ-สงสัญญาณนี้ อาจตรวจจับและแก ไขได โดยการ เขารหัสที่ มี ความสามารถดังกลาว ในการกําหนดรหัสให กับ ขอความที่ ตองการสงนัน้ ถาเซ็ตของรหัสที่เปนไปได ในการสงมี จํากัด เมื่อเกิดการผิดพลาดไป รหัสที่ ดานรับรับได ไป เหมื อนกับรหัสของขอความตัวอื่นในเซ็ ตเดียวกัน อาจทําให ดานรับตี ความเปนรหัสตัวนัน้ ไป ในลักษณะเชนนี้ ทาง ดานรับจะไม ทราบเลยวามี ขอผิดพลาดเกิดขึ้น แต ถารหัสที่ ดานรับรับได ไม มี ในเซ็ ตของรหัสที่ กําหนดไว ทาง ดานรับจะทราบทันที วามี ขอผิดพลาดเกิดขึ้นในการสง และอาจสามารถแก ไขได การกําหนดรหัสให แก ขอความนัน้ จะตองมี ระยะห างระหวางรหัส (code distance) หมายถึงจํานวนบิตที่ แตกตาง ระหวางรหัสแต ละรหัสตัวอยางรหัส สองบิต จํานวนรหัสที่ เปนไปได ทั้งหมดเทากับ 4 รหัสคือ 00,01,10,11 ถามี ขอความที่ ตองการกําหนดรหัสอยู 4 - 87 - รูปที่ 3.14 การกําหนดรหัสสําหรับรหัส 3 บิต แสดงระยะห างระหวางรหัส Linear block encoding รหัสที่ มี ความสามารถในการตรวจจับและแก ไขขอผิดพลาดได นั้นมี ดวยกันหลายชนิ ด algebraic codes เปนรหัสในลักษณะ block codes คือมี ความยาวของแต ละรหัสเทากัน มี การจัดการรหัสโดยใช สมการพี ชคณิ ตเขาช วย หนึง่ ในรหัสประเภทนี้ ที่ คุนเคยกันได แก parity-bit check code ตัวอยางในตารางแสดง รหัสพาริ ตี้ 1 บิต (single-parity-bit check code) เปนรหัสที่สามารถตรวจจับขอผิดพลาดได 1 บิต - 88 - บิตสุดทายที่ เติมหลังขอความเติมโดยเงื่ อนไขให จํานวนบิตทั้งหมดเปนจํานวนคู ในลักษณะนี้เรียก วาพาริตี้คู (even parity) ทางดานรับ จะตรวจเช็คจํานวนบิตที่ เปน '1' วาเปนจํานวนคู หรือคี่ ถาเปนจํานวนคู ก็ แสดงวาถูกตองเพี ยงแต ตัดพาริ ตี้ บิตออกก็ จะได รหัสของขอความ ถารหัสที่รับไดมีจํานวนของบิตที่ เปน '1' เปนจํานวนคี่ แสดงวามี บิตใดบิต หนึง่ ผิดพลาด แต ถาเกิดการผิดพลาดสองบิต จะไม สามารถทราบได วาเกิดผิดพลาด เนื่องจากจํานวนบิตที่ เปน '1' ยังคงเปนจํานวนคู รหัสพาริ ตี้ หนึง่ บิตนี้ มี ความสามารถตรวจจับขอผิดพลาดได เพี ยงหนึง่ บิต และไม สามารถแก ไข ขอผิดพลาดได เนื่องจากไม ทราบวา ผิดที่บิตใด ในการใช งานจึงมั กจะตองให ดานสงสงใหม (retransmission) ดู เหมื อนวารหัสเชนนี้ อาจช วยอะไรไม ได มากเนื่องจากตรวจจับบิตที่ ผิดพลาดได เพี ยงบิตเดียว แต เมื่อลองพิจารณาดู โอกาสในการเกิดการผิดพลาดถึงสองบิตในขอความเดียวกันก็ จะมี โอกาสนอยลงไปอีก และหากเกิดผิดพลาดสามบิต ก็ สามารถตรวจเช็ คได เนื่องจากจํานวนบิตที่ เปน '1' เปนจํานวนคี่ จึงนับได วารหัสนี้ ยังคงมี ประโยชน และยังได รับ การยอมรับให มี การใช อยูในที่ นี้ จะกลาวถึงรูปแบบทัว่ ไปของรหัสประเภทนี้ คือ ให จํานวนบิตของขอความเทากับ m บิต (ในตัวอยางข างตนเทากับ 3 บิต) ให จํานวนพาริ ตี้ บิตที่ เติมเขาไปเทากับ n บิต ประกอบเปนรหัสที่ มีความยาว m+n บิต ให ai เปนบิตเดิมของขอความและ ci เปนบิตของพาริ ตี้ ที่ เติมเขาไปจะไดรูปแบบของรหัสเปน a1a2 a3....am c1c2 c3...cn พบวา 2m + n รูปแบบของรหัสที่ เปนไปได แต จะใช เพี ยง 2m เทานั้น แต ละบิตของพาริ ตี้ เช็ค ที่ เติมเขาไปเพื่อใหกลุม ของบิตในขอความเดิมรวมจํานวนบิตที่ เปน '1' ได เปนจํานวนคู ตามเงื่อนไขของพาริตคี้ ู เชน c1 เติมเพื่อ, เมื่อรวมกับ a1,a3,a4 แลวได จํานวนบิต '1' เปนจํานวนคู c2 เติมเพื่อ เมื่อรวมกับ a2,a4,a5 แลวได จํานวนบิต '1' เปนจํานวนคู เปนตน จากความสัมพันธ ของบิตดังกลาวสามารถเขี ยนเปนรูปแบบทั่วไปในการเลือกพาริ ตี้ เช็ คบิตที่ จะตองให สอดคล องกับสมการ 3.22 [3.22] โดยที่ T เปนคอลั มน เวคเตอร ขนาด m+n และ H เปนเมตริ กซ ขนาด n (m+n) เขี ยนได ดังสมการ 3.23 - 89 - [3.23] เมื่อคูณเมตริกซ ออกมาสองแถวบนจะได สมการที่ เปนผลบวกของผลคูณระหวาง a กับ h และ c เมื่อบวกกันในแต ละ สมการโดยใช หลั ก modulo-2 ถาจํานวน 1' เปนจํานวนคู จะได ผลลั พธ เปน 0 เมื่อกําหนดคาของ H ก็ จะสามารถหา คา c ที่ จะเติมให กับขอความแต ละขอความได จากการหาคา c ดังกลาว ตัวอยาง กําหนดให ขอความขนาด 4 บิต พาริตี้ เช็ค 3 บิต และเมตริ กซ H ดังนี้ หารหัสสําหรับขอความที่ เปนไปได ทั้งหมด 16 รหัสได สมการสามสมการสอดคล องกับเงื่ อนไขของ H T = 0 คือ ดังนัน้ c1 จะถูกเลือกให เปนคาที่ เมื่อรวมกับบิตที่ 1 บิตที่ 2 และบิตที?