Podcast
Questions and Answers
อาการเริมจะปรากฏภายใน 1 วันหลังจากการติดต่อเชื้อ
อาการเริมจะปรากฏภายใน 1 วันหลังจากการติดต่อเชื้อ
False (B)
การสวมถุงยางอนามัยสามารถป้องกันเชื้อไวรัสได้เต็มที่
การสวมถุงยางอนามัยสามารถป้องกันเชื้อไวรัสได้เต็มที่
False (B)
อาการซากลับมาได้หากภูมิต้านทานต่ำลง
อาการซากลับมาได้หากภูมิต้านทานต่ำลง
True (A)
อาการการอักเสบและแสบบริเวณปากช่องคลอดถือเป็นอาการแรกเริ่มของเริม
อาการการอักเสบและแสบบริเวณปากช่องคลอดถือเป็นอาการแรกเริ่มของเริม
การงดการมีเพศสัมพันธ์ควรทำเมื่อมีบาดแผลบริเวณอวัยวะเพศเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
การงดการมีเพศสัมพันธ์ควรทำเมื่อมีบาดแผลบริเวณอวัยวะเพศเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
อาการเริมสามารถหายได้เองภายใน 14 วัน
อาการเริมสามารถหายได้เองภายใน 14 วัน
ยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ไม่สามารถช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของโรค
ยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ไม่สามารถช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของโรค
ยากดภูมิคุ้มกันไม่ได้มีส่วนในการรักษาโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส
ยากดภูมิคุ้มกันไม่ได้มีส่วนในการรักษาโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส
ยา Valacyclovir มีส่วนในการรักษาโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเช่นเดียวกับ Acyclovir
ยา Valacyclovir มีส่วนในการรักษาโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเช่นเดียวกับ Acyclovir
การใช้ยาลดไข้มีความสำคัญต่อการรักษาโรคด้วยเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น
การใช้ยาลดไข้มีความสำคัญต่อการรักษาโรคด้วยเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น
Study Notes
ระยะฟักตัวและอาการเริม
- อาการเริ่มขึ้นภายใน 2-14 วันหลังจากการติดเชื้อ
- อาการแรกเริ่ม: ไข้ต่ำ, ปวดเมื่อยตามร่างกาย, รอยแตกแดงรอบอวัยวะเพศ, ตุ่มน้ำใสแตกภายใน 24-48 ชั่วโมง
- อาการชาและคันบริเวณรอบอวัยวะเพศหรือทวารหนัก, การอักเสบและแสบบริเวณช่องคลอด, อาการแสบขณะปัสสาวะ
- อาการอาจกลับมาเป็นซ้ำเมื่อภูมิคุ้มกันต่ำและอาจหายได้เองภายใน 7 วัน
วิธีการป้องกันเริม
- ใช้ถุงยางอนามัยเพื่อลดความเสี่ยงแต่ไม่สามารถป้องกันได้เต็มที่
- รักษาความสะอาดร่างกาย โดยเฉพาะจุดซ่อนเร้น
- ควรงดมีเพศสัมพันธ์เมื่อมีบาดแผลบริเวณอวัยวะเพศ
การรักษาเริม
- ยาต้านไวรัส: อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir), วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) ช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของโรค
- ยากดภูมิคุ้มกันหรือยาแก้ปวดในกรณีอาการไม่รุนแรง
- การรักษาด้วยแอนติบอดี (Monoclonal Antibodies) กระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็ง
- การฉายรังสี (Radiation Therapy) เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง
ความสัมพันธ์ของการเกิดโรคหนองในต่ออวัยวะต่าง ๆ
- อวัยวะเพศ:
- ผู้ชาย: อาการแสบร้อนขณะปัสสาวะ, มีหนองไหลจากอวัยวะเพศ, อาจเกิดการอักเสบที่ท่อปัสสาวะหรืออัณฑะ
- ผู้หญิง: การอักเสบของปากมดลูก, มีหนองไหลจากช่องคลอด, ปวดท้องส่วนล่าง
- ทวารหนักและลำไส้: อักเสบที่บริเวณทวารหนัก อาการเจ็บปวด คัน และมีหนอง
- ช่องปากและลำคอ: อักเสบของคอ อาการเจ็บคอและมีหนอง
- ตา: อักเสบที่อาจเกิดจากการสัมผัสเชื้อแบคทีเรีย
โรคหนองในเทียม
- อาการคล้ายกับหนองในจริง เกิดจากแบคทีเรีย Chlamydia Trachomatis
- ระยะฟักตัวนานกว่า 10 วัน อาการมักไม่ชัดเจนและมีความรุนแรงน้อยกว่า
อาการบ่งชี้
- ผู้ชาย: ปัสสาวะแสบขัด, มีมูกหรือหนองไหล, คันที่ท่อปัสสาวะ, อาจถึงอักเสบของอัณฑะ
- ผู้หญิง: ปวดขณะปัสสาวะ, ตกขาวมากผิดปกติ, ปวดท้องช่วงมีประจำเดือน
วิธีการป้องกันหนองในและหนองในเทียม
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- งดการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่มีบาดแผล
- ควรมีคู่อย่างเดียวเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ
การรักษาหนองในเทียม
- ยาปฏิชีวนะ: เช่น อะซิโธรมัยซิน (Azithromycin), ด็อกซี่ไซคลิน (Doxycycline)
- งดการมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลา 7 วันหลังจากเริ่มการรักษา
ลักษณะของโรคหูดหงอนไก่
- เกิดจากไวรัส HPV ผ่านการสัมผัสทางเพศ
- อาการ: ตุ่มเนื้อหรือผิวเรียบ คันบริเวณอวัยวะเพศ ปากมดลูก ทวารหนัก
วิธีการรักษาหูดหงอนไก่
- การทายา: ยาอิมควิโมด (Imiquimod) หรือกรดไตรคลอโรอะเซติก
- การผ่าตัดหรือตัดชิ้นเนื้อ
- การรักษาด้วยความร้อนหรือไนโตรเจนเหลว
ความสัมพันธ์ของหูดหงอนไก่ต่ออวัยวะต่าง ๆ
- อวัยวะเพศ: สามารถเกิดอาการคัน เจ็บปวด
- ทวารหนัก: อาการเหมือนกันเมื่อขับถ่าย
- ช่องปากและลำคอ: อาจเกิดหูดในลำคอ ทำให้มีอาการเจ็บคอและมีหนอง
- ตา: อาจทำให้เกิดการระคายเคืองและอาการตาแดง
Studying That Suits You
Use AI to generate personalized quizzes and flashcards to suit your learning preferences.
Related Documents
Description
อาการเริมเป็นปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้ภายใน 1 วันหลังจากติดเชื้อ โดยอาการแรกเริ่มคือการแสบร้อนบริเวณช่องคลอด การใช้ถุงยางอนามัยสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาการสามารถหายได้เองภายใน 14 วัน หากดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม